หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 23

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 23
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 23
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 23
พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มีนาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราจะทำอย่างไรชีวิตของเรา อะไรคือใจ อะไรคืออาการของใจ ลักษณะของใจ หรือว่าวิญญาณ ทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในชีวิตของตัวเราอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ในการดูในการรู้ พยายามฝึกฝนตนเอง แก้ไขตัวเราเอง จากน้อยๆ ไปหามากๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน

เพียงแค่บุญระดับของสมมติพวกเราก็อย่าไปมองข้าม พยายามหมั่นสร้างคุณงามความดี ก็จะเป็นพื้นฐานส่งให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น นี่แหละเพียงแค่เรื่องทาน การให้ การเอาออก การสร้างการทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ ไม่มีพรหมวิหารก็คงจะทำไม่ได้ ถ้าเรามีความเห็นแก่ตัวมีความตระหนี่ ก็ยากที่จะคลายออกจากจิตใจของเราได้ ถ้าเรามีความเสียสละทั้งกำลังกายกำลังใจ มาหล่อหลอมช่วยกัน ความขยันหมั่นเพียรเพิ่มเข้าไปอีก การเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจให้ถูกต้องอีก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบริบูรณ์

เพราะว่าพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ ให้เห็นเหตุ เราพยายามทำเหตุให้ดี เจริญสติเข้าไปดู ละกิเลสของเราออกให้หมด ถึงเราละไม่ได้ คลายไม่ได้ ก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี ในสิ่งที่พวกเราสร้างมา นี่แหละคืออานิสงส์ พวกเราก็ได้มา อย่างเช่นศาลาอย่างนี้ พวกเราก็ได้มาอาศัยบังแดด บังลมบังเงา มาบำเพ็ญ ที่โน่นที่นี่ ที่สักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ก็ล้วนแต่เป็นอานิสงส์จากคนรุ่นก่อนๆ ทำมาไว้ให้ คนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างสานต่อ

แม้กระทั่งเมรุเผาศพเราก็ทำให้ เวลาตายไปแล้วก็เอาศพมาเผา เราพยายามเข้าวัด อย่าให้คนหามเข้าวัด เราพยายามเข้ามาก่อน มาศึกษามาทำความเข้าใจ ก่อนที่จะให้คนหาม เราพยายามเข้ามาก่อน เข้ามาศึกษา อะไรไม่เข้าใจเราก็มาศึกษา ถ้าเราเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหนเราก็รู้ใจรู้กายของเรา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นสำรวจใจของเราแต่ละวัน ใจของเรามีทิฏฐิมีมานะอะไร ใจของเราข้องแวะอะไร ยังมีพันธะภาระอะไรที่จะต้องแก้ไข เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็พยายามยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ก็จะส่งผลถึงทางด้านจิตใจก็จะไปได้เร็วได้ไว

นั่นแหละท่านถึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน สติเป็นที่พึ่งของใจ ใจก็แสวงหาที่พึ่ง ถ้าไม่มีที่พึ่ง ไปพึ่งเอาขันธ์ห้า ไปก่อร่างสร้างภพของมนุษย์มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ได้พึ่งบุญ สูงขึ้นไปก็ละวางหมด สติปัญญาเป็นที่พึ่ง แต่อาศัยบุญ แต่ไม่ยึดติดบุญ ยังบุญให้เกิดประโยชน์ สร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น จนเทวดาร้อน เทวดาก็อยู่ไม่ได้ ต้องลงมาช่วย มาช่วยหมด

อยู่ในวัดเรานี้เหล่าเทพเยอะมากมาย จากข้างบนสูงสุดลงมา จนกระทั่งภพภูมิต่ำๆ ก็มีมารวมกันหมด เกิดปาฏิหาริย์มากมาย ปาฏิหาริย์ของเหล่าเทพ แสดงปาฏิหาริย์แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องทำความเข้าใจ เดินปัญญา ใช้ปัญญา เราต้องรู้จักดับ รู้จักละ รู้จักรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณของเรา รอบรู้ในโลกธรรม แล้วก็ทำความเข้าใจ ไม่ให้ใจของเราไปยึดไปติด ไม่ให้ใจของเราไปเกิด คลายความหลง ละกิเลส การได้ยินได้ฟัง ทุกคนได้ยินได้ฟังกันเยอะ แต่การรู้การเห็นนี่มีน้อยจัง ให้เห็นเสียก่อน ทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง หรือว่ามีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเอาตั้งแต่บุญอย่างเดียว จะไปวัดทำบุญอย่างเดียว เราก็ต้องพยายามเข้าวัดภายในให้ได้เสียก่อน คือรู้ใจของเราให้เห็นเสียก่อน เรารู้อยู่แต่เราไม่รู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้เห็นตั้งแต่การก่อตัว การเริ่มต้น เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง

เพียงแค่การสร้างความรู้สึกรับรู้ ความเพียรตรงนี้ก็มีน้อยนิด ไม่ค่อยจะสนใจกันเลย จะได้รู้ฐานของใจ หรือฐานของวิญญาณได้อย่างไร ว่าเขาเริ่มเกิดอย่างไร เขาเริ่มก่ออย่างไร ความคิดกับตัววิญญาณเขาไปรวมกันได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเข้าถึง ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วย ใจคลายออกด้วย เราก็จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ท่านสอนคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความว่างเปล่า

รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้าของเราว่า ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณ ตัวสุดท้ายแยกคลายออกไปรับรู้ อันนี้คือร่างกายส่วนรูป ไอ้ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เขาเรียกว่า กองสังขาร ตัววิญญาณของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นแหละอัตตาเขาเกิด

เพียงแค่ใจเกิด วิญญาณเกิด ก็เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราแยกได้คลายได้ถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็น รู้ เห็น ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเรา ตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุทุกเรื่อง ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ความเกียจคร้านเข้าครอบงำได้อย่างไร ใจเกิดกิเลสได้อย่างไร ใจเข้าไปเสวย เข้าไปรวม เข้าไปรวมเขาเรียกว่าเข้าไปเสวย ได้อย่างไร ต้องแจงออกให้ละเอียด ความอยากมีอยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ความเกิด เราก็จะมองเห็นชัดเจน

ใหม่ๆ ใจของเราก็ยังอาศัยขันธ์ห้า อาศัยเป็นทาสของกิเลส อาศัยความคิด อาศัยอารมณ์ เข้าไปพึ่งเอาตรงโน้น แล้วก็ไปพึ่งเอาสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง สารพัดเรื่อง ที่เราพากันสวดกันท่องอยู่ทุกวัน ทุกเช้าทุกเย็น แทนที่จะเจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล แจงออกให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ละเอียด นั่นแหละคือ สรณะของใจ อาศัยธรรมของพระพุทธองค์ที่ท่านชี้แนะแนวทางให้

ธรรมมีอยู่ประจำโลก แต่พวกเราอาศัยปัญญาของผู้รู้ เข้าไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ทำความเข้าใจให้มันถูกต้องทุกเรื่อง ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กายเนื้อ กายหยาบกายละเอียด เราต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดหมด ถึงจะมองเห็น หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะจัดการกับกิเลส ดับความเกิดให้มันหมดจด

ฉลาดมามาก ถ้าไม่ยอมโง่ก็จะไม่ฉลาด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าใจของเรามันฉลาดแบบโลกๆ เรามาดับ มาละ มาคลาย ถึงจุดหนึ่งก็เหมือนกับไม่มีอะไร คือความว่าง ทีนี้สติปัญญาของเราก็หมั่นพร่ำสอนใจ หมั่นสร้างกำลังใจ ใจเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับ การดับนั่นแหละเขาเรียกว่า สมถะ สร้างกำลังใจ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปพิเคราะห์พิจารณาทำความเข้าใจ ทุกครั้งทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนใจของเรามีพลัง มีอำนาจ มีพลัง อะไรเข้ามากระทบกระทั่งใจของเราก็ไม่เกิด อะไรเข้ามากระทบกระทั่งใจของเราก็ไม่เกิด ขันธ์ห้าคือความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดเข้ามาเราก็ใช้สติปัญญาตามดู รู้แล้วก็ละออกให้มันหมด ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ก็จะค่อยเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนใจไม่เกิดนั่นแหละ แล้วก็วางใจให้เป็นอิสรภาพ ให้เขารับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาของเราเข้าไปแก้ไข

เพียงแค่การสร้างความรู้สึกสัก 5 นาที พวกเรายังทำกันไม่ได้ต่อเนื่อง กิเลสมันครอบครองมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์แล้ว กี่ชั่วโมงกี่นาที เราไล่เรียงเคียงลงไปดู เราก็จะเห็น ถ้าเราหมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี ละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลง ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อสู้กันไป กุศลหรืออกุศลจะมากกว่ากัน ถ้าฝ่ายกำลังกุศลหรือว่าสติปัญญาของเรามีมาก ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็จะคลาย เขาก็ไม่เอาหรอกความทุกข์น่ะ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา แต่เราต้องฝึก ต้องอดต้องทน ต้องแก้ไขทุกวิถีทางเท่าที่เราจะดำเนินได้ทำได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยก็ต้องพยายาม

การพูดนี่ง่ายนะ ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง เรายังไม่รู้เลย เรายังแยกแยะไม่ได้เลย อย่าไปพูดเลยถึงเรื่องธรรมขั้นสูงๆ โน่น เอาแค่ขั้นตรงนี้ให้มันได้เสียก่อน ก็ยังทำกันไม่ได้ แต่ก็ยังดี ดีอยู่ในการฝักใฝ่ในบุญในกุศล พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบให้เป็นทวีคูณ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่ง ขยันอย่างยิ่ง ทำความเพียรอย่างยิ่ง ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าเรารู้ความจริงแล้ว สติ ปัญญา สมาธิ เขาจะรักษาเราเอง ไม่จำเป็นต้องไปรักษาเขายากเลย

ถ้าใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด เขาก็เป็นสมาธิ เขาก็ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน ยากตั้งแต่การฝึกฝน ช่วงใหม่ๆ ช่วงละกิเลส ขัดเกลากิเลส คนมีอานิสงส์ คนมีบุญนี่ไม่เอาหรอก กิเลส ละออกมันหมด ดับให้มันได้ ใช้สติปัญญาให้มันเป็นประโยชน์ ใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อะไรคือกิเลส ความทะเยอทะยานอยาก ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง