หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 129

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 129
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 129
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะพระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจของเราเกิดความปกติ เวลาขบเวลาฉันนี่เราจะเห็นได้ชัด กายของเราหิว ใจของเราจะเกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย บอกว่าอย่างนั้น เอาน้อยๆ เดี๋ยวไม่อิ่ม กิเลสมันบอกว่าเอาเยอะๆ ใจมันเกิดความอยาก ใจมันปรารถนาต้องการสิ่งนั้นต้องการสิ่งนี้ เอาให้ตัวเองไม่ได้ เอาให้ตัวเองไม่ได้ก็เอาให้คนโน้นเอาให้คนนี้ สารพัดอย่างที่มันจะมาหลอกมาล่อ

เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาดับความอยาก ความอยากของใจนั่นแหละ เขาเรียกว่าการเกิด ถ้าเราไม่ละ ถ้าเราไม่ดับ ใจก็จะเกิดอยู่เรื่อยร่ำไป เกิดในการปรุงการแต่งการคิดสารพัดอย่าง มันก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเอง ความเกิดนั่นแหละปิดกั้นตัวใจ เขาหลงอยู่ในภพมนุษย์ หลงอยู่ในชั้น การเกิดนี้หลงมาเกิด หลงเกิดมาตั้งหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งมาอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อีก ขณะมีกายเนื้อ เขายังเกิดต่อยังคิดต่อ ถ้ากายเนื้อแตกดับ เขาก็ไปสร้างภพสร้างชาติใหม่ตามวิบากของกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรมให้ละเอียด คนไหนจะอยู่เหนือกรรมได้ แต่กรรมกายก้อนนี้ก้อนกรรมให้รับรู้ ทีนี้ความคิด อารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ นั้นตัวกรรม ตัวขันธ์ห้านั้นมาปรุงแต่งใจ ใจปรุงแต่งต่ออีก เราต้องดูให้ดีๆ ทุกอย่าง ความอยากก็เหมือนกัน ความอยากความยินดี ผลักไสหรือว่าไม่ผลักไส เป็นกลาง

ตื่นขึ้นมาดูใจทันหรือเปล่า รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ต้องให้ใจสงบทุกอิริยาบถ สงบด้วยปัญญา ละกิเลสออกให้หมด ดับความเกิดของใจให้มันได้ ทำความเข้าใจให้มันได้ แต่ว่ากิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพียงแค่เรื่องแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เรื่องขันธ์ห้ามาปรุงแต่งใจก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ มันก็เลยละไม่ได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอา อย่าไปรอกาลรอเวลา ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีประโยชน์มากมาย มีโอกาสได้สร้างประโยชน์มากมาย ได้สร้างอานิสงส์ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อ

สวยงามมาก ยังไม่เสร็จก็เริ่มสวยแล้ว เจดีย์ องค์เจดีย์อยู่ในรอบคันคลองคูน้ำดอกไม้เต็มสะพรั่ง อย่าไปคิดว่าไม่ทำ มีโอกาสทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เราไม่มีความพร้อมก็น้อมใจของเราเข้ามา คนเราจะขึ้นสู่ที่สูงได้ก็อาศัยอานิสงส์สร้างตบะบารมี การขัดเกลากิเลสไม่มี การให้การเอาออกไม่มี จิตใจมีตั้งแต่ความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุง มองโลกในทางที่ดี คิดดี รู้จักอบรมใจของเราทุกเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่นแหละจะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัดตลอด

พิจารณาใจ พิจารณากาย อันนี้คือสมมติ อันนี้คือวิมุตติ อันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนาม ตัววิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ วิญญาณที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ มีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย มาจําแนกแจกแจง พวกเราประพฤติปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราถึง ท่านถึงบอกให้เชื่อ

เหตุทางโลกก็มี เหตุทางธรรมก็มี โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ ตัวใจของเรานะ ถ้าพลิกถ้าแยกได้ หงายได้ ละกิเลสได้ก็เป็นวิมุตติ ส่วนกายก็เป็นก้อนสมมติ เขาอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ฝ่ามือของเรานี่มันคว่ำอยู่ หลังมืออยู่ข้างบน พอใจมันคลายออกจากขันธ์ห้า เหมือนกับฝ่ามือมันหงายขึ้น หลังมือก็อยู่ข้างล่าง นั่นแหละก็สมมติก็อยู่ข้างบน วิมุตติก็อยู่ข้างบน สมมติก็อยู่ข้างล่าง แต่เวลานี้สมมติอยู่ข้างบน วิมุตติอยู่ข้างล่าง เพราะว่าใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า ยังละกิเลสไม่ได้ ยังดับความเกิดไม่ได้

ส่วนมากเราก็จะเอาตั้งแต่ปัญญาของสมมติไปคิดไปพิจารณา มันอาจจะถูก ถูกอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง ต้องแยกได้คลายได้ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ละได้ อันนี้กิเลสหยาบนะ อันนี้กิเลสละเอียดนะ ความรู้ตัวเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจเกิดความกังวลได้อย่างไร ใจเกิดนิวรณ์ได้อย่างไร ใจเกิดมลทินได้อย่างไร คําว่ามลทินเป็นลักษณะอย่างไร มาวัดก็มาคิดท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนั้น ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนั้นล่ะ มลทินเกิดแล้ว ไม่เห็นท่านเจ้าคุณพาเดินพานั่งเลย มาอคตินั่นแหละเขาเรียกว่ามลทิน คนโน้นมองเห็น คนโน้นไม่ดี ยกตัวเองสูง นั่นแหละก็เป็นมลทิน เราดีอย่างนั้น เราดีอย่างนั้น คนโน้นไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น ถ้ามองเห็นเป็นกลางๆ ถ้าเห็นคนอื่นเขาทำดี ดีจริงน้อ อนุโมทนาสาธุนะเราก็ได้มีส่วนแห่งบุญกับเขาด้วย ใจของเราจะเกิดกิเลสเราก็รีบดับ ดับก่อนนี้ ใจของเราเกิด มันเริ่มเกิดเมื่อไร แต่เช้าขึ้นมามันเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้งแล้ว เคยสังเกตเคยวิเคราะห์ไหมล่ะ

ถ้าเรารู้จักจุดเกิดจุดดับ เราก็ตัดปัญหาตั้งแต่เริ่มเกิดโน่น คลายใจออกจากขันธ์ห้า คลายเขาเรียกว่าคลายความหลง อันนี้คลายความหลงระดับขันธ์ห้าเท่านั้นเอง ทีนี้ใจมันยังมีกิเลสอีก ก็ดับกิเลสด้วยการให้ด้วยการเอาออกด้วยการแก้ไข หมดกิเลสแล้วยังไม่พอนะ ดับความเกิดของใจอีก ใจยังเกิดก็ดับความเกิดอีก จนใจไม่เกิด ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิด ไม่เกิดยังไม่พอ วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก ท่านถึงบอกว่ารู้ธรรมแล้วก็วางธรรม ถึงสติปัญญาอบรมธรรมอบรมใจ รู้ใจแล้วก็วางใจ ไม่ใช่ไปบังคับใจไปควบคุมใจ รู้ธรรมแล้วไม่รู้จักวางธรรม ก็เหมือนกับเอาโซ่เอาเชือกไปผูกเอาไว้ ก็ไม่อิสระ

มันหลายชั้นนะ เพียงแค่แก้ไขในเรื่องขันธ์ห้าในกายของเราก็แก้ไขให้ตก แก้ไขตรงนี้ไม่ตก ก็ขอให้น้อมใจอยู่ในกองบุญ มีศรัทธาอยู่ในกองบุญ สร้างตบะสร้างบารมีอยู่ในบุญ อยู่ในคุณงามความดี ทำความเข้าใจกับศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสังคม ศีลสมมติ ศีลมีไว้เพื่ออะไร ก็เพื่อให้สังคมได้มีความสงบสุข ถ้าคนมีลักขโมย ก็ทำให้ความลําบาก ฆ่ากัน ตีกัน กินเหล้าเมายา อันนี้เป็นศีลสังคม ศีลสมมติ ถ้าเพียงแค่ศีลสมมติศีลสังคมก็ยังไม่เข้าใจ ศีลภายในศีลปกติของใจอีกล่ะ อธิศีล อธิจิต อธิวินัย เราต้องดูให้ละเอียด มีอยู่ มันกระท่อนกระแท่น ไม่เต็ม เราต้องศึกษากาย ศึกษาใจของเราให้ละเอียดก่อนที่จะหมดลมหายใจ ทำได้เท่าไรก็ดี ดีกว่าไม่ได้ทำ เรามาทำบุญเราก็ได้บุญ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ มันได้อยู่ในตัว

ไม่มีอะไรมากหรอก ก็มีอยู่แค่กายก้อนนี้ ขันธ์ห้าก้อนนี้แหละที่เดินไปเดินมา แต่ตัวใจมันเกิดไม่รู้สักกี่เที่ยว คนหลงอยู่ที่กายที่ใจของเรา รู้จักวิธีแล้วรู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาไปทำความเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านเน้นลงอยู่ที่ฐานของใจ ทำความเข้าใจแล้วก็เอาใจเป็นหลักแล้วก็เข้าใจไปหมด จับหัวหน้าโจรได้อันเดียวมันก็ราบคาบไปหมด ส่วนมากก็มีตั้งแต่ไปเด็ดยอด เด็ดยอดผักบุ้ง ไปเอาที่ปลายเหตุ ไปแก้ไขที่ปลายเหตุ เหมือนกับเด็ดยอดผักบุ้ง พอเด็ดยอดเดียวแล้วมันแตกออกตั้งหลายยอดปกคลุมต่ออีก ในหลักธรรมท่านให้สาวลงไปถอนรากถอนโคน แล้วก็ดำเนินด้วยปัญญาทำหน้าที่แทนมันถึงจะถูกต้อง

หลวงพ่อก็เล่าของเก่ามาตั้ง 30 ปีแล้วแหละ เล่าเพราะว่าเห็นอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มีความสุขถ้าดูใจเป็น สมัยก่อนนะใหม่ๆ ใจมันวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่ ใจมันยังเกิด เพียงแค่ไม่ยึด แต่การเกิดของใจมีขนาดท่องบทสวดมนต์ ใจมันวิ่งไปโน่นบ้างวิ่งไปนี่บ้าง ว่าจะเอามันอยู่ตั้ง 4 ปี เอาควบคุมมัน ดูแลมันอบรมมัน มันอยากอะไรไม่เอาให้มัน ดับความอยาก อยากอาหาร อยากอาหารก็ละ อดอาหารทีละมื้อสองมื้อขึ้นไปเป็นวันสองวัน ไปเป็น 7-8 วัน จนกระทั่งถึง 20 กว่าวัน อดอาหาร ดื่มแต่น้ำ อยู่บนหลังเขา เดินนี่เหมือนกับตัวจะเหาะ

มันกลัวก็รีบเข้าป่าช้า มาอยู่ป่าช้า มันกลัวผีหลุมไหนก็ไปอยู่นอนอยู่กับผีหลุมนั้น นั่งอยู่กับผีหลุมนั้น มันกลัว นั่งมันก็กลัว นอนมันหงายมันก็กลัว นอนคว่ำหน้าใส่กับหลุมศพ จัดการกับมันถ้าใจยังมีความกลัว มันยังมีความเกิดกว่าจะแก้ไขได้ปรับปรุงตัวเองได้ ตายเป็นตาย อยู่ในป่าช้าอยู่ตั้ง 5-6 ปีตลอด อยู่ตามหลุมศพนั้นหลุมศพนี้ ใครเอาศพมาเผาเราก็มานั่งเฝ้าเขี่ยอยู่คนเดียว อยู่ในป่าช้า พวกท่านมาเห็นก็เห็นตั้งแต่ผลแล้วแหละ แต่ก่อนความสกปรกรกรุงรังสารพัดอย่าง กว่าจะจัดระบบระเบียบทั้งภายนอกภายในให้พวกท่านได้อยู่ดีมีความสุขได้ต้องอาศัยความเพียร อาศัยความเสียสละ อาศัยพรหมวิหาร ถ้าไม่มีพรหมวิหารก็ทำให้กับทุกคนไม่ได้

หลังจากนั้นมาก็ 5-6 ปี มาก็คนโน้นคนนี้ก็มาอยู่ด้วย มาช่วยกัน กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ให้มาช่วยกัน บางกลุ่มก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไป บางกลุ่มก็มาเหยียบย่ำแล้วก็ไป ก็ขึ้นอยู่กับวิบากของกรรม บางกลุ่มก็ได้ดีไปเลยก็มี บางคนบางท่านก็ได้ดีไปก็มี หลวงพ่อชี้แนะบอกให้ช่วยเหลือตัวเอง รู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง บางทีบางคนก็หละหลวมไปเลยก็มี ถ้าพูดมากบอกมากก็ว่าเราจู้จี้จุกจิก ถ้าเราไม่บอกไม่กล่าวให้รู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ก็ว่าเราหละหลวม กิเลสของคน จัดการตัวเองไม่ได้ แล้วก็ไปโทษคนโน้นคนนี้ ก็ต้องพยายามเอา ได้เท่าไรก็ดีเนอะ อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ ละความเห็นแก่ตัว ละความตระหนี่เหนียวแน่น มองโลกในทางที่ดี เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ขั้นสูงสุดก็ละกิเลสออกจากใจให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ ให้อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ แต่เวลานี้กําลังสติของเรายังมีกําลังไม่เพียงพอ เราต้องสร้างขึ้นมาเอาไปใช้จนให้เป็นอัตโนมัติ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายามทำ อย่าว่าไม่ทำ

หลวงพ่อก็พูดของเก่านี่แหละตั้ง 30 ปี มันไม่มีอะไร เพราะเขามีตั้งแต่จิตวิญญาณในกายในขันธ์ห้าของเรา มันเกิดกิเลสก็ใจของเราเกิดกิเลส ก็ดับที่ใจก็แค่นั้น เราจะเอาอะไรไปดับล่ะ เจริญสติ แล้วก็เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มันเกิดความโลภ เราก็ละความโลภด้วยการให้ มันเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธด้วยการให้ ให้อะไรให้อภัย กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร สติอ่อนได้อย่างไร มันมีหมดอยู่ในกายในใจของเรา

พระพุทธองค์ก็ท่านก็สอนเรื่องชีวิตนะ สอนเรื่องชีวิต แล้วก็ให้รู้จักแก้ไข รู้จักเอาไปใช้ หลวงพ่อถึงได้สร้างมหาเจดีย์ ใหญ่อยู่เหมือนกัน พุทธะนามของพระพุทธองค์ เราก็จะได้อัญเชิญพระพุทธ พระบรมสารีริกธาตุจากส่วนที่ท่านเสด็จมาให้ประดิษฐาน ให้เป็นอานิสงส์ใหญ่ของเหล่ามนุษย์ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย พวกเรามีโอกาสก็ออกมาร่วมกัน ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา มีโอกาส น้อมกายน้อมใจเข้ามา อนุโมทนาสาธุ หลวงพ่อก็คงจะพาทำเป็นสะพาน เป็นทางผ่านให้กับทุกคน ขณะยังมีกําลังอยู่ ถ้าหมดกําลังแล้วก็ไม่ได้ทำ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ หลวงพ่อก็เพียงแค่บอก เพียงแค่ชี้แนะอุบายวิธีการแนวทางเท่านั้น การเจริญสติความรู้สึกตัว รับรู้สัมผัสของลมหายใจ นี่แหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ เราพยายามสร้างความรู้ตัว

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสร้างความรู้ตัวขึ้นมา มีตั้งแต่ตัวใจนะคิดปรุงแต่งกับขันธ์ห้าปรุงแต่ง เขาหลง เขาเกิด เขายึด เขาไปกันทั้งก้อน เราต้องพยายามสร้างผู้รู้หรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจ ไปสังเกตใจ สังเกตไม่ทันเราก็พยายามหยุดความเกิดเขาเอาไว้ก่อน เขาเรียกว่าสมถะ หยุดความเกิดของขันธ์ห้ากับใจ ถ้ากําลังความรู้ตัวของเราเร็วไวขึ้นต่อเนื่องขึ้น สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของขันธ์ห้า ใจเคลื่อนเข้าไปรวม เราเห็นขณะนั้น ใจของเราจะดีดออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เขาจะแยกของเขาเอง ถ้าเรารู้ทัน ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็ดับเอาไว้ เริ่มใหม่ความคิดตัวใหม่ก็เข้ามา เราก็ดับเอาไว้อีก

เราพยายามสร้างความรู้ตัว แล้วก็หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ เอาไปใช้การใช้งาน เห็นความเกิดความดับ แยกรูปแยกนามได้ เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์แล้วก็ตามดูรู้เห็น ท่านสอนอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ความเกิดความดับของขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ถ้าเราละกิเลสออกไปแล้ว เราดำเนินด้วยสติด้วยปัญญาได้หรือไม่ เวลาอย่างเช่น เวลาใจเกิดความอยาก กายของเราเกิดความหิว ใจเกิดความอยาก เราดับความอยากที่ใจแล้ว ความหิวยังอยู่เราจะรับประทานข้าวปลาอาหารด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ให้ใจเกิดความอยากได้หรือไม่ เราก็ต้องพยายามดู เราอาจจะทำได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เราต้องพยายามทำให้ได้ต่อเนื่อง จนเป็นอัตโนมัติ จนกําลังสติที่เราสร้างขึ้นมา จะกลายเป็นมหาสติ ทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะกลายเป็นมหาปัญญา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า กองสังขารในขันธ์ห้า วิญญาณในกายของตัวเรา แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม คือเรื่องลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา รู้จักสมมติวิมุตติ จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญาปกติ ส่วนใจก็นิ่งรับรู้อยู่

แต่เวลานี้ปัญญาที่เกิดจากใจเกิดจากขันธ์ห้าเข้าครอบครองไปหมด กว่าจะรื้อกว่าจะถอนรากถอนโคนได้ ก็ต้องใช้ตบะใช้บารมีอย่างแรงกล้า สร้างอานิสงส์อย่างเต็มเปี่ยม ก็ต้องพยายามไม่เหลือวิสัย ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ได้มาก ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ เพียงแค่รู้จักลักษณะของการเจริญสติ มีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คําว่าปัจจุบันเป็นอย่างนี้นะ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหก ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เขาทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างนี้ ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ ที่นี้ใจของเรารับรู้ ใจของเราเกิดความยินดีหรือไม่ เกิดความยินร้ายหรือไม่ ทุกสิ่งเขาทำหน้าที่เขาหมด ถ้าใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าแล้วละออกให้มันหมด

เพียงแค่รับรู้ผิดถูกชั่วดี เขารับรู้ สติปัญญาไปแก้ไข แต่เวลานี้สติปัญญามีน้อย ปัญญาที่สมมติปัญญาเก่ามันเยอะ กว่าจะชี้เหตุชี้ผลหักล้างกันได้มันก็กําลังสติต้องเร็วไวแหลมคม สร้างตบะอย่างเต็มเปี่ยม เอาไปต่อกรกับกิเลส ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่กิเลสมาใช้งาน หัวปักๆ อยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องพยายาม ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามกัน หลวงพ่อก็พูดของเก่า เพราะว่ามันไม่มีอะไรมาก มีอยู่นิดเดียว ตัวใจ มันเกิดเมื่อไรดับเมื่อนั้น ไม่ให้มันเกิด แต่หลวงพ่อ หลวงพ่อใจไม่เกิดมาร่วม 30 ปี ไม่มีใครเชื่อ ดับตั้งแต่ต้นเหตุของมัน เหลือตั้งแต่ปัญญาเอาไปใช้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไรก็เอาปัญญาไปแก้ไข มีตั้งแต่ยังประโยชน์ ถึงประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ โลกหน้าอย่าเพิ่งพูดถึงมันเอาแค่โลกนี้ให้มันได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกันนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ทุกอิริยาบถ ถ้าเรามีสติรู้ใจ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม

อะไรมันผิดถูกชั่วดีก็แก้ไข เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าไปเกียจคร้าน พระเกียจคร้านก็ไม่ดี ชีเกียจคร้านก็ไม่ดี ฆราวาสญาติโยมเกียจคร้านก็ยิ่งไม่ดี ต้องอาศัยหมั่นเพียรอยู่ด้วยพรหมวิหารอยู่ด้วยความเมตตา อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของธรรมชาติ ทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด ความเป็นจริงมันเป็นอยู่อย่างนั้น ขณะยังไม่ถึงเวลาก็พยายามรีบเดินให้มันถึงจุดหมายกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง สักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง