หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 101
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 101
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย วางกายให้สบายแล้วก็วางจิต หยุดคิดหยุดปรุงหยุดแต่ง สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสถึงลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย รู้ตัว’ เราก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่การหายใจเข้าออกทุกคนก็หายใจตั้งแต่เกิด แต่ขาดการฝึกฝน ก็เลยปล่อยลมหายใจไปโดยที่ขาดความรู้สึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก หยาบก็รู้ละเอียดก็รู้ เข้าสั้นก็รู้ออกสั้นก็รู้ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว รู้กาย’ ตั้งแต่ลุกจากที่ ตั้งแต่ยังไม่ตื่น ตั้งแต่รู้ตัว ตั้งแต่ตื่น พอรู้ตัวปุ๊บสติความรู้ตัวก็ตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ จิตก็ปกติอยู่ ถ้าจิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะรู้เท่าทัน นี่แหละจุดแรกเลยทีเดียวที่ทุกคนต้องสร้างสติให้มีให้เกิดขึ้น
ทุกคนก็มีธรรม ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็ได้สร้างตบะบารมีกันมาดีอยู่ระดับหนึ่ง บางทีก็เกือบเต็ม แต่ขาดการสร้างสติเข้าไปรู้ต้นเหตุของการเกิดของจิต ต้นเหตุของการเกิดของขันธ์ห้า อาการของขันธ์ห้า จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร นี่แหละสำคัญ ‘โมหะ’
เราเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปแยกรูปแยกนาม อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เข้าไปสำรวจ เข้าไปทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา อะไรกุศลอะไรอกุศล อะไรควรเจริญอะไรควรละ ถ้าเราหมั่นน้อมเข้าไปดูรู้อยู่จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการสำรวจ ในการผ่อนคลาย ในการละกิเลส สักวันหนึ่งกิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งไป กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสก็มีกันทุกคน กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส ส่วนจิตก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากก็มีหลายชนิด อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วยแล้วก็หวังด้วย เพราะว่าโมหะเข้ามาครอบงำ ความหลงเข้ามาครอบงำ
ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมกันจริงๆ ท่านก็ให้ละความอยาก อยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรม ท่านก็ให้ละออกให้หมดเสีย ความอยากนั่นแหละพาใจพากายมาประพฤติมาปฏิบัติ เราก็มาละความอยาก มาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติ
แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะรู้จิต ถ้ากำลังสติมีมาก บุคคลใดที่จะพิจารณาได้เลยก็พิจารณาจิตของตัวเองได้เลย
ขณะพิจารณานั้นจิตต้องสงบ ถ้าจิตยังสงบอยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ บางทีจิตก็ยังเฉยๆ อยู่ ถ่้าจิตยังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า ก็ยังไม่ได้เรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ถ้าแยกจิตออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามได้ สมาธิความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ นี่เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นในการที่มองเห็นชัดเจน มองเห็นรูปมองเห็นนาม มองเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ด้วยเห็นด้วย สติตามดูได้ด้วย จิตรับรู้ได้ด้วย แล้วก็รู้จักวิเคราะห์พิจารณา แล้วก็รู้จักละกิเลส
การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี พยายามทำเอานะ พยายามสร้างเอา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันมาเปี่ยม แต่การละกิเลส การแยกการคลายได้หมดจด ตรงนี้แหละสำคัญ เราต้องทำเอา เคี่ยวเข็ญตัวเองเอา อย่าให้คนอื่นได้มาบังคับ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราแล้วหรือยัง ทวารท้ังหกของเราทำหน้าที่อย่างไร รูปรสกลิ่นเสียงภายนอกผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ส่งเข้าไปถึงวิญญาณของเรา หรือว่าดวงจิตของเรา ซึ่งเป็นอาการหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า ตัวสุดท้าย ตัววิญญาณ
จิตของเราเกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหม ผลักไสไหม เป็นกลางไหม จิตนี้เป็นของละเอียดอ่อนซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม นามกับรูปก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เราจะไปทิ้งสิ่งไหนสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจหมด เพราะว่าต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกันอยู่ เหมือนกับต้นไม้ ต้องอาศัยเปลือกอาศัยแก่นอาศัยกระพี้ แล้วก็โลกภายนอก โลกธรรมแปด สมมติภายนอกต่างๆ กายของเราก็ยังเข้าไปคลุกคลีเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้หมด
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ ผลักไสตั้งแต่สมมติ อย่างนั้นแหละ ไม่รู้จักอะไรเลย เราอยู่กับสมมติ เราก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ จะเอาจะมีจะเป็น จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็ค่อยขัดค่อยเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่นู่นไปอยู่ที่นี่จะเข้าใจในธรรม ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่ปรับปรุงตัวเรา มันก็ยากที่จะเข้าใจ
บุคคลมีสติมีปัญญาพอรู้จักวิถีรู้จักแนวทาง ก็จะไปทำความเพียร การสร้างบารมีขันติวิริยะความเพียรสัจจะกับตัวเองเป็นอย่างนี้ การละการปล่อยการวาง ถ้าเราไม่รู้จุดปล่อยจุดวาง มันก็ยากที่จะวางได้
ถ้ารู้จุดปล่อยจุดวางแล้ว กำลังสติตามทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา รู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็ไม่เอาหรอก การเป็นทาสของอารมณ์เขาว่าเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ถ้าจิตที่ฝึกดีแล้ว แต่ในเวลานี้เพียงแค่การเจริญสติพวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่จิตเป็นบุญอยู่นั่นแหละ จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว มันจะไปได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่การหายใจเข้าออกทุกคนก็หายใจตั้งแต่เกิด แต่ขาดการฝึกฝน ก็เลยปล่อยลมหายใจไปโดยที่ขาดความรู้สึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก หยาบก็รู้ละเอียดก็รู้ เข้าสั้นก็รู้ออกสั้นก็รู้ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว รู้กาย’ ตั้งแต่ลุกจากที่ ตั้งแต่ยังไม่ตื่น ตั้งแต่รู้ตัว ตั้งแต่ตื่น พอรู้ตัวปุ๊บสติความรู้ตัวก็ตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ จิตก็ปกติอยู่ ถ้าจิตจะก่อตัวส่งออกไปภายนอก ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะรู้เท่าทัน นี่แหละจุดแรกเลยทีเดียวที่ทุกคนต้องสร้างสติให้มีให้เกิดขึ้น
ทุกคนก็มีธรรม ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็ได้สร้างตบะบารมีกันมาดีอยู่ระดับหนึ่ง บางทีก็เกือบเต็ม แต่ขาดการสร้างสติเข้าไปรู้ต้นเหตุของการเกิดของจิต ต้นเหตุของการเกิดของขันธ์ห้า อาการของขันธ์ห้า จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร นี่แหละสำคัญ ‘โมหะ’
เราเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปแยกรูปแยกนาม อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เข้าไปสำรวจ เข้าไปทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา อะไรกุศลอะไรอกุศล อะไรควรเจริญอะไรควรละ ถ้าเราหมั่นน้อมเข้าไปดูรู้อยู่จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการสำรวจ ในการผ่อนคลาย ในการละกิเลส สักวันหนึ่งกิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งไป กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสก็มีกันทุกคน กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส ส่วนจิตก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากก็มีหลายชนิด อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วยแล้วก็หวังด้วย เพราะว่าโมหะเข้ามาครอบงำ ความหลงเข้ามาครอบงำ
ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมกันจริงๆ ท่านก็ให้ละความอยาก อยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรม ท่านก็ให้ละออกให้หมดเสีย ความอยากนั่นแหละพาใจพากายมาประพฤติมาปฏิบัติ เราก็มาละความอยาก มาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติ
แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะรู้จิต ถ้ากำลังสติมีมาก บุคคลใดที่จะพิจารณาได้เลยก็พิจารณาจิตของตัวเองได้เลย
ขณะพิจารณานั้นจิตต้องสงบ ถ้าจิตยังสงบอยู่ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมาธิ’ บางทีจิตก็ยังเฉยๆ อยู่ ถ่้าจิตยังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า ก็ยังไม่ได้เรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ถ้าแยกจิตออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามได้ สมาธิความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ นี่เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นในการที่มองเห็นชัดเจน มองเห็นรูปมองเห็นนาม มองเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้ด้วยเห็นด้วย สติตามดูได้ด้วย จิตรับรู้ได้ด้วย แล้วก็รู้จักวิเคราะห์พิจารณา แล้วก็รู้จักละกิเลส
การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี พยายามทำเอานะ พยายามสร้างเอา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันมาเปี่ยม แต่การละกิเลส การแยกการคลายได้หมดจด ตรงนี้แหละสำคัญ เราต้องทำเอา เคี่ยวเข็ญตัวเองเอา อย่าให้คนอื่นได้มาบังคับ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราแล้วหรือยัง ทวารท้ังหกของเราทำหน้าที่อย่างไร รูปรสกลิ่นเสียงภายนอกผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก ส่งเข้าไปถึงวิญญาณของเรา หรือว่าดวงจิตของเรา ซึ่งเป็นอาการหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า ตัวสุดท้าย ตัววิญญาณ
จิตของเราเกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหม ผลักไสไหม เป็นกลางไหม จิตนี้เป็นของละเอียดอ่อนซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม นามกับรูปก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เราจะไปทิ้งสิ่งไหนสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจหมด เพราะว่าต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยกันอยู่ เหมือนกับต้นไม้ ต้องอาศัยเปลือกอาศัยแก่นอาศัยกระพี้ แล้วก็โลกภายนอก โลกธรรมแปด สมมติภายนอกต่างๆ กายของเราก็ยังเข้าไปคลุกคลีเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้หมด
ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ ผลักไสตั้งแต่สมมติ อย่างนั้นแหละ ไม่รู้จักอะไรเลย เราอยู่กับสมมติ เราก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ จะเอาจะมีจะเป็น จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็ค่อยขัดค่อยเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ขัดเกลาตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่นู่นไปอยู่ที่นี่จะเข้าใจในธรรม ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่ปรับปรุงตัวเรา มันก็ยากที่จะเข้าใจ
บุคคลมีสติมีปัญญาพอรู้จักวิถีรู้จักแนวทาง ก็จะไปทำความเพียร การสร้างบารมีขันติวิริยะความเพียรสัจจะกับตัวเองเป็นอย่างนี้ การละการปล่อยการวาง ถ้าเราไม่รู้จุดปล่อยจุดวาง มันก็ยากที่จะวางได้
ถ้ารู้จุดปล่อยจุดวางแล้ว กำลังสติตามทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของเรา รู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็ไม่เอาหรอก การเป็นทาสของอารมณ์เขาว่าเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ถ้าจิตที่ฝึกดีแล้ว แต่ในเวลานี้เพียงแค่การเจริญสติพวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่จิตเป็นบุญอยู่นั่นแหละ จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว มันจะไปได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ