หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 2
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 2
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 2
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มกราคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัว เราได้ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราแล้วหรือยัง หรือว่าเราได้ทำความเข้าใจด้วยการนึก ด้วยการคิด ด้วยการค้นหาที่ใจยังเกิดอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติ ลักษณะของความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้ มีความรู้สึกรับรู้กับความรู้ตัว ตัวใจมีความรู้สึกรับรู้ ความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ รู้ที่ต่อเนื่อง ‘ตัว’ ตัวหลังนี้เขาเรียกว่า ตัวสติ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ใจก็ยังรับรู้อยู่ จะเห็นเป็นสองส่วน แต่ความรู้ตัวตัวใหม่ ความไม่ชำนาญ ความไม่เคยชิน จะพลั้งเผลอ ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ แต่การเกิดของใจนั้นมีอยู่ เรามาหยุด เรามาระงับยับยั้งไม่ให้ใจเกิด แล้วก็มาสังเกตดูว่าเขาก่อตัวอย่างไร ในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ
กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่องให้รู้เท่าทัน เราถึงจะทำความเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเราไปนึกเอาไปคิดเอา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติ ความรู้ตัว เราพลั้งเผลออย่างไร ขาดตกบกพร่องอย่างไร สมมติอะไรที่เรายังจะต้องทำอยู่ เพราะว่าสมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ อิงอาศัยกันอยู่ นอกจากอาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ถึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ถึง ถ้าเราไปวิ่งหา ไปนึกไปคิดหา ไปปรุงไปแต่ง ไม่มีวันที่จะเจอได้ ใจก็ยากที่จะสงบ ถ้าใจยังไม่คลายยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ชัดเจน เขาก็ยังคว่ำอยู่ ถ้าเขาแยกได้เมื่อไร เราสังเกตทันได้เมื่อไร เขาก็จะหงาย หงายขึ้น
แต่การละกิเลสของเราจะมีเด็ดขาดอีกหรือไม่ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับคนโน้น ขึ้นอยู่กับคนนี้ ขึ้นอยู่สถานที่โน้น ขึ้นอยู่สถานที่นี้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของเราที่เร็วไวแก่กล้า ทำความเข้าใจให้รู้ด้วยเห็นด้วย หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละ อยู่ที่ไหนก็จะถึงจุดหมายปลายทาง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาต้องไปเคี่ยวเข็ญ
คนที่มีบุญมีวาสนา เพียงแค่รู้จักวิธีรู้จักแนวทาง ก็จะหมั่นพิจารณาใจของตัวเอง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่วาง คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้ ความหมายของคําว่าสมมติเป็นลักษณะอย่างนี้ วิมุตติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจในกายของเราซึ่งประกอบขึ้นมาด้วยขันธ์ห้ามันเป็นลักษณะอย่างนี้ จะหมั่นพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เป็นงานของทุกคน งานของตัวเรา
การทำบุญการสร้างบารมีทางด้านวัตถุ ทางด้านสมมติ มีโอกาสได้ทำร่วมกัน แต่การละกิเลสนี่ต้องของใครของมันเลยทีเดียว กิเลสเกิดขึ้นมาเมื่อไรเราก็ดับ เราก็ละ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ตามสภาพความเป็นจริงนั้นใจของทุกคนสะอาดมาเดิม เพราะความไม่รู้ทำให้เขาถึงเกิด เกิดอยู่ในภพน้อยเกิดอยู่ในภพใหญ่ มีการปรุงแต่ง แต่เวลานี้เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เขามาสร้างขันธ์ห้ามาปกปิดเอาไว้ กิเลสมารก็เล่นงาน ทั้งที่ใจก็มีความทะเยอทะยานอยาก ผสมโรงกันหลายอย่าง
เราก็ต้องมาหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดเก็บรายละเอียด หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ใจของเรารู้เห็นความเป็นจริง มันไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียร พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร มีความเข้มแข็ง ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ในระดับของสมมติระดับของวิมุตติ พึ่งตัวเองให้ได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน พึ่งตัวเราให้ได้ สติเป็นที่พึ่งของใจ ใจก็อาศัยปัจจัยสี่ อาศัยกายของเราอยู่ อาศัยหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ แต่ไม่เหลือวิสัยหรอก ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เราก็พยายามทำ แม้ตั้งแต่ความคิด จัดระบบระเบียบ อะไรควรคิด อะไรควรละ ปัญญาทำหน้าที่แทนใจให้ได้ทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กำลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้ แต่กำลังบุญนั้นมีเยอะ แต่กำลังสติปัญญามีน้อย เราก็ต้องพยายามทำให้เต็มเปี่ยม ค่อยเดิน ค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทาง เราจะไปบังคับไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ให้ถึงความสงบความสุขกันทุกคน จะถึงช้าหรือถึงเร็วก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีความเพียรของแต่ละบุคคล ก็ต้องพยายามช่วยกัน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ค่อยประคับประคองกันไป ถึงเวลาก็ถึงจุดหมายกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มกราคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัว เราได้ทำความเข้าใจกับชีวิตของเราแล้วหรือยัง หรือว่าเราได้ทำความเข้าใจด้วยการนึก ด้วยการคิด ด้วยการค้นหาที่ใจยังเกิดอยู่ตลอดเวลา
การเจริญสติ ลักษณะของความรู้ตัว ความรู้สึกรับรู้ มีความรู้สึกรับรู้กับความรู้ตัว ตัวใจมีความรู้สึกรับรู้ ความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ รู้ที่ต่อเนื่อง ‘ตัว’ ตัวหลังนี้เขาเรียกว่า ตัวสติ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ใจก็ยังรับรู้อยู่ จะเห็นเป็นสองส่วน แต่ความรู้ตัวตัวใหม่ ความไม่ชำนาญ ความไม่เคยชิน จะพลั้งเผลอ ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ แต่การเกิดของใจนั้นมีอยู่ เรามาหยุด เรามาระงับยับยั้งไม่ให้ใจเกิด แล้วก็มาสังเกตดูว่าเขาก่อตัวอย่างไร ในกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ
กายของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไรบ้าง อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม เราต้องเจริญสติให้ต่อเนื่องให้รู้เท่าทัน เราถึงจะทำความเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเราไปนึกเอาไปคิดเอา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติ ความรู้ตัว เราพลั้งเผลออย่างไร ขาดตกบกพร่องอย่างไร สมมติอะไรที่เรายังจะต้องทำอยู่ เพราะว่าสมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ อิงอาศัยกันอยู่ นอกจากอาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ ถึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ถึง ถ้าเราไปวิ่งหา ไปนึกไปคิดหา ไปปรุงไปแต่ง ไม่มีวันที่จะเจอได้ ใจก็ยากที่จะสงบ ถ้าใจยังไม่คลายยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ชัดเจน เขาก็ยังคว่ำอยู่ ถ้าเขาแยกได้เมื่อไร เราสังเกตทันได้เมื่อไร เขาก็จะหงาย หงายขึ้น
แต่การละกิเลสของเราจะมีเด็ดขาดอีกหรือไม่ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับคนโน้น ขึ้นอยู่กับคนนี้ ขึ้นอยู่สถานที่โน้น ขึ้นอยู่สถานที่นี้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของเราที่เร็วไวแก่กล้า ทำความเข้าใจให้รู้ด้วยเห็นด้วย หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละ อยู่ที่ไหนก็จะถึงจุดหมายปลายทาง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาต้องไปเคี่ยวเข็ญ
คนที่มีบุญมีวาสนา เพียงแค่รู้จักวิธีรู้จักแนวทาง ก็จะหมั่นพิจารณาใจของตัวเอง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่วาง คลายจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างนี้ ความหมายของคําว่าสมมติเป็นลักษณะอย่างนี้ วิมุตติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจในกายของเราซึ่งประกอบขึ้นมาด้วยขันธ์ห้ามันเป็นลักษณะอย่างนี้ จะหมั่นพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เป็นงานของทุกคน งานของตัวเรา
การทำบุญการสร้างบารมีทางด้านวัตถุ ทางด้านสมมติ มีโอกาสได้ทำร่วมกัน แต่การละกิเลสนี่ต้องของใครของมันเลยทีเดียว กิเลสเกิดขึ้นมาเมื่อไรเราก็ดับ เราก็ละ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ตามสภาพความเป็นจริงนั้นใจของทุกคนสะอาดมาเดิม เพราะความไม่รู้ทำให้เขาถึงเกิด เกิดอยู่ในภพน้อยเกิดอยู่ในภพใหญ่ มีการปรุงแต่ง แต่เวลานี้เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เขามาสร้างขันธ์ห้ามาปกปิดเอาไว้ กิเลสมารก็เล่นงาน ทั้งที่ใจก็มีความทะเยอทะยานอยาก ผสมโรงกันหลายอย่าง
เราก็ต้องมาหัดวิเคราะห์หัดสังเกต หัดเก็บรายละเอียด หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ใจของเรารู้เห็นความเป็นจริง มันไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามเพิ่มความเพียร พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร มีความเข้มแข็ง ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ในระดับของสมมติระดับของวิมุตติ พึ่งตัวเองให้ได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน พึ่งตัวเราให้ได้ สติเป็นที่พึ่งของใจ ใจก็อาศัยปัจจัยสี่ อาศัยกายของเราอยู่ อาศัยหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ แต่ไม่เหลือวิสัยหรอก ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เราก็พยายามทำ แม้ตั้งแต่ความคิด จัดระบบระเบียบ อะไรควรคิด อะไรควรละ ปัญญาทำหน้าที่แทนใจให้ได้ทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กำลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้ แต่กำลังบุญนั้นมีเยอะ แต่กำลังสติปัญญามีน้อย เราก็ต้องพยายามทำให้เต็มเปี่ยม ค่อยเดิน ค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทาง เราจะไปบังคับไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ให้ถึงความสงบความสุขกันทุกคน จะถึงช้าหรือถึงเร็วก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีความเพียรของแต่ละบุคคล ก็ต้องพยายามช่วยกัน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ค่อยประคับประคองกันไป ถึงเวลาก็ถึงจุดหมายกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ