หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 15
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 15
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 15
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือการชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด บริหารสมมติ อยู่กับสมมติอย่างมีความสงบความสุข ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ไม่ใช่จะไปปล่อยปละละเลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เราช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ในระดับไหน เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต อะไรคือรูป อะไรคือนาม ไม่ใช่ว่าจะไปรอวันเวลา เวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ เราขาดตกบกพร่องอะไร จริตนิสัยของเราเป็นอย่างไร เราต้องรีบแก้ไขเสียขณะที่ยังมีกำลังกายยังแข็งแรงอยู
แนวทางนั้นก็มีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ มีหมดนั่นแหละ เพราะว่าความหลง ความเกิด ความหลงปิดกั้นเอาไว้หมด เรามาเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับวิญญาณของเรา ไม่ใช่ว่าวิญญาณของเราตัวสั่งการสั่งงานอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักวิเคราะห์ เราก็รู้จักทำความเข้าใจอีกว่าอะไรควรคิด อะไรควรละ อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
ความคิดที่เกิดจากวิญญาณให้ดับ ความคิดที่เกิดจากส่วนสมองก็คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ ก็ต้องพยายาม มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่อยู่ในกายของเรา นอกนั้นก็เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร เราพยายามเข้าให้ถึงแก่นสารก็คือ ความว่าง
‘ความว่าง’ ความว่างนั้นมีวิญญาณอยู่ ตัววิญญาณนั่นแหละคือตัวแก่น แต่วิญญาณของเรายังเกิดอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์หรือทาสของกิเลสอยู่ ต้องรู้จักตัวของวิญญาณ ถ้าไม่รู้จักตัวของวิญญาณ วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวบงการ วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวหลอกล่อให้เราหลงอยู่ตลอด เราต้องเจริญสติไปอบรมวิญญาณ หรืออบรมใจของตัวเอง แล้วก็ควบคุม ใหม่ๆ ก็ควบคุม ทั้งอดทั้งข่มทั้งฝืน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน เขาก็หาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาหลอกล่อ
เพราะว่าการเกิดเขามีอยู่ เขาสร้างภพสร้างชาติ สร้างอัตตาตัวตนมาปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ในระดับของกายเนื้อก็มาปิดกั้นเอาไว้ ในระดับของนามธรรมอีก ตัวเขาก็เกิดหลอกล่อตัวเองอีก เพราะว่าเราสาวเข้าไปไม่ถึงต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุเขาก่อตัวยังไง เราก็ดับ ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ถ้าการสังเกตไม่ต่อเนื่อง การวิเคราะห์ไม่ต่อเนื่อง สารพัดอย่างเขามาปิดกั้นเอาไว้หมดทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่ในหลักธรรมเราต้องดับความอยากเสีย ให้เป็นการทำด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เราก็จะอยู่กับบุญ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย อยู่ที่กายของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ดูแล พูดง่ายนะ แต่การลงมือกันทำต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ อดทนอดกลั้นสารพัดอย่าง จนกว่าใจของเราจะตกกระแสธรรม หมายถึงใจของเราคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น แยกรูปแยกนามนั่นแหละ ขณะแยกรูปแยกนามได้แล้วยังตามดูรู้เหตุรู้ผลอีก ทุกอย่างอีก จนเขามองเห็นความเป็นจริง จนอยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ เคารพสมมติ จนอยู่อุเบกขาได้นั่นแหล่ะ
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ในกายของเราหมด ก็พยายามเอา การทำบุญให้ทานทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม พื้นฐานมีกันมาตลอด แต่การแยกรูปแยกนาม ดับการเกิด ละกิเลสให้หมดจดก็ขึ้นกับตัวของแต่ละบุคคล อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา จงหมั่นแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราเป็นบุคคลที่ฉลาด รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราตลอดเวลา นอกนั้นก็ช่วยเหลืออนุเคราะห์กันในทางสมมติ ด้วยเหตุด้วยผลเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้นเอง ไม่มีใครหายใจแทนกันไม่ได้ ตายแทนกันไม่ได้ ความเป็นจริงเป็นอยู่อย่างนั้น เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็อยู่กับสมมติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
สร้างรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือการชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเราเอง คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด บริหารสมมติ อยู่กับสมมติอย่างมีความสงบความสุข ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ไม่ใช่จะไปปล่อยปละละเลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร เราช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ในระดับไหน เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต อะไรคือรูป อะไรคือนาม ไม่ใช่ว่าจะไปรอวันเวลา เวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ เราขาดตกบกพร่องอะไร จริตนิสัยของเราเป็นอย่างไร เราต้องรีบแก้ไขเสียขณะที่ยังมีกำลังกายยังแข็งแรงอยู
แนวทางนั้นก็มีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ มีหมดนั่นแหละ เพราะว่าความหลง ความเกิด ความหลงปิดกั้นเอาไว้หมด เรามาเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับวิญญาณของเรา ไม่ใช่ว่าวิญญาณของเราตัวสั่งการสั่งงานอยู่ตลอดเวลา แม้ตั้งแต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักวิเคราะห์ เราก็รู้จักทำความเข้าใจอีกว่าอะไรควรคิด อะไรควรละ อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
ความคิดที่เกิดจากวิญญาณให้ดับ ความคิดที่เกิดจากส่วนสมองก็คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่ง เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ ก็ต้องพยายาม มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่อยู่ในกายของเรา นอกนั้นก็เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร เราพยายามเข้าให้ถึงแก่นสารก็คือ ความว่าง
‘ความว่าง’ ความว่างนั้นมีวิญญาณอยู่ ตัววิญญาณนั่นแหละคือตัวแก่น แต่วิญญาณของเรายังเกิดอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์หรือทาสของกิเลสอยู่ ต้องรู้จักตัวของวิญญาณ ถ้าไม่รู้จักตัวของวิญญาณ วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวบงการ วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวหลอกล่อให้เราหลงอยู่ตลอด เราต้องเจริญสติไปอบรมวิญญาณ หรืออบรมใจของตัวเอง แล้วก็ควบคุม ใหม่ๆ ก็ควบคุม ทั้งอดทั้งข่มทั้งฝืน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน เขาก็หาสิ่งดีๆ นั่นแหละมาหลอกล่อ
เพราะว่าการเกิดเขามีอยู่ เขาสร้างภพสร้างชาติ สร้างอัตตาตัวตนมาปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ในระดับของกายเนื้อก็มาปิดกั้นเอาไว้ ในระดับของนามธรรมอีก ตัวเขาก็เกิดหลอกล่อตัวเองอีก เพราะว่าเราสาวเข้าไปไม่ถึงต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ เหตุเขาก่อตัวยังไง เราก็ดับ ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ถ้าการสังเกตไม่ต่อเนื่อง การวิเคราะห์ไม่ต่อเนื่อง สารพัดอย่างเขามาปิดกั้นเอาไว้หมดทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่ในหลักธรรมเราต้องดับความอยากเสีย ให้เป็นการทำด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เราก็จะอยู่กับบุญ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย อยู่ที่กายของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ดูแล พูดง่ายนะ แต่การลงมือกันทำต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ อดทนอดกลั้นสารพัดอย่าง จนกว่าใจของเราจะตกกระแสธรรม หมายถึงใจของเราคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น แยกรูปแยกนามนั่นแหละ ขณะแยกรูปแยกนามได้แล้วยังตามดูรู้เหตุรู้ผลอีก ทุกอย่างอีก จนเขามองเห็นความเป็นจริง จนอยู่กับสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ เคารพสมมติ จนอยู่อุเบกขาได้นั่นแหล่ะ
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ในกายของเราหมด ก็พยายามเอา การทำบุญให้ทานทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม พื้นฐานมีกันมาตลอด แต่การแยกรูปแยกนาม ดับการเกิด ละกิเลสให้หมดจดก็ขึ้นกับตัวของแต่ละบุคคล อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา จงหมั่นแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราเป็นบุคคลที่ฉลาด รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราตลอดเวลา นอกนั้นก็ช่วยเหลืออนุเคราะห์กันในทางสมมติ ด้วยเหตุด้วยผลเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้นเอง ไม่มีใครหายใจแทนกันไม่ได้ ตายแทนกันไม่ได้ ความเป็นจริงเป็นอยู่อย่างนั้น เราต้องทำความเข้าใจแล้วก็อยู่กับสมมติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
สร้างรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ