หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 70
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 70
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 70
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มสร้างเสียนะ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง หมั่นสำรวจ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ สำรวจตัวเรา หาใจของเราให้เจอ วิธีการแนวทางมีอยู่ แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา ศรัทธาและก็วิธีการที่จะทำความเข้าใจให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องปัญญา แล้วก็ทำความเข้าใจ ให้รู้ให้เห็น ว่ากายของเรานี่เป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างอิงอาศัยกันอยู่ แต่เราต้องรู้ด้วยปัญญา แยกแยะด้วยปัญญา ถึงจะเข้าถึง เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ใจของเราปกติสงบ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ใจของเรามีทิฏฐิมานะ มีความเห็นผิดอะไร เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปแก้ไข ในสภาวะเดิมของใจนั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้เขาถึงเกิด ความเกิดนี่แหละคือความหลง เพียงแค่การเกิด การปรุงการแต่ง แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อซึ่งมีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ นี่เพียงแค่มาคลายขันธ์ห้า มาแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน ก็ยัง ยังไม่เข้าใจกันตรงนี้ ทีนี้สำหรับตัวใจนั้นยังเกิดความทะเยอทะยานอยากอีก เกิดความโลภ เกิดความโกรธอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก สารพัดอย่าง ทั้งโลกธรรมเข้าครอบงำ มันก็เลยอีรุงตุงนังกันเลยทีเดียวถ้าว่าเราไม่รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี
แต่ละวันใจของเรามีความเสียสละ มีการคลาย มีการให้ ให้ มีการเอาออก รู้จักสำรวจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเป็นลักษณะดังนี้ นิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ มีหมดอยู่ในกายของเรา ขอให้เรารู้จุดเหตุเถอะ ทำความเข้าใจให้ได้เถอะ ใจของเราเมื่อรู้จุดปล่อยจุดวาง เขารู้ความจริงเขาไม่เอาหรอก เขาจะวางหมดทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าเขายังไม่รู้ เขาก็ต้องวิ่งหาที่พึ่ง วิ่งหาที่พึ่ง วิ่งหาด้วยความหลง ไปพึ่งอันโน้นบ้าง พึ่งอันนี้บ้าง
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปแยกไปคลาย สติก็จะเป็นที่พึ่งของใจ ถ้าเราคลายขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้หมดจด ความว่างนั่นแหละคือที่พึ่งของใจ คือเครื่องอยู่ของใจ ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มีสติปัญญาเป็นเพื่อนคอยเตือนใจอยู่ตลอดเวลา มีไม่มากถ้าคนเราขยันหมั่นเพียร หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมี พูดง่ายแต่การทำการลงมือมันยาก เพราะว่ามันปิดกั้นมานาน มันเกิดมานาน มันหลงมานาน
เราจะมาแยกมาคลาย มาสอนเขาให้ปล่อยให้วางหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แค่วันสองวันมันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องมาจากพื้นฐาน พื้นฐานที่มีการเอาออก มีการให้ มีความเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นการปฏิบัติตัวเราหมดเลยทีเดียว จนกระทั่งหมดลมหายใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามกัน สร้างสะสมบุญ สร้างสะสมคุณงามความดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งพยายามเพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบ จากหนักเป็นเบา จากเบาแทบจะไม่มี ดังที่หลวงพ่อพาทำมาตั้งแต่นานหลายปี ร่วมสามสิบปีโน้นแหละ จากความไม่มีอะไรก็ยังให้บริบูรณ์ ให้ทุกคนได้มีความสุข
เรามาเราก็ช่วยกันทำ พวกเรานั่นแหละก็ได้รับอานิสงส์ ไม่มีใครหรอก คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ได้รับประโยชน์ ได้รับความสงบสุขในระดับของสมมติ ทางด้านจิตใจก็คอยแก้ไขกันไปเท่าที่แก้ไขได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเสื่อมตั้งแต่วันเกิด เสื่อมตั้งแต่วันแรก คือความไม่เที่ยงตั้งแต่เกิดแล้วแหละ เกิดทางเนื้อทางหนังก็เปลี่ยนแปลงมา เป็นเด็กโต เด็กหนุ่มได้รับการศึกษาเล่าเรียน เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี จนกระทั่งจะถึงวาระเวลาเสื่อมลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปในทางด้านรูปธรรม แต่ทางด้านจิตวิญญาณเขาเกิดๆ เกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้ทุกขณะทุกเวลา เราถึงไม่เข้าใจตรงนั้น นั่นแหละความหลงอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว
เราต้องมาคลายจิตวิญญาณออกจากขันธ์ห้า รับรู้ มองเห็นความเป็นจริง แต่เขาก็อาศัยกายของเราอยู่ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากอยู่ จะไปบังคับกันก็ไม่ได้หรอกสิ่งพวกนี้ แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล แล้วแต่ความขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทาง ถ้าขยันไม่ถูกที่ถูกทางก็ยิ่งห่างไกล ถ้าขยันถูกที่ถูกทาง มีศรัทธา มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ทำความเข้าใจ ก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าการเกิดเป็นอย่างไร ความเกิดไม่เที่ยงเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ด้วยให้หมดจดเลยทีเดียว
นิวรณธรรมมลทินที่เกิดจากใจของเราเป็นอย่างไร มีอคติ มีเพ่งโทษ มองโลกในทางไม่ดี หรือว่ายกตัวเองต่ำ มองเห็นคนอื่นสูง มองเห็นคนอื่นต่ำ ยกตัวเองสูง สารพัดอย่าง เพียงแค่การเกิดของวิญญาณก็ยังไม่พอ ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งวิญญาณอีก ไปด้วยกันอีก แม้แต่สติปัญญา บางทีก็เป็นอกุศลอีก เราก็ต้องพยายามรีบแก้ไขเสีย เท่าที่จะแก้ไขได้ จากน้อยๆ ไปหามากๆ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มสร้างเสียนะ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง หมั่นสำรวจ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ สำรวจตัวเรา หาใจของเราให้เจอ วิธีการแนวทางมีอยู่ แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา ศรัทธาและก็วิธีการที่จะทำความเข้าใจให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องปัญญา แล้วก็ทำความเข้าใจ ให้รู้ให้เห็น ว่ากายของเรานี่เป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างอิงอาศัยกันอยู่ แต่เราต้องรู้ด้วยปัญญา แยกแยะด้วยปัญญา ถึงจะเข้าถึง เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ใจของเราปกติสงบ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ใจของเรามีทิฏฐิมานะ มีความเห็นผิดอะไร เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปแก้ไข ในสภาวะเดิมของใจนั้นเขาบริสุทธิ์ เพราะความไม่รู้เขาถึงเกิด ความเกิดนี่แหละคือความหลง เพียงแค่การเกิด การปรุงการแต่ง แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อซึ่งมีขันธ์ห้าเข้ามาห่อหุ้มเอาไว้ นี่เพียงแค่มาคลายขันธ์ห้า มาแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน ก็ยัง ยังไม่เข้าใจกันตรงนี้ ทีนี้สำหรับตัวใจนั้นยังเกิดความทะเยอทะยานอยากอีก เกิดความโลภ เกิดความโกรธอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก สารพัดอย่าง ทั้งโลกธรรมเข้าครอบงำ มันก็เลยอีรุงตุงนังกันเลยทีเดียวถ้าว่าเราไม่รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี
แต่ละวันใจของเรามีความเสียสละ มีการคลาย มีการให้ ให้ มีการเอาออก รู้จักสำรวจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเป็นลักษณะดังนี้ นิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ มีหมดอยู่ในกายของเรา ขอให้เรารู้จุดเหตุเถอะ ทำความเข้าใจให้ได้เถอะ ใจของเราเมื่อรู้จุดปล่อยจุดวาง เขารู้ความจริงเขาไม่เอาหรอก เขาจะวางหมดทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าเขายังไม่รู้ เขาก็ต้องวิ่งหาที่พึ่ง วิ่งหาที่พึ่ง วิ่งหาด้วยความหลง ไปพึ่งอันโน้นบ้าง พึ่งอันนี้บ้าง
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปแยกไปคลาย สติก็จะเป็นที่พึ่งของใจ ถ้าเราคลายขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้หมดจด ความว่างนั่นแหละคือที่พึ่งของใจ คือเครื่องอยู่ของใจ ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มีสติปัญญาเป็นเพื่อนคอยเตือนใจอยู่ตลอดเวลา มีไม่มากถ้าคนเราขยันหมั่นเพียร หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมี พูดง่ายแต่การทำการลงมือมันยาก เพราะว่ามันปิดกั้นมานาน มันเกิดมานาน มันหลงมานาน
เราจะมาแยกมาคลาย มาสอนเขาให้ปล่อยให้วางหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แค่วันสองวันมันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องมาจากพื้นฐาน พื้นฐานที่มีการเอาออก มีการให้ มีความเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นการปฏิบัติตัวเราหมดเลยทีเดียว จนกระทั่งหมดลมหายใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามกัน สร้างสะสมบุญ สร้างสะสมคุณงามความดี อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งพยายามเพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบ จากหนักเป็นเบา จากเบาแทบจะไม่มี ดังที่หลวงพ่อพาทำมาตั้งแต่นานหลายปี ร่วมสามสิบปีโน้นแหละ จากความไม่มีอะไรก็ยังให้บริบูรณ์ ให้ทุกคนได้มีความสุข
เรามาเราก็ช่วยกันทำ พวกเรานั่นแหละก็ได้รับอานิสงส์ ไม่มีใครหรอก คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ได้รับประโยชน์ ได้รับความสงบสุขในระดับของสมมติ ทางด้านจิตใจก็คอยแก้ไขกันไปเท่าที่แก้ไขได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเสื่อมตั้งแต่วันเกิด เสื่อมตั้งแต่วันแรก คือความไม่เที่ยงตั้งแต่เกิดแล้วแหละ เกิดทางเนื้อทางหนังก็เปลี่ยนแปลงมา เป็นเด็กโต เด็กหนุ่มได้รับการศึกษาเล่าเรียน เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี จนกระทั่งจะถึงวาระเวลาเสื่อมลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปในทางด้านรูปธรรม แต่ทางด้านจิตวิญญาณเขาเกิดๆ เกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้าก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้ทุกขณะทุกเวลา เราถึงไม่เข้าใจตรงนั้น นั่นแหละความหลงอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว
เราต้องมาคลายจิตวิญญาณออกจากขันธ์ห้า รับรู้ มองเห็นความเป็นจริง แต่เขาก็อาศัยกายของเราอยู่ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากอยู่ จะไปบังคับกันก็ไม่ได้หรอกสิ่งพวกนี้ แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล แล้วแต่ความขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทาง ถ้าขยันไม่ถูกที่ถูกทางก็ยิ่งห่างไกล ถ้าขยันถูกที่ถูกทาง มีศรัทธา มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ทำความเข้าใจ ก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าการเกิดเป็นอย่างไร ความเกิดไม่เที่ยงเป็นอย่างไร ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ด้วยให้หมดจดเลยทีเดียว
นิวรณธรรมมลทินที่เกิดจากใจของเราเป็นอย่างไร มีอคติ มีเพ่งโทษ มองโลกในทางไม่ดี หรือว่ายกตัวเองต่ำ มองเห็นคนอื่นสูง มองเห็นคนอื่นต่ำ ยกตัวเองสูง สารพัดอย่าง เพียงแค่การเกิดของวิญญาณก็ยังไม่พอ ขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งวิญญาณอีก ไปด้วยกันอีก แม้แต่สติปัญญา บางทีก็เป็นอกุศลอีก เราก็ต้องพยายามรีบแก้ไขเสีย เท่าที่จะแก้ไขได้ จากน้อยๆ ไปหามากๆ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ