หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 75

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 75
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 75
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 75
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 มิถุนายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่ม ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ อย่าไปมองข้ามในการสร้างความรู้ตัว ใจของทุกคนนั้นก็เป็นบุญ ใจของทุกคนนั้นก็มีศรัทธา แต่ขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจว่าการเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่ปกติ ใจที่สงบ ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ศรัทธาของทุกคนก็มี แต่ขอให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย เห็นความเป็นกลาง เห็นความถูกต้อง เห็นการเกิดการดับ รอบรู้ในกองสังขาร ในกายเนื้อ ในวิญญาณของเรา รอบรู้ในทวารทั้งหก รอบรู้ในโลกธรรมแปด

ขอให้เรารู้ฐานของใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิด​ ใจที่ปราศจากกิเลส บริหารด้วยสติด้วยปัญญา ทำหน้าที่ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่กับสมมติ​ ไม่ให้สมมติ​เขาครอบงำ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ​ ทำอย่างไรถึงจะยังสมมติ​ของเราให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดอานิสงส์ ให้เกิดบุญให้มากมาย เราก็พยายามศึกษาค้นคว้าบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมั่นพร่ำสอนตัวเรา อย่าไปเที่ยวไปให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน ถ้าเราสอนเราไม่ได้เราก็อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ กิเลสก็อยู่ที่เรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด อย่าไปแสวงหาธรรมนอกกายนี่หาไม่เจอ ต้องหาที่กาย เน้นลงที่กาย ดูให้รู้ถึงฐานของใจ ความรู้ตัวนี้แหละ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง

ช่วงใหม่ๆ ก็ลำบาก เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่า ความคิดเก่า ขันธ์ห้าเก่า เขาหลงมานาน เขาเกิด หลงเกิดหลงเที่ยว หลงเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เราจะมาขัดมาเกลา มาดับมาละ ให้เขายอมรับความเป็นจริงให้อยู่ในโอวาทของสติปัญญา มันก็ต้องชี้เหตุชี้ผล ตามทำความเข้าใจให้เห็นเหตุเห็นผล คลายให้ออก ทะลายกายของเรานี่แหละ คลายกายของเรานี่แหละ ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณเป็นอย่างไร กองของความคิด กองของรูปเป็นอย่างไร กองของสังขารเป็นอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล วิญญาณเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด

เราต้องหัดวิเคราะห์ให้รู้ด้วยเห็นด้วย ลักษณะของนิวรณ​ธรรม​เป็นอย่างไร ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความอิจฉาริษยา มองเห็นเราสูง มองเห็นคนอื่นต่ำ มองโลกในแง่ร้าย เราก็ต้องพยายามขัดเกลา ทำความเข้าใจ ใจของเรามีความอ่อนโยนหรือว่ามีความแข็งกระด้าง ใจของเรามีทิฏฐิ​มีมานะ ถือตัวถือตนอย่างไร แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขเราแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครเขาแก้ไขให้เราได้หรอก

เราอนุเคราะห์ให้กันได้ ช่วยเหลือกันได้ในระดับของสมมติ​ ในระดับของหลักใจเราก็ต้องแก้ไขตัวเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถึงธรรมชาติของใจที่แท้จริง กว่าจะเข้าถึงธรรมชาติของใจที่แท้จริงได้ กำลังสติ กำลังปัญญา ต้องรู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็หมั่นอบรมใจของเราให้ได้ ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเลยตามเลย​ ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเรามีความสงบ มีความสุข หรือว่ามีความพอดีหรือไม่ เราขาดตกบกพร่องอะไร การกินอยู่ การขบการฉันของเราเป็นอย่างไร ลำบากหรือไม่

ลึกลงไปกายหิวหรือใจเกิดความอยาก เราก็ต้องดู ความอยากแม้แต่นิดหนึ่งก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้พิจารณาด้วยสติด้วยปัญญา เอามาให้กายด้วยสติด้วยปัญญา การแสวงหา แสวงหามาด้วยสัมมาทิฏฐิ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนคนอื่น ยิ่งเรารู้จักวิญญาณของเรา แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา แยกใจของเราออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ออกจากนามธรรมด้วยกัน เราก็จะมองเห็นชัดเจน เห็นชัดแจ้ง ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย สติปัญญานี้แหละจะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลาใจของเราเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจเกิดสักกี่ครั้ง ทวารทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของ รูป รส กลิ่น เสียง เราก็ไปบังคับไม่ได้ เขาทำหน้าที่ของเขา เราไปจัดการที่ใจของเรา

ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร เราก็ต้องดูมัน ชี้แนะเหตุผลให้ใจรับรู้ความเป็นจริง จนเขารู้ มองเห็นความเป็นจริงได้ทุกอย่างนั่นแหละ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา จะเอา จะมี จะเป็น ก็เป็นแค่บริหารด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้น เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ความเป็นจริงมีอยู่ จริงระดับสมมติ​ จริงระดับวิมุตติ​ วิมุตติ​กับสมมติ​เขาก็อาศัยกันอยู่ วิญญาณเข้ามาอาศัยสร้างกายขึ้นมา อาศัยอยู่ กลับมายึด มาหลงมายึด ถ้าเราคลายแยกรูปแยกนามได้ เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นทุกข์หรอก ทุกคนปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่การดำเนินวิธีอุบายแนวทางต่างๆ กลับแสวงหามาทับถมดวงใจของตัวเองเสีย มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้หมด อันนี้จะไปโทษกันก็ไม่ได้ เพราะว่าบางคนก็สร้างมาดี บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย ไม่เหมือนกัน

แต่ขณะอยู่ปัจจุบันนี้มีโอกาสทุกคน มีเวลาเหมือนกันทุกคน ความขยันหมั่นเพียรจะต่างกันหรือไม่ ความเห็นที่ถูกต้อง ใครจะเห็นช้าเห็นเร็ว ทำความเข้าใจ ละกิเลสได้ช้าได้เร็ว ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล บางคนแสวงหาธรรมไม่รู้จักธรรม เพราะว่าไม่ได้เจริญสติเข้าไปแจง เข้าไปแยกแยะ ทั้งที่ใจเป็นธรรม ใจเป็นบุญ ก็ต้องพยายาม สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจในชีวิตของเรา​ เราอยู่กับสมมติ​เคารพสมมติ​ ไม่ยึดติดสมมติ​ ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เวลาภายนอก เวลาภายใน ทั้งงานสมมติ​ งานวิมุตติ​ เราก็ช่วยกัน

วันนี้ ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี มีโอกาสช่วยกันปลูกต้นไม้ เอาต้นไม้ใหญ่มาส่ง ต้นสาละ ต้นไทรใหญ่ ที่พวกเราได้ช่วยกันเอากอไผ่ออก ให้เป็นป่าสาละ ป่าไทร มีความร่มรื่นร่มเย็นอาศัยได้ พระเราก็ช่วยกันเอาไผ่ที่หลังศาลาหอฉันออกสัก 4-5 ต้น จะได้ปรับสถานที่ตรงนี้ เอาไทรใหญ่ เอาสาละมาลง ก่อนที่จะถึงวันเข้าพรรษา ก่อนที่จะถึงปีหน้าให้ได้มีความร่มรื่นร่มเย็น ก่อนที่จะได้ขึงธงทิว ถ้าเราขึงธงแล้วก็เอาเข้ามายากลำบาก จะทำให้เสร็จ เอาเข้ามาเสร็จก่อนเข้าพรรษา ส่วนที่ตั้งศาลาโรงทานช่างก็จะได้ทำไปเรื่อยๆ ก็คงจะเสร็จก่อนเข้าพรรษา หรือในพรรษา

ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะได้ฉลองสมโภชน์ ก็ให้บริบูรณ์หมด ทุกคนก็จะได้อยู่ดีมีความสุข มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันก่อ ช่วยกันสร้างให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ ให้เป็นแหล่งบุญฝากเอาไว้กับสมมติ​ ฝากเขาไว้กับแผ่นดิน อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า การฝึกหัดปฏิบัติสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา อานิสงส์ผลบุญก็จะติดตามตัวเราไป ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยากถ้าเรามีความเพียร ถ้าเรามีความเกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราต้องพยายามแก้ไข อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง