หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 78
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 78
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 78
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ อย่าไปพิธีรีตองอะไรมากมาย
ให้เราพยายามรีบวิเคราะห์ รีบสังเกตกาย สังเกตใจของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราทุกเรื่อง สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ การควบคุมจิต การควบคุมอารมณ์ การสังเกต การวิเคราะห์ ทำความเข้าใจกับกายเนื้อของเราก้อนนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า มีรูป มีนาม อะไรคือส่วนนามธรรม ส่วนวิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นลักษณะอย่างไร
ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน รู้ไม่ทันก็รู้จักควบคุม หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นบุญ อันนี้เป็นอกุศล อันนี้เป็นกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ อะไรถูกอะไรผิด จนกว่าใจของเราจะคลายออก ดับความเกิด ละกิเลสของใจของเราได้นั่นแหละ
การได้กิน ได้ฟัง ได้อ่าน การแสวงหาแนวทาง ทุกคนแสวงหากันมาตั้งนานไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว จนกระทั่งได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเรา ไม่แสวงหาเรา ไม่หมั่นพร่ำสอนเรา ก็ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้หรอก แม้ตั้งแต่พระพุทธองค์ท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่ดำเนินตามก็เข้าไม่ถึงเหมือนกัน เราหิวข้าว เราไม่ทานข้าว เราก็ไม่อิ่ม อย่าไปมัวเมาเล่น เสียดายเวลา เป็นเรื่องของทุกคน แล้วก็เป็นเรื่องจำเป็นด้วย จำเป็นด้วยที่จะรู้ความจริงในชีวิตของตัวเรา ส่วนมากก็แสวงหากันอยู่ แต่เดินไม่ถึงกันสักที
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติก็กระท่อนกระแท่น ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะทำ มีแต่ไปนึกก็เอาไปคิดเอา แต่การทำบุญมีอยู่ การให้ทานมีอยู่ การเจริญพรหมวิหารมีอยู่ แต่มันก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามให้ถึงจุดหมายให้ได้ ว่าการเกิดของวิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การเจริญสติ กายวิเวก ใจวิเวก ยืนเดิน นั่ง นอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าไปถึงฐานของใจ สิ่งพวกนี้เราต้องพยายามสร้าง พยายามทำ ใจไม่สงบก็พยายามควบคุมให้สงบ สติไม่ต่อเนื่อง เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง สมมติโลกธรรมแปดอะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็รีบทำเสีย ที่พักที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยสี่ ที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยของกายเนื้อ
ส่วนวิญญาณของเราก็มาอาศัยกายเนื้อ ไม่อาศัยล่ะเขามาสร้างเลยแหละ มาสร้างภพกายเนื้อขึ้นมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ท่านถึงบอกว่ากายของเรานี่เป็นกองเป็นขันธ์ มีวิญญาณ ตัวสุดท้ายเข้ามาครอบครอง วิญญาณก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเขายังเกิด เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเขาเอง เพราะว่าเขาชอบเกิด ชอบเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส แสวงหาดิ้นรน
กำลังสติปัญญาของเรามีไม่เพียงพอ หาเหตุหาผลไม่เพียงพอ ก็ยากที่เขาจะยอมรับได้ กำลังสติปัญญาต้องหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม มองเห็นเหตุเห็นผล ละความเกิด ละกิเลส จนตัววิญญาณยอมจำนนได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมเชื่อ เขาถึงจะยอมหยุด ทั้งบังคับ ทั้งกระหนาบ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งสารพัดอย่าง
ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความแข็งกระด้าง สารพัดอย่าง มันก็ไม่ล้นเหลือจากความเพียรของเรา ตั้งสติตั้งปัญญาที่จะเข้าไปทำ เข้าไปแก้ไข ก็ต้องพยายามกัน อย่าไปทิ้งนะ อย่าพากันทิ้ง ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็พยายามขยันหมั่นเพียรกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นเขาได้พร่ำสอน เราจงสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
การทำบุญการให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ทำกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย การทำบุญก็มีกันอยู่เป็นประจำ แต่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผลตามความเป็นจริง แนวทางไม่มี ก็พระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบเอามาเปิดเผย ว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นลักษณะอย่างนี้ คือตัววิญญาณคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง
ที่ท่านบอกว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรมแปด รอบรู้ในทวารทั้งหกของเรา เขาทำหน้าที่ของเขาพร้อมมูล แต่ความไม่เข้าใจ ทำให้ตัวใจเข้าไปหลงไปยึดหมดทุกอย่างเลย ยึดหมดทุกอย่างก็ยังไม่พอ ก็ยังหาเหตุภายนอกเข้ามาทับถมอีก บุคคลที่มีปัญญาจะคลายออกให้มันหมด ยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือทุกอย่างไม่เข้าไปหลง เข้าไปยึด แม้แต่การเกิดของใจ เหลือตั้งด้วยสติปัญญาไปเกิดแทน ก่อนที่จะเข้าถึงความหมายตรงนี้ได้ เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะละจะวางได้ เราก็ต้องตามดู รู้ แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ การเกิดของจิต การเกิดของความคิด การละกิเลส เราต้องพยายามจัดการให้มันหมดจด
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ อย่าไปพิธีรีตองอะไรมากมาย
ให้เราพยายามรีบวิเคราะห์ รีบสังเกตกาย สังเกตใจของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราทุกเรื่อง สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างได้ต่อเนื่องหรือไม่ การควบคุมจิต การควบคุมอารมณ์ การสังเกต การวิเคราะห์ ทำความเข้าใจกับกายเนื้อของเราก้อนนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า มีรูป มีนาม อะไรคือส่วนนามธรรม ส่วนวิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นลักษณะอย่างไร
ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน รู้ไม่ทันก็รู้จักควบคุม หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นบุญ อันนี้เป็นอกุศล อันนี้เป็นกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ อะไรถูกอะไรผิด จนกว่าใจของเราจะคลายออก ดับความเกิด ละกิเลสของใจของเราได้นั่นแหละ
การได้กิน ได้ฟัง ได้อ่าน การแสวงหาแนวทาง ทุกคนแสวงหากันมาตั้งนานไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว จนกระทั่งได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเรา ไม่แสวงหาเรา ไม่หมั่นพร่ำสอนเรา ก็ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้หรอก แม้ตั้งแต่พระพุทธองค์ท่านก็ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่ดำเนินตามก็เข้าไม่ถึงเหมือนกัน เราหิวข้าว เราไม่ทานข้าว เราก็ไม่อิ่ม อย่าไปมัวเมาเล่น เสียดายเวลา เป็นเรื่องของทุกคน แล้วก็เป็นเรื่องจำเป็นด้วย จำเป็นด้วยที่จะรู้ความจริงในชีวิตของตัวเรา ส่วนมากก็แสวงหากันอยู่ แต่เดินไม่ถึงกันสักที
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือว่าการเจริญสติก็กระท่อนกระแท่น ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะทำ มีแต่ไปนึกก็เอาไปคิดเอา แต่การทำบุญมีอยู่ การให้ทานมีอยู่ การเจริญพรหมวิหารมีอยู่ แต่มันก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ อยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามให้ถึงจุดหมายให้ได้ ว่าการเกิดของวิญญาณในกายเนื้อของเราเป็นอย่างไร การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การเจริญสติ กายวิเวก ใจวิเวก ยืนเดิน นั่ง นอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ถ้ากำลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าไปถึงฐานของใจ สิ่งพวกนี้เราต้องพยายามสร้าง พยายามทำ ใจไม่สงบก็พยายามควบคุมให้สงบ สติไม่ต่อเนื่อง เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง สมมติโลกธรรมแปดอะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็รีบทำเสีย ที่พักที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยสี่ ที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยของกายเนื้อ
ส่วนวิญญาณของเราก็มาอาศัยกายเนื้อ ไม่อาศัยล่ะเขามาสร้างเลยแหละ มาสร้างภพกายเนื้อขึ้นมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ท่านถึงบอกว่ากายของเรานี่เป็นกองเป็นขันธ์ มีวิญญาณ ตัวสุดท้ายเข้ามาครอบครอง วิญญาณก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะเขายังเกิด เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเขาเอง เพราะว่าเขาชอบเกิด ชอบเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส แสวงหาดิ้นรน
กำลังสติปัญญาของเรามีไม่เพียงพอ หาเหตุหาผลไม่เพียงพอ ก็ยากที่เขาจะยอมรับได้ กำลังสติปัญญาต้องหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม มองเห็นเหตุเห็นผล ละความเกิด ละกิเลส จนตัววิญญาณยอมจำนนได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมเชื่อ เขาถึงจะยอมหยุด ทั้งบังคับ ทั้งกระหนาบ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งสารพัดอย่าง
ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความแข็งกระด้าง สารพัดอย่าง มันก็ไม่ล้นเหลือจากความเพียรของเรา ตั้งสติตั้งปัญญาที่จะเข้าไปทำ เข้าไปแก้ไข ก็ต้องพยายามกัน อย่าไปทิ้งนะ อย่าพากันทิ้ง ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็พยายามขยันหมั่นเพียรกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา อย่าให้คนอื่นเขาได้พร่ำสอน เราจงสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
การทำบุญการให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ทำกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย การทำบุญก็มีกันอยู่เป็นประจำ แต่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผลตามความเป็นจริง แนวทางไม่มี ก็พระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบเอามาเปิดเผย ว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละเป็นอย่างนี้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นลักษณะอย่างนี้ คือตัววิญญาณคลายออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง
ที่ท่านบอกว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรมแปด รอบรู้ในทวารทั้งหกของเรา เขาทำหน้าที่ของเขาพร้อมมูล แต่ความไม่เข้าใจ ทำให้ตัวใจเข้าไปหลงไปยึดหมดทุกอย่างเลย ยึดหมดทุกอย่างก็ยังไม่พอ ก็ยังหาเหตุภายนอกเข้ามาทับถมอีก บุคคลที่มีปัญญาจะคลายออกให้มันหมด ยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือทุกอย่างไม่เข้าไปหลง เข้าไปยึด แม้แต่การเกิดของใจ เหลือตั้งด้วยสติปัญญาไปเกิดแทน ก่อนที่จะเข้าถึงความหมายตรงนี้ได้ เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะละจะวางได้ เราก็ต้องตามดู รู้ แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ การเกิดของจิต การเกิดของความคิด การละกิเลส เราต้องพยายามจัดการให้มันหมดจด
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
พากันไหว้พร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ