หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 103
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 103
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 103
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย ด้วยการเจริญอานาปานสติ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้ เรื่องต่างๆ หยุดเอาไว้เสียก่อน เรื่องทางบ้าน เรื่องภาระหน้าที่การงานหยุดเอาไว้ ขณะนี้เรามีหน้าที่สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจยาวก็รู้ ลมหายใจออกสั้นก็รู้ เข้ายาวออกยาว เข้าสั้นออกสั้น หรือว่าหายใจแบบธรรมชาติที่สุด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่แสวงหาธรรม อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่ไม่เข้าใจในธรรม เราต้องรู้จักการเจริญสติเข้าไปอบรม อบรมกาย อบรมวาจา แล้วก็อบรมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา อะไรคือตัวใจที่แท้จริง อะไรคืออาการของใจ ในกายของเรานี้มีอะไร เยอะ มีอะไรดีๆ อีกเยอะมากมาย
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ว่ากายเนื้อของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีอาการสามสิบสอง มีขันธ์ห้า มีวิญญาณเป็นที่ครอบครอง ทำไมวิญญาณถึงเกิด หรือว่าใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ สติที่เราเข้าไปอบรมใจนี่เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา
ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามแก้ไข ใจของเรามีความเกียจคร้าน เราก็ต้องพยายามแก้ไข ใจของเราเกิดกิเลส เราก็พยายามรู้จักละ ค่อยพัฒนาจากความไม่รู้มาเป็นความรู้ ค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงวาระเวลาเขาก็จะมองเห็นทาง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ในเวลานี้ทุกคนก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิด อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ปฏิบัติธรรมกันมาอยู่ในระดับของสมมติ
ตั้งแต่เกิด เพียงแค่ทางด้านร่างกาย ทางด้านรูปธรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กมีการเปลี่ยนแปลงมาจากเด็กเป็นเด็กโต เด็กใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดชอบชั่วดี อยู่ในระดับของสมมติ อันนี้เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในความถูกต้อง มองเห็นว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ควรยังควรสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา
วันนี้ เมื่อวานนี้ ก็ได้มีลูกหลานคณะพยาบาลราชชนนี ที่พาหมู่พาคณะครูบาอาจารย์ พากันมา พามาวัด มาเปลี่ยนบรรยากาศ เป็นคนที่มีบุญ มีอานิสงส์ ได้เกิดมาแล้วก็ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ได้รับการฝึกหัด ได้รับการปฏิบัติ ทีนี้เรารู้จักหน้าที่ของเราแล้วหรือยัง ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์หน้าที่ของตัวเราให้ดี นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ
ถ้าใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ จิตใจของเราจะเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา จิตใจของเราจะมีความอิจฉาริษยา หรือว่าไม่มีความเสียสละ เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา กำจัดกิเลสภายในของเราให้มันหมดจดทั้งข้างนอกทั้งข้างใน ข้างนอกเราก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อน มีความเสียสละ แม้ตั้งแต่วาจาก็รู้จัก อะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด วาจา กาย อะไรควรกระทำหรือไม่ควรกระทำ ลึกลงไปกระทั่งใจ ถ้าเราไม่อบรมตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้ได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน ครูบาอาจารย์ก็หมั่นพร่ำสอน พ่อแม่ก็สอนเป็นตัวอย่างให้ลูกตั้งแต่เกิด เราก็พยายามทำตามหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของหมั่นพร่ำสอน ไปที่โรงเรียน ครูบาอาจารย์ก็คอยชี้แนะหาแนวทางทุกสิ่งทุกอย่างที่จะน้อมนำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข มีโอกาสก็ได้พามาวัดมาฝึก ฝึกความเสียสละ ฝึกความอดทนให้รู้จักตัวเรา แก้ไขตัวเรา มาที่วัดก็มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะแนวทางให้ พวกเราก็พยายามพากันไปฝึกหัดปฏิบัติ
ปฏิบัติฝึกได้เท่าไร ก็พยายามฝึก อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ความขยันไม่มี เราก็สร้างความขยันขึ้นมา ความรับผิดชอบไม่มี เราก็สร้างความรับผิดชอบให้มี เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียน เราก็ได้ทำบุญให้ตัวเรา พ่อแม่ก็พลอยภูมิใจที่ลูกได้ขยันหมั่นเพียร มีโอกาสแล้วก็ดำเนินให้ดี อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เสียดายเวลา ถ้าพลาดโอกาสแล้วก็ทั้งชีวิตอาจจะตกอับ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ตั้งใจเรียนให้มันจบ พ่อแม่อุตส่าห์หาเงินหาทองมาให้ กว่าจะได้ทีละบาท ทีละห้า ทีละสิบ นี้ยากแสนยาก พวกเราก็ต้องพยายาม
บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านก็สมมติก็ยังลำบากอยู่ เพราะว่าอานิสงส์ผลบุญผลทานทางสมมติการกระทำอยู่ปัจจุบันไม่เหมือนกัน แต่เวลา มีโอกาสได้เท่ากัน เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ถ้าถึงเวลาแล้ว ถ้าเราดำเนินปัจจุบันได้ดี อนาคตก็จะออกมาดี อย่าพากันไปปล่อยปละละเลย มีโอกาส เป็นคนที่มีบุญ มีวาสนาอยู่แล้ว ทีนี้การกระทำของเราอยู่ปัจจุบันก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี รู้จักรับผิดชอบ รู้จักเสียสละอยู่ตลอดเวลา นอน อย่าไปเกียจคร้าน นอนน้อย ปฏิบัติฝึกหัดตัวเองให้มากๆ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เหมือนกันหมด ทุกคนเกิดมาก็จะดำเนินชีวิตไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน
อยู่ในระหว่างของสมมติที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะร่างกายจะแตกดับ เราก็ยังพยายามสมมติของเราให้บริบูรณ์ ถึงเวลาแล้วก็ทุกคนก็ลงสู่ไตรลักษณ์หมด คืออนิจจังความไม่เที่ยง ทางด้านร่างกายก็ไม่เที่ยง ทางด้านจิตวิญญาณก็ไม่เที่ยง เพราะว่าเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามาเจริญสติ มาเจริญปัญญาตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราถึงจะรู้ เราถึงจะเห็น ตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ขยันหมั่นเพียรเอาไว้ ถ้ากำลังสติปัญญาของเราแก่กล้า เราก็ย่อมจะเข้าใจ พยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด หายใจ เวลาจะรู้ลมหายใจที บางทีก็อึดอัด บางทีก็แน่นหน้าท้อง บางทีสมองก็ตึง เราพยายาม ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็พยายาม ยิ่งทำความเข้าใจให้เป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ
การหายใจแบบธรรมชาติเป็นอย่างนี้ กายเป็นอย่างนี้ ใจเป็นอย่างนี้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง เราก็จะได้แก้ไขตัวเรา มองเห็นหนทางเดินที่ถูกต้อง พยายามสร้างความรู้การหายใจให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย ด้วยการเจริญอานาปานสติ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้ เรื่องต่างๆ หยุดเอาไว้เสียก่อน เรื่องทางบ้าน เรื่องภาระหน้าที่การงานหยุดเอาไว้ ขณะนี้เรามีหน้าที่สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจยาวก็รู้ ลมหายใจออกสั้นก็รู้ เข้ายาวออกยาว เข้าสั้นออกสั้น หรือว่าหายใจแบบธรรมชาติที่สุด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ทั้งที่แสวงหาธรรม อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม แต่ไม่เข้าใจในธรรม เราต้องรู้จักการเจริญสติเข้าไปอบรม อบรมกาย อบรมวาจา แล้วก็อบรมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา อะไรคือตัวใจที่แท้จริง อะไรคืออาการของใจ ในกายของเรานี้มีอะไร เยอะ มีอะไรดีๆ อีกเยอะมากมาย
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ว่ากายเนื้อของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร มีอาการสามสิบสอง มีขันธ์ห้า มีวิญญาณเป็นที่ครอบครอง ทำไมวิญญาณถึงเกิด หรือว่าใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ สติที่เราเข้าไปอบรมใจนี่เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา
ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราพยายามแก้ไข ใจของเรามีความเกียจคร้าน เราก็ต้องพยายามแก้ไข ใจของเราเกิดกิเลส เราก็พยายามรู้จักละ ค่อยพัฒนาจากความไม่รู้มาเป็นความรู้ ค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงวาระเวลาเขาก็จะมองเห็นทาง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ในเวลานี้ทุกคนก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิด อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ปฏิบัติธรรมกันมาอยู่ในระดับของสมมติ
ตั้งแต่เกิด เพียงแค่ทางด้านร่างกาย ทางด้านรูปธรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กมีการเปลี่ยนแปลงมาจากเด็กเป็นเด็กโต เด็กใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดชอบชั่วดี อยู่ในระดับของสมมติ อันนี้เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในความถูกต้อง มองเห็นว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ควรยังควรสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา
วันนี้ เมื่อวานนี้ ก็ได้มีลูกหลานคณะพยาบาลราชชนนี ที่พาหมู่พาคณะครูบาอาจารย์ พากันมา พามาวัด มาเปลี่ยนบรรยากาศ เป็นคนที่มีบุญ มีอานิสงส์ ได้เกิดมาแล้วก็ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ได้รับการฝึกหัด ได้รับการปฏิบัติ ทีนี้เรารู้จักหน้าที่ของเราแล้วหรือยัง ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์หน้าที่ของตัวเราให้ดี นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ
ถ้าใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ จิตใจของเราจะเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา จิตใจของเราจะมีความอิจฉาริษยา หรือว่าไม่มีความเสียสละ เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา กำจัดกิเลสภายในของเราให้มันหมดจดทั้งข้างนอกทั้งข้างใน ข้างนอกเราก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อน มีความเสียสละ แม้ตั้งแต่วาจาก็รู้จัก อะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด วาจา กาย อะไรควรกระทำหรือไม่ควรกระทำ ลึกลงไปกระทั่งใจ ถ้าเราไม่อบรมตัวเรา แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้ได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน ครูบาอาจารย์ก็หมั่นพร่ำสอน พ่อแม่ก็สอนเป็นตัวอย่างให้ลูกตั้งแต่เกิด เราก็พยายามทำตามหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของหมั่นพร่ำสอน ไปที่โรงเรียน ครูบาอาจารย์ก็คอยชี้แนะหาแนวทางทุกสิ่งทุกอย่างที่จะน้อมนำให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข มีโอกาสก็ได้พามาวัดมาฝึก ฝึกความเสียสละ ฝึกความอดทนให้รู้จักตัวเรา แก้ไขตัวเรา มาที่วัดก็มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะแนวทางให้ พวกเราก็พยายามพากันไปฝึกหัดปฏิบัติ
ปฏิบัติฝึกได้เท่าไร ก็พยายามฝึก อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ความขยันไม่มี เราก็สร้างความขยันขึ้นมา ความรับผิดชอบไม่มี เราก็สร้างความรับผิดชอบให้มี เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียน เราก็ได้ทำบุญให้ตัวเรา พ่อแม่ก็พลอยภูมิใจที่ลูกได้ขยันหมั่นเพียร มีโอกาสแล้วก็ดำเนินให้ดี อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เสียดายเวลา ถ้าพลาดโอกาสแล้วก็ทั้งชีวิตอาจจะตกอับ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ตั้งใจเรียนให้มันจบ พ่อแม่อุตส่าห์หาเงินหาทองมาให้ กว่าจะได้ทีละบาท ทีละห้า ทีละสิบ นี้ยากแสนยาก พวกเราก็ต้องพยายาม
บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านก็สมมติก็ยังลำบากอยู่ เพราะว่าอานิสงส์ผลบุญผลทานทางสมมติการกระทำอยู่ปัจจุบันไม่เหมือนกัน แต่เวลา มีโอกาสได้เท่ากัน เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ถ้าถึงเวลาแล้ว ถ้าเราดำเนินปัจจุบันได้ดี อนาคตก็จะออกมาดี อย่าพากันไปปล่อยปละละเลย มีโอกาส เป็นคนที่มีบุญ มีวาสนาอยู่แล้ว ทีนี้การกระทำของเราอยู่ปัจจุบันก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี รู้จักรับผิดชอบ รู้จักเสียสละอยู่ตลอดเวลา นอน อย่าไปเกียจคร้าน นอนน้อย ปฏิบัติฝึกหัดตัวเองให้มากๆ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เหมือนกันหมด ทุกคนเกิดมาก็จะดำเนินชีวิตไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน
อยู่ในระหว่างของสมมติที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะร่างกายจะแตกดับ เราก็ยังพยายามสมมติของเราให้บริบูรณ์ ถึงเวลาแล้วก็ทุกคนก็ลงสู่ไตรลักษณ์หมด คืออนิจจังความไม่เที่ยง ทางด้านร่างกายก็ไม่เที่ยง ทางด้านจิตวิญญาณก็ไม่เที่ยง เพราะว่าเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามาเจริญสติ มาเจริญปัญญาตามแนวทางของพระพุทธองค์ เราถึงจะรู้ เราถึงจะเห็น ตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ขยันหมั่นเพียรเอาไว้ ถ้ากำลังสติปัญญาของเราแก่กล้า เราก็ย่อมจะเข้าใจ พยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด หายใจ เวลาจะรู้ลมหายใจที บางทีก็อึดอัด บางทีก็แน่นหน้าท้อง บางทีสมองก็ตึง เราพยายาม ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็พยายาม ยิ่งทำความเข้าใจให้เป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ
การหายใจแบบธรรมชาติเป็นอย่างนี้ กายเป็นอย่างนี้ ใจเป็นอย่างนี้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง เราก็จะได้แก้ไขตัวเรา มองเห็นหนทางเดินที่ถูกต้อง พยายามสร้างความรู้การหายใจให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง