หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 25
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 25
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติทำความสงบ สร้างความรู้สึกตัวให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราให้ต่อเนื่องกัน ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง ลองดูสัก 2 - 3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดระงับดับไป กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
รู้ตัว รู้กาย แล้วก็รู้จิตรู้ลักษณะของจิต การเกิดการก่อตัวของจิต รู้ลักษณะของความคิด อาการของความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนไปรวมอย่างไรถึงเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกัน ตรงนี้สำคัญ ถ้าเราสังเกตทันตรงนี้ อวิชชา ความไม่รู้ก็จะคลาย วิชชาก็จะเกิดขึ้น แล้วก็ตามดูรู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเอง ถ้าเราไม่สนใจจริง ๆ ก็ยากที่จะรู้ ยากที่จะเข้าใจ
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีวาสนาได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาทุกคนนั่นแหละ อย่าว่าไม่ได้ปฏิบัติ ปฏิบัติโดยปริยายตั้งแต่เกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ร้องไห้ อุแว้ๆ แล้วก็หายใจเข้าหายใจออกตั้งแต่เกิด ปฏิบัติโดยหลักของธรรมชาติ ผ่านกาลผ่านเวลาจากเด็กเล็ก เด็กอ่อน เด็กโต ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้จักเปรี้ยวหวานมันเค็ม รู้จักดู รู้จักฟัง อันนั้นเป็นหลักของธรรมชาติในการดูในการรู้ ในการฟัง รู้จักผิดถูกชั่วดี ผ่านกาลผ่านเวลา
บางคนบางท่านได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก สติปัญญาทางโลกีย์ ทางโลกเป็นอัจฉริยะกัน นั่นเป็นหลักของการปฏิบัติธรรมระดับของโลกีย์ แต่การเจริญสติ การสร้างความรู้สึกตัวไม่ค่อยจะได้สร้างกันเท่าไหร่ แต่การควบคุมจิตมีเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ตลอดเราต้องพยายามมาสร้างความรู้ตัว มาสำรวจ
อะไรคือจิต อะไรคือลักษณะของขันธ์ห้า เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ท่านสอนเรื่องอะไร เรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ วิธีไหน นี่แหละท่านบ่งบอกเอาไว้หมด การสร้างตบะ สร้างบารมี การทำบุญให้กับตัวเรา
ทำความเข้าใจศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา ลักษณะของศีล ความหมายของศีล ความปกติของกาย ของวาจา นี่ก็ศีลระดับกาย ระดับวาจา ลึกลงไปก็ใจ ใจปกติ วจีกรรม มโนกรรม เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดว่าในกายของเรานี้มีอะไรดี ๆ เยอะ แต่พวกเราขาดการวิเคราะห์กายของตัวเองเท่านั้นแหละ จะไปวิเคราะห์เอาแต่ภายนอกอย่างเดียว มุ่งแต่ภายนอกอย่างเดียว
จิตปุถุชนคนทั่วไปมีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย แล้วก็ยึดด้วย เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากแล้วก็ละความหวัง แล้วก็ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย เข้าถึงความสงบด้วย
จิตของทุกคนแต่ละดวง สภาวะเดิมแท้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ ความไม่เข้าใจ ความหลงมาปิดบังเอาไว้ ทำให้เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ไม่ยอมปล่อย ยึดภายในแล้วก็ยึดข้างนอกอีก เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ก่อนที่เราจะปล่อยจะวางได้ เราก็รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธด้วยการเจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็ละความโกรธ จิตเกิดความโลภ เราก็ละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่น รู้จักให้อภัยทาน มีสัจจะกับตัวเอง มีความขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่ทำให้เรา ใครเขาจะทำให้ล่ะ เราต้องทำเอา แก้ไขเอา ปรับปรุงตัวเราเอง
การทำบุญการทำทาน เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน หลวงพ่อก็พาสร้างพาทำทุกวิถีทางทุกอย่างเท่าที่จะเป็นบุญ หลวงพ่อก็พยายามเป็นสะพานให้ แต่ก่อนหลวงพ่อก็พาไถ่ชีวิตโคกระบือ ก็ได้ร่วม ๆ 800 - 900 กว่าตัวภายในปีสองปี ก็ได้อนุเคราะห์ให้ทุกคน ทั้งบริจาคทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อสาธารณูปโภค ทางโรงเรียนบ้าง อนามัยบ้าง ให้ผู้เฒ่าผู้แก่บ้าง พาทำพาสร้างให้กับหมู่ให้กับคณะ ให้กับเพื่อนให้กับฝูง นี่แหละเป็นการทำบุญให้ทานอยู่ในระดับของสมมติ
ในระดับของวิมุตติทางด้านจิต เราต้องไปคลายจิตของเราออกจากขันธ์ห้า ออกจากความความคิด หมั่นเจริญหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์จนกว่าของจิตของเราจะแยกออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ตามทำความเข้าใจเราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร‘ ของตัวเราเอง
เมื่อจิตรู้ความจริงแล้วเขาก็จะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเราก็จะเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธองค์คืออริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ การเกิดของจิต การส่งออกไปของจิต การดับ การละทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าเห็นการเกิดดับของขันธ์ห้าแล้วก็จะเข้าใจในเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า นี่เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนาภูมิ’ ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา
ลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสมมติ ศีลสังคม ศีลภายใน ศีลภายนอก เราต้องทำความเข้าใจให้หมด การประพฤติปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะขัดเกลา เพื่อที่จะละกิเลส คลายความหลง ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราต้องหมั่นพร่ำสอนเรา เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ละวันเราได้สร้างอานิสงส์อะไรไว้บ้าง ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อแม่ กับพี่กับน้อง ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อย ๆ พวกเราทำกันแล้วหรือยัง
การได้ยินได้อ่านได้ฟัง ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะสำรวจจิต การที่จะละกิเลสนี่ พวกเราเริ่มกันแล้ว หรือยัง ก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล คนมีปัญญาฟังนิดเดียวไปสำรวจตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่เป็นทาสของกิเลส มีได้ เป็นได้ ทำได้ ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา
ยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าเป็นบุญอันประเสริฐแล้วแหละ การที่จะได้พบธรรมะ การที่จะได้พบผู้ชี้แนะแนวทางให้ เกิดมาทันยุคสมัยของพระพุทธองค์อันนี้ก็ยากอีก เกิดมาในประเทศที่เป็นสัมมาทิฐิ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้รู้ นี่ก็ยากอีก เราเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิก็ยากอีก เราต้องพยายาม พวกเรามีโอกาสมากมายกว่าหลายคน หลายประเทศ ก็ต้องพยายามหมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจกัน
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย จิตไม่เครียด กายไม่เครียด เอากาลเวลาภายนอกมาสร้างประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ทุกเรื่องในชีวิต ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หลับตาลืมตา เราต้องทำความเข้าใจกับจิตของเรา ถ้าถึงวาระเวลาแล้ว กายแตกดับนั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติจริง ๆ ตอนนี้เราวางด้วยสติ วางด้วยปัญญา วางด้วยเหตุด้วยผล ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
รู้ตัว รู้กาย แล้วก็รู้จิตรู้ลักษณะของจิต การเกิดการก่อตัวของจิต รู้ลักษณะของความคิด อาการของความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนไปรวมอย่างไรถึงเป็นสิ่งเดียวกันไปด้วยกัน ตรงนี้สำคัญ ถ้าเราสังเกตทันตรงนี้ อวิชชา ความไม่รู้ก็จะคลาย วิชชาก็จะเกิดขึ้น แล้วก็ตามดูรู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเอง ถ้าเราไม่สนใจจริง ๆ ก็ยากที่จะรู้ ยากที่จะเข้าใจ
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีวาสนาได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาทุกคนนั่นแหละ อย่าว่าไม่ได้ปฏิบัติ ปฏิบัติโดยปริยายตั้งแต่เกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์ร้องไห้ อุแว้ๆ แล้วก็หายใจเข้าหายใจออกตั้งแต่เกิด ปฏิบัติโดยหลักของธรรมชาติ ผ่านกาลผ่านเวลาจากเด็กเล็ก เด็กอ่อน เด็กโต ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้จักเปรี้ยวหวานมันเค็ม รู้จักดู รู้จักฟัง อันนั้นเป็นหลักของธรรมชาติในการดูในการรู้ ในการฟัง รู้จักผิดถูกชั่วดี ผ่านกาลผ่านเวลา
บางคนบางท่านได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก สติปัญญาทางโลกีย์ ทางโลกเป็นอัจฉริยะกัน นั่นเป็นหลักของการปฏิบัติธรรมระดับของโลกีย์ แต่การเจริญสติ การสร้างความรู้สึกตัวไม่ค่อยจะได้สร้างกันเท่าไหร่ แต่การควบคุมจิตมีเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ตลอดเราต้องพยายามมาสร้างความรู้ตัว มาสำรวจ
อะไรคือจิต อะไรคือลักษณะของขันธ์ห้า เราไม่เข้าใจแนวทาง พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ท่านสอนเรื่องอะไร เรื่องทุกข์ อะไรคือทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ วิธีไหน นี่แหละท่านบ่งบอกเอาไว้หมด การสร้างตบะ สร้างบารมี การทำบุญให้กับตัวเรา
ทำความเข้าใจศีล สมาธิ แล้วก็ปัญญา ลักษณะของศีล ความหมายของศีล ความปกติของกาย ของวาจา นี่ก็ศีลระดับกาย ระดับวาจา ลึกลงไปก็ใจ ใจปกติ วจีกรรม มโนกรรม เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดว่าในกายของเรานี้มีอะไรดี ๆ เยอะ แต่พวกเราขาดการวิเคราะห์กายของตัวเองเท่านั้นแหละ จะไปวิเคราะห์เอาแต่ภายนอกอย่างเดียว มุ่งแต่ภายนอกอย่างเดียว
จิตปุถุชนคนทั่วไปมีแต่ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย แล้วก็ยึดด้วย เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากแล้วก็ละความหวัง แล้วก็ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละได้ด้วย เข้าถึงความสงบด้วย
จิตของทุกคนแต่ละดวง สภาวะเดิมแท้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ ความไม่เข้าใจ ความหลงมาปิดบังเอาไว้ ทำให้เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ไม่ยอมปล่อย ยึดภายในแล้วก็ยึดข้างนอกอีก เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ก่อนที่เราจะปล่อยจะวางได้ เราก็รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธด้วยการเจริญพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็ละความโกรธ จิตเกิดความโลภ เราก็ละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่น รู้จักให้อภัยทาน มีสัจจะกับตัวเอง มีความขยันหมั่นเพียร ถ้าเราไม่ทำให้เรา ใครเขาจะทำให้ล่ะ เราต้องทำเอา แก้ไขเอา ปรับปรุงตัวเราเอง
การทำบุญการทำทาน เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน หลวงพ่อก็พาสร้างพาทำทุกวิถีทางทุกอย่างเท่าที่จะเป็นบุญ หลวงพ่อก็พยายามเป็นสะพานให้ แต่ก่อนหลวงพ่อก็พาไถ่ชีวิตโคกระบือ ก็ได้ร่วม ๆ 800 - 900 กว่าตัวภายในปีสองปี ก็ได้อนุเคราะห์ให้ทุกคน ทั้งบริจาคทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อสาธารณูปโภค ทางโรงเรียนบ้าง อนามัยบ้าง ให้ผู้เฒ่าผู้แก่บ้าง พาทำพาสร้างให้กับหมู่ให้กับคณะ ให้กับเพื่อนให้กับฝูง นี่แหละเป็นการทำบุญให้ทานอยู่ในระดับของสมมติ
ในระดับของวิมุตติทางด้านจิต เราต้องไปคลายจิตของเราออกจากขันธ์ห้า ออกจากความความคิด หมั่นเจริญหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์จนกว่าของจิตของเราจะแยกออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ตามทำความเข้าใจเราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร‘ ของตัวเราเอง
เมื่อจิตรู้ความจริงแล้วเขาก็จะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเราก็จะเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธองค์คืออริยสัจสี่ ความจริงอันประเสริฐ การเกิดของจิต การส่งออกไปของจิต การดับ การละทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าเห็นการเกิดดับของขันธ์ห้าแล้วก็จะเข้าใจในเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า นี่เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนาภูมิ’ ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา
ลักษณะศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสมมติ ศีลสังคม ศีลภายใน ศีลภายนอก เราต้องทำความเข้าใจให้หมด การประพฤติปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะขัดเกลา เพื่อที่จะละกิเลส คลายความหลง ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราต้องหมั่นพร่ำสอนเรา เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แต่ละวันเราได้สร้างอานิสงส์อะไรไว้บ้าง ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อแม่ กับพี่กับน้อง ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อย ๆ พวกเราทำกันแล้วหรือยัง
การได้ยินได้อ่านได้ฟัง ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การที่จะสำรวจจิต การที่จะละกิเลสนี่ พวกเราเริ่มกันแล้ว หรือยัง ก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจมีคุณค่ามากมายมหาศาล คนมีปัญญาฟังนิดเดียวไปสำรวจตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่เป็นทาสของกิเลส มีได้ เป็นได้ ทำได้ ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา
ยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็นับว่าเป็นบุญอันประเสริฐแล้วแหละ การที่จะได้พบธรรมะ การที่จะได้พบผู้ชี้แนะแนวทางให้ เกิดมาทันยุคสมัยของพระพุทธองค์อันนี้ก็ยากอีก เกิดมาในประเทศที่เป็นสัมมาทิฐิ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้รู้ นี่ก็ยากอีก เราเกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิก็ยากอีก เราต้องพยายาม พวกเรามีโอกาสมากมายกว่าหลายคน หลายประเทศ ก็ต้องพยายามหมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจกัน
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย จิตไม่เครียด กายไม่เครียด เอากาลเวลาภายนอกมาสร้างประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ทุกเรื่องในชีวิต ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หลับตาลืมตา เราต้องทำความเข้าใจกับจิตของเรา ถ้าถึงวาระเวลาแล้ว กายแตกดับนั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติจริง ๆ ตอนนี้เราวางด้วยสติ วางด้วยปัญญา วางด้วยเหตุด้วยผล ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ