หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 83

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 83
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 83
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 83
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย นั่งตามสบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุด สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกชัดเจน

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้ต่อเนื่องกันเลยทีเดียว ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจ หรือว่าเกิดจากวิญญาณ เกิดจากขันธ์ห้า ซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี้มีกันทุกคน ความหลงตรงนี้มีกันทุกคน ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงทำให้เกิด

เกิดทางกายเนื้อ เกิดทางด้านรูปกายก็เกิดขึ้นมา ส่วนการเกิดทางวิญญาณนี่เขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดนั่นแหละ เกิดๆ ดับๆ เรารู้อยู่ ทั้งที่รู้ว่าความคิดเป็นทุกข์ แต่ก็ละไม่ได้ หยุดไม่ได้ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะว่าเราขาดการเจริญสติเข้าไปอบรมใจ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจ เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ ว่าเขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงหลง ทำไมเขาถึงเป็นทาสของกิเลส เกิดในส่วนลึกๆ ความหลงในส่วนลึกๆ นี่คือหลงในกายเนื้อของเรา หลงในกองสังขารของตัวเราเอง

ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปแยกแยะตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าเรารู้ เราเห็น ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูปว่าร่างกายของเรานี่แหละ กองความคิด กองอารมณ์ กองสังขารต่างๆ บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศลซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ตรงนี้แหละสำคัญ เพราะว่ามันมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น นอกจากตาสติตาปัญญาที่สร้างขึ้นมา ก็ต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบ เอามาเปิดเผย การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การอบรมใจของเราเป็นอย่างนี้ กายวิเวกใจวิเวก หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ จนใจกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือความว่าง ความบริสุทธิ์

ความว่าง ในความว่างนั้นมีใจอยู่ ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาถึงเป็นธาตุรู้ แต่ทั้งรู้ทั้งหลง หลงเกิด หลงเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาอบรมใจของเรา มาวิเคราะห์พิจารณาใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ได้เท่าไรก็เอา ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณในการสังเกต ในการวิเคราะห์

ใหม่ๆ ก็อาจจะลำบาก เพราะว่าใจชอบคิด ใจชอบเที่ยว กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน ธรรมก็มีเหตุมีผล โลกก็มีเหตุมีผล สมมติสัจจะ วิมุตติ สัจจะ มีหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เกิดแต่เหตุ เหตุภายนอก เหตุภายใน สำหรับหลักธรรมแล้วท่านให้ชี้ลงที่เหตุ ต้นเหตุของความทุกข์คือการเกิดของใจ การเกิดของใจเพียงแค่จุดเกิดจุดเดียวนั่นแหละ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาเองเอาไว้ แล้วก็เกิดความทะเยอทะยานอยากอีก ทั้งอยากด้วย หวังด้วย สารพัดอย่าง เอามาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด

ทั้งโลกธรรมแปด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เขาก็มาปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ กิเลสมารเขาก็หาเหตุหาผล บางทีก็เป็นฝ่ายกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ถ้าเรามาเจริญสติหัดวิเคราะห์ หัดอบรมใจของเรา อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือใจ การควบคุมใจ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวก ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ เราพยายามเข้าให้ถึงความหมายนั้นๆ เราก็จะเห็นความเป็นจริง หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะประพฤติปฏิบัติขัดเกลาตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง

ทำเรื่องของเราให้ดี ดูแลจิตใจของเราให้ดี ถ้าใจของเราดี ถึงภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม มีไม่มากหรอก ธรรมะก็มีอยู่ในกายของเรานี่แหละ รูปธรรม นามธรรม บางคนบางท่านก็ไปฝึกศึกษามาที่นู่นที่นี่ ก็ขอดำเนินให้ต่อเนื่อง ทุกวิถีทาง ทุกวิธีนั้นดีหมด ถ้าเราเข้าถึงใจ การเจริญสติก็เน้นลงอยู่ที่กายของเราให้ต่อเนื่อง ความหมายก็เพื่อที่จะให้ลึกถึงใจ แล้วก็ทำความเข้าใจทั้งสมมติทั้งวิมุตติ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องสมมติ วิมุตติ เรื่องหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ

อริยสัจคือความจริง ก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ ตำราก็อยู่ที่กายของเรานี่แหละ เราจงเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอน หมั่นวิเคราะห์พิจารณาจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง ใจของเรายอมรับความเป็นจริง รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การดับ การละ การสะสาง การทำความเข้าใจ ต้องเต็มที่เต็มเปี่ยม

แต่ละวันเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเกิดขึ้นที่กายของเรา มันมีหมด พวกมลทิน พวกนิวรณธรรมต่างๆ มีหมดเลย ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราจะเห็น แล้วก็ต่อเนื่อง แล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ แล้วก็ละให้ได้ หาเหตุ ชี้ลงที่เหตุที่ผล ใจของเรายอมรับความเป็นจริง มองเห็นเหตุเห็นผลความเป็นจริงเมื่อไร เขาไม่เอาหรอกทุกข์ เขาไม่เอาหรอกกิเลส

ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ให้พากันขยันหมั่นเพียร อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เวลาการเกิดมาในภพของมนุษย์นี้ก็นับว่ามีบุญ มีเวลาไม่มากนะ มีเวลาไม่มาก พยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ในใจของเรา ทำความเข้าใจให้ได้ก่อนที่สภาพร่างกายจะกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา การทำความเข้าใจ เมื่อวานนี้ก็ พระเราชีเราก็พากันรวมพลังปลูกต้นไม้ ปลูกต้นสาละ ก็ประมาณสัก 170 ต้น วันนี้ก็มาส่งอีกประมาณสัก 70 ต้น ก็ช่วยรวมพลังช่วยกันปลูกให้เสร็จ ก็เหลืออีก เพราะว่าไม้สาละที่จะนำมาส่งนั่นก็ประมาณสัก 300 ต้น จะได้เป็นป่าสาละ ป่าที่หอมป่าดอกไม้ ให้เป็นอานิสงส์ เป็นสิริมงคล บุญระดับสมมติเราก็ช่วยกันทำ

การชำระสะสางกิเลสเราก็ต้องละเอา จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้ เราต้องละเอา สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้ติดตามตัวตามใจของเรา มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ ตราบใดที่ใจของเรายังไม่หลุดพ้น เราต้องพยายาม ยังประโยชน์ สร้างประโยชน์ สร้างเสบียงเดินทางของตัวเราเอง ไปที่ไหนก็จะไม่ได้ลำบาก ไม่อดไม่อยาก ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข สุขจากภายใน แล้วก็ล้นออกไปสู่ภายนอก

ปีหน้า กะว่าหลวงพ่อก็จะพยายามว่าให้ทำให้เสร็จทุกอย่างของสมมติ จะได้พาฉลองสมโภชกัน ทั้งตั้งโรงทาน ทั้งทำทุกอย่างนั่นแหละ เท่าที่จะเป็นประโยชน์ อนุเคราะห์ให้หมดทุกอย่างเท่าที่กำลังกายจะอำนวยให้ อนุเคราะห์ให้ทั้งคนเป็นทั้งคนตาย ให้ไม่ได้ลำบาก ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง