หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 015

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 015
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 015
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย ฟังไปด้วยสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา

หยุดคิด ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากจิตก็จะหยุด สงบระงับลงไป สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา ก็จะมีความรู้สึกที่เด่นชัด นั่นแหละให้เราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง รับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง แล้วเราก็พยายามรู้จิต รู้ลักษณะความสงบ รู้ลักษณะอาการของจิต เวลาจิตเกิดเขาเกิดที่ตรงไหน เรื่องอะไรที่เขาเกิด เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราควบคุมได้หรือไม่ บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ต้องการให้เขาเกิด ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เขาก่อตัวขึ้นมา จิตของเราก็จะเคลื่อนเข้าไปรวมเร็วไวมากทีเดียว ถ้าความรู้ตัวของเราเร็วไวเราก็จะรู้ทัน

ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะรู้ทันเท่าไร เพราะว่าตามปกติก็ไม่ค่อยจะได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง นานๆ ถึงจะระลึกรู้ที ช่วงระลึกรู้ทีนั่นแหละช่วงมีสติ ท่านถึงบอกให้ระลึกรู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เรายังไม่รู้ฐานของจิต เราก็ให้รู้กายของเราเอาไว้ รู้การหายใจเข้าออก รู้การเคลื่อนไหวของกาย รู้ความปกติ อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากจิต

อะไรคือความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมา จิตของเราให้รับรู้ ถ้าเขาส่งออกไปภายนอกเราก็รู้จักดับ เราก็น้อมทำความเข้าใจ ถ้าเห็นอาการของความคิดผุดขึ้นมาก็ให้รู้ตั้งแต่ก่อตัว ถ้าจิตเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บเขาจะดีดออก ดีดออกจากความคิดตรงนั้น ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม

เราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกยากหรอก ถ้าเราสังเกตทันเขาจะแยกของเขาเอง จิตก็จะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา เหมือนกับไม่มีกาย นั่นแหละ ช่วงนั้นแหละจิตวางอัตตาตัวตน แต่อัตตาทางสมมติเราก็มีอยู่ จิตของเราจะเกิดส่งออกไปภายนอกเราก็ดับ ให้เขานิ่ง


จิตจะเกิดกิเลสเราก็ละกิเลสออกไปเสีย จิตก็จะว่าง เราก็หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์พิจารณาในสิ่งต่างๆ เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า สภาวธรรมเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เวลาเขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ เวลาเขาดับไปอนัตตาความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป จิตของเราเข้าไปรวมเข้าไปหลงตรงนี้ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นั่นแหละ อวิชชา ความไม่รู้ โมหะ ความหลง

พอเข้าไปหลงความคิดตรงนี้แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง หลงในโลกธรรมแปด หลงในลาภยศสรรเสริญ หลงเป็นทาสของอารมณ์ หลงเป็นทาสของกิเลส ถ้าเราคลายตรงนี้ได้ กำลังสติของเราตามทำความเข้าใจ ตามวิเคราะห์ ตามพิจารณาไม่ให้ขาดสายเลยแม้แต่นิดเดียว จนจิตยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยถึงจะวาง

ถ้าเราแยกได้ เราไม่ตามทำความเข้าใจ จิตของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม บางครั้งบางคราวจิตของเราก็สงบอยู่ ถ้าเรายังแยกตรงนี้ไม่ได้หงายตรงนี้ไม่ได้ ท่านจึงเปรียบเอาไว้ว่า เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ถ้าเราแยกได้เขาก็หงายขึ้นมา สมมติกับวิมุตติก็จะเห็นเด่นชัด ธรรมกับโลกก็จะเห็นเด่นชัด เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา พยายามเอา

ทุกคนก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนมีบุญมีวาสนา บุญเก่าก็มี บุญใหม่เราก็มาสร้างมาเสริม มาเติมมาเพิ่ม ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ดำเนินชีวิตของตัวเราใหม่ ทำตัวให้ดี ทำกายให้ดี รู้จักสำรวจสำรวมอินทรีย์ของเรา

ตื่นขึ้นมาแต่ละวันๆ บารมีของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละ การให้อภัยทานอโหสิกรรม ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที มีในกายในใจของเราหรือไม่ การพูดการจา พูดด้วยอารมณ์พูดด้วยอำนาจของกิเลส หรือว่าทำตามอารมณ์ทำตามอำนาจของกิเลส เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าเวลาเกิดกิเลสที เกิดความทุกข์ที ถึงจะรีบเข้าไปแก้ไข ไม่ใช่ เราต้องแก้ไขตัวเราตลอดเวลา ทุกข์หรือไม่ทุกข์เราก็ต้องแก้ไข

ในหลักธรรม การเกิดคือความทุกข์ เกิดทางกายเนื้อ จิตของเรามาก่อภพก่อชาติ มาเป็นมนุษย์ นี่เขาเรียกว่าภพมนุษย์ ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนมา มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีมาอยู่ระดับหนึ่ง นั่นคือการปฏิบัติธรรมระดับหนึ่ง

สูงขึ้นไป การเจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปแยกรูปแยกนาม ตรงนี้ไม่ค่อยจะได้ทำกันเท่าไร เราต้องพยายามน้อมสำรวจตรวจตราดูดีๆ อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านในการเจริญสติยากที่จะเข้าใจ เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจตรวจตรา

ทุกคนก็เกิดมาด้วยวิบากของกรรม วิบากกรรมมันคลายแล้วเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ขอให้ทุกคนจงพยายามหมั่นตัั้งใจกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มาอยู่ร่วมกันก็ให้อยู่ดีมีความสุข เรามาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ก็เปรียบเสมือนได้กลับมาบ้านของเรา ให้ถือเสียว่ามาถึงบ้าน อย่าไปกังวลอะไร มีอะไรก็ให้ทำใจให้สบาย ทำกายให้สบาย ปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเอง

เจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้เป็นอิสระ วางกายให้เป็นอิสระ อิสระจากความยึดมั่นถือมั่น อิสระจากภาระหน้าที่การงานทางบ้านมา ทีนี้จิตของเราอิสระจากกิเลส อิสระจากการเกิด แล้วหรือยัง เราก็ต้องพยายามมาศึกษา

จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็วิ่ง ทั้งวิ่งด้วยทั้งเกิดด้วย ทั้งทิฏฐิมานะที่จะผุดขึ้นมาโต้แย้ง เราก็ต้องพยายามดับ พยายามกด พยายามข่ม จนจิตของเราคลายทิฏฐิมานะ ความเห็นเก่าๆ ก็จะคลายไป ความสงสัยต่างๆ ก็จะหมดไป มีตั้งแต่กำลังสติ จะเข้าไปตามดู ตามค้นคว้า จนจิตยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยวางได้จริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง