หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 001
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 001
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
อากาศหนาวๆ เย็นๆ พากันไปเดินเล่น อยู่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเต๊นท์ไปกางนอนที่ศาลาริมน้ำ ชมสายน้ำเย็นๆ ยกป่าให้หมดทุกคน ยกวัดให้หมดทุกคน สนุกบำเพ็ญ ขึ้นอยู่กับตัวของเรา ว่าเราจะพิจารณาการเกิดการดับของความคิด ของจิตของเรา ได้เร็วได้ไวหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา
ทุกคนก็มีบุญกันหมดทุกคน ทุกคนก็มีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์และก็มีวาสนามีโอกาสได้มา มีโอกาสได้ไปทำบุญที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ทำบุญภายนอกเราก็ได้พากันไปทำ บุญภายในคือการชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของเรา ทุกคนก็ทำกันอยู่ แต่จะทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร รู้ หาเหตุหาผลกัน
คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ของจิต ทำไมจิตของเราถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมจิตของเราถึงเกิดความโลภความโกรธ ทำไมจิตของเราถึงหลง เราต้องเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผลให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากเราจะไม่ค่อยทันกันเท่าไร เมื่อจิตเกิดไปแล้ว หรือว่ารวมกับความคิดไปแล้วเราถึงรู้
ดูดีๆ นะทั้งพระทั้งชี กะประมาณในการขบฉันของตัวเอง ไม่ใช่ว่ามีมากเราก็เอามาก มีน้อยเราก็เอามาก ไม่ใช่ มีมากมีน้อยก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ถ้าเราเอาก็ให้เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าเอาด้วยความอยาก อันโน่นก็อยากอันนี้ก็อยาก มันไม่ใช่
เราละความอยากเสีย เป็นความต้องการของสติของปัญญา เข้าไปเอาถึงจะถูกต้อง จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องปัญญา ไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากเกิดความยินดี จะอร่อยหรือไม่อร่อยลิ้นเขาก็ทำหน้าที่ของเขา จิตก็มีหน้าที่รับรู้ เราต้องการรสไหนเราก็ปรุงแต่งด้วยสติด้วยปัญญาเอา
ไม่ใช่ว่าไปเดินจงกรม ไปนั่งปฏิบัติ นั่งสมาธิถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ ตามความเป็นจริงทุกคนก็ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ภพก่อนๆ ปฏิบัติกันมาตลอดเวลา แต่การศึกษาเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตรงนี้แหละที่ยังไม่รู้ต้นเหตุ
แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเรารู้ได้ต่อเนื่องกันไหม เราอาจจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่เป็นบางช่วง เป็นบางครั้ง เราไม่มีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้จิตซึ่งเป็นนามธรรม
ก็พยายามกันเอานะ มาที่นี่เหมือนกับมาบ้านของเรา เป็นบ้าน ทำกายให้เป็นบ้าน ทำกายให้เป็นวัด ทำวัดให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ วัดภายนอกแล้วก็วัดภายใน แล้วก็ทำใจให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ ใจของเรามีความสงบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา ใจของเราก็เป็นพระ ถึงจะอยู่ในคราบฆราวาสใจของเราก็เป็นพระ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี
ถ้าบุคคลมีสติมีปัญญาก็จะมองตัวเอง แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ให้เกิดขึ้น จากความอยาก ต้องรู้ให้ชัดเจน ลักษณะของจิตที่สงบ จิตที่ปราศจากกิเลส จิตที่ปราศจากการเกิด สติปัญญาไปเกิดไปทำหน้าที่แทน
อยู่กับโลกอยู่กับสมมติไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ เราต้องศึกษาตัวเราให้ถ่องแท้ เราอยู่กับโลก เราอยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ตรงจุดนี้ เราก็ต้องพยายามมาน้อมกายเข้ามาศึกษาดู หยุดนิ่ง สังเกตวิเคราะห์ดู ส่วนมากก็มีตั้งแต่จิตจะวิ่งส่งออกไปภายนอกกัน เลยไม่ได้หยุด
วันพรุ่งนี้ก็จะได้มีการบวชอีก 3-4 คน วันที่ 6 ก็บวชอีกหนึ่งคน วันที่ 16 ก็บวชอีก 3-4 คน ที่พักที่อาศัยของเราก็คงจะพอได้อยู่อยู่ เพราะว่าไม่ใช่หน้าฝน อยู่ตามร่มไม้ มันก็พออยู่กันอยู่ สมัยก่อนหลวงพ่อก็มาฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ ยิ่งลำบากกว่านี้ มาอาศัยอยู่ตามร่มไม้ ทั้งฝนตกทั้งหล่มยิ่งลำบาก จะเดินเข้ามาก็ยากต้องใช้มีดถากถางเข้ามา มีแต่ป่ารกป่าหนาม ที่พวกท่านมาเห็นนี้ อันนี้เป็นแค่เพียงปลายเหตุ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเองให้ต่อเนื่องกันสักระยะนะ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายของเราให้สบาย แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เด่นชัด สองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รับรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเราสร้างความรู้สึกตรงนี้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย แม้กระทั่งหลับตาลืมตา ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
รู้การหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย ถ้าเรารู้กายแล้ว ลึกลงไปแล้วก็จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความปกติ จิตปกติเป็นอย่างไร จิตนิ่งเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ความนิ่งความสงบนั่นแหละ คือสมาธิ
บางทีจิตของเราก็นิ่งอยู่ เขาเรียกว่าสมาธิ ก็มีอยู่ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ปล่อยให้จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอก เดี๋ยวก็เรื่องโน้นบ้างเดี๋ยวก็เรื่องนี้บ้าง แล้วก็ทำตามความคิด ทำตามอำนาจของจิต บางทีก็มีความคิด ซึ่งไม่ใช่ตัวจิต ก็เรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาแล้วจิตของเราเคลื่อนก็ไปรวมโดยที่เราไม่รู้ตัว เข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกันเป็นสิ่งเดียวกัน
นั่นแหละ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวม ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก เราก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ตรงนั้นอยู่ ตราบใดที่เรายังคลายตรงนี้ไม่ได้เราก็ยังหลงอยู่ หลงในส่วนที่ลุ่มลึกมากทีเดียว ในระดับของสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียรที่เพียงพอเราอาจจะสังเกตทัน
สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนกระทั่งถึงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ พวกเราสร้างความรู้สึกตัว แล้วก็สร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง นี่แหละ ตรงนี้สำคัญ เราต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ กำลังความรู้ตัวของเรามีมาก เราก็จะรู้จิต รู้เท่าทันความคิด รอบรู้ในกองสังขาร
ทิฏฐิมานะที่เกิดจากจิตเราก็พยายามดับ หยุด ไม่ให้จิตเกิด จิตจะเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความลังเลต่างๆ เราก็ดับ ทุกคนก็มีศรัทธา น้อมกายเข้ามาศึกษา เข้ามาทำความเข้าใจกัน เจริญสติให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง อย่าไปเกียจคร้านในการเจริญตรงนี้
ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็สร้างกันมาดี ศรัทธาของทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม มีความเสียสละ การบริจาค การให้ การละความตระหนี่เหนียวแน่น นี่ก็มีกันอยู่ตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้นทุกคนตรงนี้ก็มี ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที พรหมวิหารความเมตตา อันนี้ก็เป็นบารมีของทุกคนที่สร้างมาดี
บางทีบางคนบางท่านก็อาจจะเคยฝึกหัดปฏิบัติมา ไปฝึกที่โน่นบ้างฝึกที่นี่บ้าง ไปเถอะ มีโอกาสมีเวลา เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา ถึงเรายังเดินปัญญาไม่ได้ ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้ตัวเราเอง สร้างสะสมอานิสงส์ตรงนี้ ถึงเวลากำลังสติคงเรามีเพียงพอ เราก็อาจจะแยกรูปแยกนามได้ เดินปัญญาได้ แยกรูปแยกนามแล้วก็ เราก็จะได้ทำความเข้าใจ นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้
ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็วิบากกรรมสมมติก็ยัง ยังไม่คลาย เราก็ยังอยู่ในช่วงการสร้างบารมี เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะปลูกปุ๊บ เราจะเร่งให้เขาออกผลก็ไม่ได้ เราก็ต้องดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ย อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความอดทน เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้
การประพฤติการปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราอยากจะให้จิตของเราตกกระแสธรรม แยกรูปแยกนามให้ได้เร็วๆ ไวๆ ก็เป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยบารมี ค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เริ่มใหม่ อย่าไปถดถอย อย่าไปท้อถอย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง พยายามเดินด้วยสติเดินด้วยปัญญา
เราต้องทำความเข้าใจ อะไรคือความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา ลักษณะของจิต จิตที่เกิดเป็นอย่างไร จิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อะไรคือขันธ์ห้า ขันธ์ห้าประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม จิตกับความคิดเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องแยกในส่วนลึกๆ เหมือนกับเราจับเชือกฉีกออกเป็นเกลียวๆ แต่เขาก็รวมกันอยู่
ต้องพยายามพิถีพิถัน อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกต ลงมือวิเคราะห์ การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้านั้นมีกันทุกคน มีอยู่ประจำ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ให้ทัน ถ้าทันตรงจุดนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกระจ่าง
ทีนี้ความเพียรของเราจะชำระสะสางกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่แล้วเราจะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจมันก็ยากนะ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
ทุกคนก็ได้มาสร้างอานิสงส์กันเพียบพร้อม หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน ที่ได้มา ได้มาสร้างมาทำมาวิเคราะห์ ขอให้ทุกคนจงพยายามเข้าวัด ทำกายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะได้มองเห็นทางที่จะเดิน แต่ก็มองเห็นทางอยู่ สักวันหนึ่งเราคงจะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่ให้จิตของเราไปก่อภพก่อชาติที่ไหนอีก ก็ต้องทำความเพียรกันนะ
พยายามสร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้เป็นธรรมชาติที่สุดนะ ถ้าไปเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามรู้ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เพียงแค่เราเริ่มสร้างสติให้ต่อเนื่องกันเสียก่อนเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกระจ่างหมด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่ได้ไม่เห็น ไปที่ไหนให้ท่านก็ให้พูดเจริญสติทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเอง ถ้ารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็พยายามดับเอาไว้เสีย หยุดเอาไว้เสีย ดับวาง อยู่ปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้แจ้ง ท่านถึงว่าให้พยายามทำปัจจุบันให้แจ้งทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
สร้างความรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้โล่ง สมองให้โปร่ง ทำกายให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา สมมติต่างๆ ภาระต่างๆ วางเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนนะ
ทุกคนก็มีบุญกันหมดทุกคน ทุกคนก็มีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์และก็มีวาสนามีโอกาสได้มา มีโอกาสได้ไปทำบุญที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ทำบุญภายนอกเราก็ได้พากันไปทำ บุญภายในคือการชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของเรา ทุกคนก็ทำกันอยู่ แต่จะทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร รู้ หาเหตุหาผลกัน
คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความสะอาดความบริสุทธิ์ของจิต ทำไมจิตของเราถึงเป็นทาสของอารมณ์ ทำไมจิตของเราถึงเกิดความโลภความโกรธ ทำไมจิตของเราถึงหลง เราต้องเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ หาเหตุหาผลให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากเราจะไม่ค่อยทันกันเท่าไร เมื่อจิตเกิดไปแล้ว หรือว่ารวมกับความคิดไปแล้วเราถึงรู้
ดูดีๆ นะทั้งพระทั้งชี กะประมาณในการขบฉันของตัวเอง ไม่ใช่ว่ามีมากเราก็เอามาก มีน้อยเราก็เอามาก ไม่ใช่ มีมากมีน้อยก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ถ้าเราเอาก็ให้เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าเอาด้วยความอยาก อันโน่นก็อยากอันนี้ก็อยาก มันไม่ใช่
เราละความอยากเสีย เป็นความต้องการของสติของปัญญา เข้าไปเอาถึงจะถูกต้อง จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องปัญญา ไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากเกิดความยินดี จะอร่อยหรือไม่อร่อยลิ้นเขาก็ทำหน้าที่ของเขา จิตก็มีหน้าที่รับรู้ เราต้องการรสไหนเราก็ปรุงแต่งด้วยสติด้วยปัญญาเอา
ไม่ใช่ว่าไปเดินจงกรม ไปนั่งปฏิบัติ นั่งสมาธิถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ ตามความเป็นจริงทุกคนก็ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ภพก่อนๆ ปฏิบัติกันมาตลอดเวลา แต่การศึกษาเรื่องจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตรงนี้แหละที่ยังไม่รู้ต้นเหตุ
แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเรารู้ได้ต่อเนื่องกันไหม เราอาจจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่เป็นบางช่วง เป็นบางครั้ง เราไม่มีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้จิตซึ่งเป็นนามธรรม
ก็พยายามกันเอานะ มาที่นี่เหมือนกับมาบ้านของเรา เป็นบ้าน ทำกายให้เป็นบ้าน ทำกายให้เป็นวัด ทำวัดให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ วัดภายนอกแล้วก็วัดภายใน แล้วก็ทำใจให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ ใจของเรามีความสงบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา ใจของเราก็เป็นพระ ถึงจะอยู่ในคราบฆราวาสใจของเราก็เป็นพระ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี
ถ้าบุคคลมีสติมีปัญญาก็จะมองตัวเอง แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ให้เกิดขึ้น จากความอยาก ต้องรู้ให้ชัดเจน ลักษณะของจิตที่สงบ จิตที่ปราศจากกิเลส จิตที่ปราศจากการเกิด สติปัญญาไปเกิดไปทำหน้าที่แทน
อยู่กับโลกอยู่กับสมมติไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ เราต้องศึกษาตัวเราให้ถ่องแท้ เราอยู่กับโลก เราอยู่กับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ตรงจุดนี้ เราก็ต้องพยายามมาน้อมกายเข้ามาศึกษาดู หยุดนิ่ง สังเกตวิเคราะห์ดู ส่วนมากก็มีตั้งแต่จิตจะวิ่งส่งออกไปภายนอกกัน เลยไม่ได้หยุด
วันพรุ่งนี้ก็จะได้มีการบวชอีก 3-4 คน วันที่ 6 ก็บวชอีกหนึ่งคน วันที่ 16 ก็บวชอีก 3-4 คน ที่พักที่อาศัยของเราก็คงจะพอได้อยู่อยู่ เพราะว่าไม่ใช่หน้าฝน อยู่ตามร่มไม้ มันก็พออยู่กันอยู่ สมัยก่อนหลวงพ่อก็มาฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ ยิ่งลำบากกว่านี้ มาอาศัยอยู่ตามร่มไม้ ทั้งฝนตกทั้งหล่มยิ่งลำบาก จะเดินเข้ามาก็ยากต้องใช้มีดถากถางเข้ามา มีแต่ป่ารกป่าหนาม ที่พวกท่านมาเห็นนี้ อันนี้เป็นแค่เพียงปลายเหตุ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเองให้ต่อเนื่องกันสักระยะนะ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายของเราให้สบาย แล้วก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้เด่นชัด สองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รับรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้สึกนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเราสร้างความรู้สึกตรงนี้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย แม้กระทั่งหลับตาลืมตา ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
รู้การหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย ถ้าเรารู้กายแล้ว ลึกลงไปแล้วก็จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความปกติ จิตปกติเป็นอย่างไร จิตนิ่งเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ความนิ่งความสงบนั่นแหละ คือสมาธิ
บางทีจิตของเราก็นิ่งอยู่ เขาเรียกว่าสมาธิ ก็มีอยู่ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ปล่อยให้จิตของเราเกิดส่งออกไปภายนอก เดี๋ยวก็เรื่องโน้นบ้างเดี๋ยวก็เรื่องนี้บ้าง แล้วก็ทำตามความคิด ทำตามอำนาจของจิต บางทีก็มีความคิด ซึ่งไม่ใช่ตัวจิต ก็เรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาแล้วจิตของเราเคลื่อนก็ไปรวมโดยที่เราไม่รู้ตัว เข้าไปรวมจนเป็นตัวเดียวกันเป็นสิ่งเดียวกัน
นั่นแหละ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวม ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก เราก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ตรงนั้นอยู่ ตราบใดที่เรายังคลายตรงนี้ไม่ได้เราก็ยังหลงอยู่ หลงในส่วนที่ลุ่มลึกมากทีเดียว ในระดับของสมมติเราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียรที่เพียงพอเราอาจจะสังเกตทัน
สร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนกระทั่งถึงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ พวกเราสร้างความรู้สึกตัว แล้วก็สร้างได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง นี่แหละ ตรงนี้สำคัญ เราต้องพยายามสร้างความรู้สึกตัวให้ได้ทุกอิริยาบถ กำลังความรู้ตัวของเรามีมาก เราก็จะรู้จิต รู้เท่าทันความคิด รอบรู้ในกองสังขาร
ทิฏฐิมานะที่เกิดจากจิตเราก็พยายามดับ หยุด ไม่ให้จิตเกิด จิตจะเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน เกิดความลังเลต่างๆ เราก็ดับ ทุกคนก็มีศรัทธา น้อมกายเข้ามาศึกษา เข้ามาทำความเข้าใจกัน เจริญสติให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง อย่าไปเกียจคร้านในการเจริญตรงนี้
ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็สร้างกันมาดี ศรัทธาของทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม มีความเสียสละ การบริจาค การให้ การละความตระหนี่เหนียวแน่น นี่ก็มีกันอยู่ตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้นทุกคนตรงนี้ก็มี ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที พรหมวิหารความเมตตา อันนี้ก็เป็นบารมีของทุกคนที่สร้างมาดี
บางทีบางคนบางท่านก็อาจจะเคยฝึกหัดปฏิบัติมา ไปฝึกที่โน่นบ้างฝึกที่นี่บ้าง ไปเถอะ มีโอกาสมีเวลา เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเรา ถึงเรายังเดินปัญญาไม่ได้ ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็เป็นการสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้ตัวเราเอง สร้างสะสมอานิสงส์ตรงนี้ ถึงเวลากำลังสติคงเรามีเพียงพอ เราก็อาจจะแยกรูปแยกนามได้ เดินปัญญาได้ แยกรูปแยกนามแล้วก็ เราก็จะได้ทำความเข้าใจ นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้
ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็วิบากกรรมสมมติก็ยัง ยังไม่คลาย เราก็ยังอยู่ในช่วงการสร้างบารมี เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะปลูกปุ๊บ เราจะเร่งให้เขาออกผลก็ไม่ได้ เราก็ต้องดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ย อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความอดทน เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้
การประพฤติการปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราอยากจะให้จิตของเราตกกระแสธรรม แยกรูปแยกนามให้ได้เร็วๆ ไวๆ ก็เป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยบารมี ค่อยเป็นค่อยไป ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เริ่มใหม่ อย่าไปถดถอย อย่าไปท้อถอย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง พยายามเดินด้วยสติเดินด้วยปัญญา
เราต้องทำความเข้าใจ อะไรคือความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา ลักษณะของจิต จิตที่เกิดเป็นอย่างไร จิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อะไรคือขันธ์ห้า ขันธ์ห้าประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม จิตกับความคิดเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องแยกในส่วนลึกๆ เหมือนกับเราจับเชือกฉีกออกเป็นเกลียวๆ แต่เขาก็รวมกันอยู่
ต้องพยายามพิถีพิถัน อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกต ลงมือวิเคราะห์ การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้านั้นมีกันทุกคน มีอยู่ประจำ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ เรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ให้ทัน ถ้าทันตรงจุดนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกระจ่าง
ทีนี้ความเพียรของเราจะชำระสะสางกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่แล้วเราจะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจมันก็ยากนะ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
ทุกคนก็ได้มาสร้างอานิสงส์กันเพียบพร้อม หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน ที่ได้มา ได้มาสร้างมาทำมาวิเคราะห์ ขอให้ทุกคนจงพยายามเข้าวัด ทำกายเป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะได้มองเห็นทางที่จะเดิน แต่ก็มองเห็นทางอยู่ สักวันหนึ่งเราคงจะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่ให้จิตของเราไปก่อภพก่อชาติที่ไหนอีก ก็ต้องทำความเพียรกันนะ
พยายามสร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้เป็นธรรมชาติที่สุดนะ ถ้าไปเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เราพยายามรู้ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
เพียงแค่เราเริ่มสร้างสติให้ต่อเนื่องกันเสียก่อนเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกระจ่างหมด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่ได้ไม่เห็น ไปที่ไหนให้ท่านก็ให้พูดเจริญสติทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราเอง ถ้ารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็พยายามดับเอาไว้เสีย หยุดเอาไว้เสีย ดับวาง อยู่ปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้แจ้ง ท่านถึงว่าให้พยายามทำปัจจุบันให้แจ้งทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก
สร้างความรู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้โล่ง สมองให้โปร่ง ทำกายให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา สมมติต่างๆ ภาระต่างๆ วางเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวก่อนนะ