หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 110

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 110
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 110
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 110
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 กันยายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราสักพักหนึ่ง ถึงเราทำไม่ได้ตลอด สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง โดยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดภาระหน้าที่การงานทางบ้านเราก็หยุดมาแล้ว เข้ามาถึงวัดแล้ว ทีนี้เรื่องการหายใจเข้าออกของเรา เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน

ฟังไปด้วย สร้างความรู้ตัว หายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เกิดความเคยชิน ทำให้เป็นกิจวัตรประจำตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวตั้งแต่ไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัว พอพลิกตัวปุ๊บ ความรู้ตัวตั้งมั่นขึ้นมาทันที รู้การหายใจเข้าออก รู้ความปกติของใจ จะลุก จะก้าว จะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำธุระทำภาระให้กับกาย สติพากายไปให้ใจรับรู้ จะลุกตั้งแต่ก้าวแรกความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ฝ่าเท้าของเรา

ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จะทำอะไรก็จะรู้ ความคิดที่เกิดจากตัววิญญาณในกายของเราเขาก่อตัวเมื่อไรก็จะเห็นอาการของใจ รู้จักควบคุม รู้จักหมั่นพร่ำสอนใจ อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็เอาไปสอนใจ ไปอบรมใจของเรา ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้ ในกายของเรานี้มีอะไรบ้างเขาก็จะเห็น เห็นใจแยกออกจากความคิด ในหลักธรรมท่านเรียกว่า รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเรา รอบรู้ในกองสังขารของตัวเรา มีกันทุกคน มีหมด มีครบบริบูรณ์ มีหมด อาการสามสิบสอง มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้า มีกายเนื้อ มีวิญญาณตัวสุดท้ายที่เข้าไปหลง เข้าไปรวม เข้าไปบงการ

เราต้องสร้างผู้รู้ สร้างสติตัวใหม่เข้าไปอบรมใจของเรา แล้วก็รู้ให้เท่าทัน เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย สติตามดูรู้เห็นจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้หมดทุกอย่างนั่นแหละ แล้วก็ละกิเลสออกจากใจ ดับความเกิดที่ใจ แม้แต่การเกิดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้มี มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ แต่เวลานี้ วิญญาณของเราทุกดวงนั้นมี แสวงหาบุญ อยากได้บุญ อยากทำบุญ มันก็ปิดกั้นเอาไว้แล้วแหละ แต่ถ้าไอ้เรื่องบุญนั้นมันได้อยู่ แต่เรื่องการที่จะเข้าไปดับความเกิดไปละกิเลสมันไม่มีเลย สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็ยังรู้เป็นบางครั้งบางคราว จะเข้าไปประหัดประหารกิเลสได้อย่างไร เพียงแค่สร้างให้มีเกิดก็ทั้งยาก

เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้รู้ชัดเจนว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ ทำไมท่านถึงเรียกว่า เป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงรู้ว่าอัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปอ่าน ไปฟัง รู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย เราถึงจะละ จะดับได้ ไม่อย่างงั้นละไม่ได้ ดับไม่ได้ ไปปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ มันจะไปได้อะไร มันก็ปฏิบัติด้วยความหลงทั้งนั้น หลงอาจจะหลงอยู่ในบุญ ก็ดีอยู่ ดีกว่าตกไปสู่ในความที่เป็นทุกข์ เราก็ต้องพยายาม ในหลักธรรมท่านให้ละหมด ให้เจริญกุศล แต่ไม่หลงไม่ยึด ให้สร้างกุศล สร้างประโยชน์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

กายของเรานี่มีโอกาสได้เกิดมา แต่จะไปบังคับกันไม่ได้หรอกของพวกนี้ ถ้าเราไม่รู้จักเจริญสติไปสอนเรา ไปที่ไหนมันก็ไม่เข้าใจหรอก พูดจนปากเปียกปากแฉะ มันก็ไม่เอาหรอก ถ้าคนจะเอานั้น สอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ โลกธรรมแปดเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างนี้ อยากร่ำอยากรวยเราก็ขยันหมั่นเพียร อยากทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เราก็รู้ฐานของใจ ละกิเลสออกจากใจของเรา อะไรคือโลก อะไรคือธรรม ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ เราจะไปทิ้งโลกก็ไม่ได้ เพราะว่ากายของเราก็ยังเป็นก้อนโลกอยู่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร เราแจงออกไปอีก ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร

พอรู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้ว ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทำความเพียรลงไปดูสิ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราเข้าใจแล้ว ใจของเราตกกระแสธรรม มีแต่ความสุข กิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราก็รู้เท่าทัน เรารู้จักหยุด รู้จักดับใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา คำว่า สมุทัย ใจส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร สติของเราต้องตั้งมั่นทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เอาไปสำรวจ เอาไปทำความเข้าใจ ไม่ให้พลาดพลั้งด้วยสติด้วยปัญญาของเราได้เลย จนกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา หมดความสงสัย หมดความลังเล สนุกอยู่กับบุญ ทำบุญ กายเป็นบุญ วาจาเป็นบุญ ใจเป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็อยู่กับบุญ ไม่หลง ไม่ยึด พากันไปทำ อย่าว่าไม่ทำ

แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรารีบสำรวจกาย สำรวจใจของเราว่าเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรารู้จักสร้างตบะ สร้างบารมี ไม่ใช่ว่าเอาแต่งอมืองอเท้า เกียจคร้าน สร้างสะสมความเกียจคร้าน จากครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง สะสมไปเรื่อยๆ ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ไปพาลเอาคนโน้นพาลเอาคนนี้ อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา พิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวไปโทษคนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดี ถึงภายนอกดีถึงขนาดไหนถ้าใจของเรามันไม่ดี ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าข้างนอกไม่ดี ใจของเราดีอยู่ที่ไหนก็ดีเหมือนเดิม ถ้าเรามีสติปัญญาทำความเข้าใจได้ อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรม ยืน เดิน นั่ง นอน เราก็ได้ฟังธรรม ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เราก็ได้ฟังธรรม ใจจะเกิดเราก็ได้ฟังธรรม นั่นแหละเขาเรียกว่าเป็นบุคคลที่สอนตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องจำเป็นต้องไปเที่ยววิ่งให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่จำเป็นไม่อยากจะพูดเลยแหละของพวกนี้ เพราะว่าทุกคนก็ฝักใฝ่สนใจ

ถ้ารู้จักวิธีแล้วแก้ไขตัวเองได้ ดูไม่ทันต้นเหตุ รู้จักดับ รู้จักหยุด ดับแล้วก็วาง ดับแล้วก็วาง พิจารณาดู เห็นให้ชัดเจน กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จิตมาร การเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้า กิเลสต่างๆ เขาก็หาตั้งแต่สิ่งดีๆ นั่นแหละมาเกิด เขาก็เอาธรรมนั้นน่ะมาหลอกคนชอบธรรม ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ ไปทำบุญที่โน่นที่นี่ แต่การเกิดของใจมันมีอยู่ตลอดเวลา มันก็เอาของดีๆ นั่นแหละมาหลอก เราก็ต้องพยายาม ทั้งดีทั้งชั่ว เราก็พิจารณาให้รู้เห็นความเป็นจริง วางมันหมดทุกอย่าง แล้วก็สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์เท่าที่โอกาสจะทำได้ เท่าที่กาลเวลาจะทำได้ ไม่ให้เลือกกาลเลือกเวลา รีบทำเถอะ อย่าว่าไม่ทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นเขาทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็ได้รับอานิสงส์แห่งบุญนั้น ทำจนเต็มจนล้น มีตั้งแต่ประโยชน์ มีโอกาสก็ให้ช่วยกันทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ทำ

เราอยากได้ป่า เราก็ต้องปลูกป่า เราอยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ต้องละกิเลส เราอยากจะได้บุญกุศล เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปงอมืองอเท้า เราอยากจะมีบ้านอยู่ เราก็สร้างบ้าน ได้หมด ทำความเข้าใจให้มันเต็มรอบให้ได้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน แม้กายจะแตกจะดับ ก็ดูรู้ใจของเรา ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ไม่ใช่ว่าไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่องอะไร ขอให้ฉันได้ไปวัด ขอให้ฉันได้ไปปฏิบัติธรรม สติก็ยังไม่รู้ ฐานของใจก็ยังไม่รู้ การละกิเลสก็ยังไม่รู้ ขอให้ได้ไปวัดไปปฏิบัติอย่างนั้นเขาเรียกว่าไปด้วยความหลง เราต้องไปด้วยผู้รู้ อยู่ด้วยผู้รู้ อยู่ด้วยปัญญา ถึงจะมีความสุข ก็ต้องพยายามกัน ได้มากได้น้อย ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเป็นเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง