หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 128

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 128
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 128
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้พิจารณาใจ เราได้รู้ใจของเราแล้วหรือยัง จนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ขณะจะขบจะฉันก็พิจารณา กายของเราเกิดความหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ความรู้ตัว รู้ใจของเรา กะประมาณในการขบฉันอยู่ตลอดเวลา จนใจไม่เกิดความอยาก กายหิว ใจจะเกิดความอยากอันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย กิเลสมันบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม บางที บางครั้งบางคราว ใจมันไม่อยาก มันก็อยาก อยากจะเอาไว้ให้คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง มันพิจารณาไป มันอยากเอาไว้ให้ลูกบ้าง ให้หลานบ้าง เอาให้คนโน้นคนนี้ ใจมันมีความกังวล มีความห่วง เราต้องดู ต้องรู้ ต้องพยายาม จะเอาเราก็เอาด้วยปัญญา กำหนดพิจารณามองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง มองกลางใจของตัวเรา ทุกเรื่องนั่นแหละ

ทุกเรื่องนั่นแหละในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเราให้ทำความเข้าใจ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ถ้าใจคลายออกจากความคิด ใจแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเข้าใจสมมติ เข้าใจวิมุตติ รู้จักทำความเข้าใจ ตัวใจนั่นแหละถ้าคลายได้ละกิเลสได้ เขาก็เป็นวิมุตติ คือหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ส่วนใจนั้นเป็นนามธรรม ไม่มีตัวไม่มีตน แต่ความรู้สึกรับรู้มีอยู่ เราก็ต้องพยายามสร้างผู้รู้ คือสร้างสติเข้าไปอบรมใจ ใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ทั้งเกิด ทั้งหลงทั้งยึด เราต้องพยายามคลายกิเลส ดับกิเลส ดับความเกิด ออกจากไม่ให้ใจของเราเกิด ให้เขารับรู้อยู่ในความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน

คนทั่วไปนั้นใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ทำด้วยใจพุ่งไปด้วยใจ บางทีก็มีกิเลสเจือปนบ้าง บางทีก็ขันธ์ห้าที่เราที่ใจสร้างขึ้นมานั่นนะเขาเรียกหลงอยู่ รวมกันไปอยู่ทั้งก้อน พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ กายมนุษย์นี่แหละเป็นสนามรบอย่างดี ไม่ใช่ที่ไหนเลย สนามรบ ถ้าทำความเข้าใจได้กายของเรานี่แหละก็เป็นวัดอาศัยของใจ ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอบรมพระบ่อยๆ นั่นแหละข้อวัตรปฏิบัติอย่างยิ่งยวดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา น้อมใจของเราเข้ามาในกองบุญกองกุศลเอาไว้ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ กลับคืนสู่สภาพเดิม

การพูดง่ายอยู่นะ แต่การลงมือ การกระทำ เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ขยันหมั่นเพียร น้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ทำใจของเราให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นแก่ตัว ละความอยาก ละความเกิด หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ไม่ใช่ว่าไม่ให้เกิด ใจของทุกคนนี่เป็นอันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว แต่เรามาเจริญสติเข้าไปทำหน้าที่แทนใจให้ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำนะ ญาติโยมพี่น้องของเรา เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เราก็มาแก้ไขตัวเรา ใครยังไม่มีความพร้อมก็พยายามแก้ไขปรับปรุง สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ถึงก็ ปีหน้า ปีต่อไป ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำจะไปต่อเอาภพหน้า

ขณะนี้จิตวิญญาณมาอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายขึ้นมา มาสร้างขันธ์ห้าขึ้นมา เราอาจจะไม่เข้าใจ เพราะว่าใจไปหลงไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ ในทางสมมติก็เป็นของเราจริงๆ นั่นแหละ ตัวตนของเราจริงๆ นั่นแหละในทางสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ตัวใจของเรานั้นไปคลายไปวาง มาอาศัยตรงนี้อยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไปเกิดต่อ ตราบใดที่ใจยังเกิดก็ขอให้เกิดในกองบุญกองกุศลเอาไว้ สูงขึ้นไปก็ขัดเกลากิเลส ดับความเกิด ทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน

พระพุทธองค์ท่านบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์ เกิดทางกายเนื้อก็เป็นทุกข์ เกิดทางด้านจิตวิญญาณก็เป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง ท่านว่าไม่เที่ยง ทำอย่างไรถึงจะทำให้มันเที่ยงได้ล่ะ ก็ดับความเกิด เดี๋ยวนี้ใจมีกิเลสทะเยอทะยานอยาก เราก็มาดับความเกิดของใจ ใจไม่เกิด ใจก็นิ่ง ความนิ่งนั่นแหละคือความเที่ยง ความเที่ยงนั่นแหละคือนิพพาน ท่านว่านิพพานเที่ยง จิต จิตเที่ยง จิตไม่เกิดก็จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง จิตเกิดนิพพานก็ไม่เที่ยง เพราะว่าใจมันเกิด นิพพานอยู่ที่ใจ เราก็ต้องพยายามศึกษาหาความรู้ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ แต่ให้เรารู้เท่าทัน ไม่หลงไม่ยึดไม่ติด ก็กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส ตื่นขึ้นมาเขาก็ทำหน้าที่ของเขา กินอยู่ ขับถ่าย เหตุการณ์บังคับ กายไม่อยู่ในอำนาจของใจ หิวก็ต้องแสวงหามาให้กิน ปวดท้องถ่ายท้องเยี่ยวก็ไม่ไปให้มันก็จะราดเอา นี่แหละท่านถึงว่าไม่อยู่ในอำนาจของใจ ให้เราศึกษาให้ดีๆ

พระพุทธองค์ท่านถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพื่อที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงธรรม ภพอื่นเข้าถึงยาก ท่านถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มาตรัสรู้มาค้นพบวิธีการแนวทาง ท่านบอกว่าถึงพระพุทธเจ้าไม่เกิด ธรรมะก็มีอยู่ประจำ แต่คนเข้าไม่ถึง รู้ไม่ถึง ไม่รู้จักวิธีการแนวทาง พระพุทธองค์ท่านก็สร้างตบะสร้างบารมีมามากมายมหาศาล จนภพสุดท้ายมาตรัสรู้อยู่ในภพของมนุษย์ เพราะอาศัยกายเนื้อเจริญสติ อาศัยกายเนื้ออบรมใจ กว่าจะได้ตรัสรู้ได้ก็สร้างบารมีมามากมาย พวกเราสร้างบารมีกันมาเยอะเหมือนกัน เยอะเหมือนกันถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มาสร้างสานบารมีต่อ แต่ตัวการเจริญสติ การเจริญปัญญา ตัวสุดท้ายนี่แหละสำคัญ เพราะว่าไม่เห็นการเกิดการดับของใจ ใจแยกขันธ์ห้าไม่ได้ ก็ได้ทำบุญ สร้างอานิสงส์กัน สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่เต็มช้า ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ก็ต้องพยายามกัน

พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ขยันหมั่นเพียร ฆราวาสญาติโยมก็ขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปงอมืองอเท้า ตื่นขึ้นมาอะไรควรทำ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อะไรคือใจ อะไรคือปัญญา แต่เวลานี้คือปัญญาทางโลกเขาครอบคลุมเอาไว้หมด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนกําลังสติของเรากลายเป็นปัญญามหาปัญญา ก่อนจะกลายเป็นปัญญามหาปัญญาได้ก็ต้องรู้ใจคลายใจออกจากขันธ์ห้า ปัญญาตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ คือถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจ ถ้าเรายังแยกไม่ได้ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะอยู่ในระดับของศรัทธา

ปัญญาของสมมติมีความสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราว มีปีติมีสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ใจยังเกิดยังวิ่งอยู่ ใจของคนเรานี้เร็วไว เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นบ้าง คิดเรื่องนี้บ้าง อยู่เฉยๆ ไม่ได้เลย เหมือนกับลิง พยายามเจริญสติ สตินี้เปรียบเสมือนกับเชือกคอยผูกอยู่กับลมหายใจ เอากายเป็นหลักแต่ไม่ค่อยจะสนใจ มีแต่ส่งเสริม เอาตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ อาจจะถูกอยู่ระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยังเกิดยังหลงอยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับก็ไปเกิดต่อ หลงต่อ แต่ถ้าหลงก็ให้หลงอยู่ในบุญในอานิสงส์แห่งบุญเอาไว้ ยังดีกว่าปล่อยให้ใจของเราไปตกอยู่ในฝ่ายดำ ไปเจริญฝ่ายขาวฝ่ายกุศลเอาไว้

ตั้งแต่ตื้นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ จะลุก จะก้าว จะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เพียงกลับเปลี่ยนใหม่ให้ใจของเรานิ่งรับรู้อยู่ภายใน หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทนทุกเรื่องให้เร็วให้ไว ต้องคลายใจออกจากความหลงเสียก่อน ละกิเลสออกจากใจให้ได้เสียก่อน ทั้งละทั้งทำ เอาการงานเป็นการปฏิบัติเป็นการฝึก อย่าไปงอมืองอเท้า พระเราก็เหมือนกัน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อาศัยของเราอาจจะว่าลําบากก็ลําบาก ไม่ลําบากก็ไม่ ลําบาก สมัยก่อนยังไม่มีอะไร หลวงพ่อก็มาอยู่ตามร่มไม้ ตามกองกระดูก จุดโน้นบ้างจุดนี้บ้าง มีเวลาก็ช่วยทำ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ลําบาก อานิสงส์แห่งบุญหลั่งไหลมา ทั้งเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดา ต่อไปข้างหน้ายิ่งจะเป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่มหึมา ฝากเอาไว้ ให้กับสมมติ มองดูเสวยผลอานิสงส์แห่งบุญ ก็จะมีตั้งแต่ความสุข ญาติโยมเรา พี่น้องเรามาร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลมาร่วมกัน ใครมีอานิสงส์เคยสร้างบุญสร้างบารมีมาร่วมกัน เทวดาก็ไปบอกกล่าวให้มา จะไม่ได้เสียเวลา

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ นั่งตามสบายนะ วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบ ตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ ท่านเรียกว่าความรู้ตัว รู้กาย อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกาย ส่วนหนึ่งของรูป คือรู้รูปของกาย รู้รูปกาย รู้ลมหายใจเข้าออก เรารู้ว่าลมหายใจเข้าเป็นอย่างนี้ ลมหายใจออกเป็นอย่างนี้ ความรู้ที่ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อันนี้เพียงแค่การเจริญสติรู้กายเท่านั้นนะ

ถ้ากําลังสติของเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง ในขั้นตอนต่อไปใจจะก่อตัว ใจจะเกิดปรุงแต่งไปภายนอก หรือคิดนั่นแหละ ความคิดนั่นแหละ สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เขาจะรู้ลึกลงไป รู้ฐานของใจว่าการเกิดของใจเป็นอย่างไร ทีนี้มีความคิดอีกตัวหนึ่งที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ให้เราวางไปดูรู้ความคิดนั้นทันที ขณะความคิดนั้นเกิดใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เพราะว่าเขาไปด้วยกัน ไปร่วมกันอยู่ตลอด เราก็จะเห็นใจกับอาการของใจเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเราเห็นปุ๊บใจนี่จะดีดออกจากความคิด จะหงายขึ้นมาทันที ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของความคิด เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ ตัวสุดท้ายในขันธ์ห้านี่เขาจะว่างรับรู้อยู่ ส่วนมากกําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ หรือว่าไม่ได้เจริญ ไม่ได้สร้าง ก็เลยไม่เห็นตรงนี้ ก็ไปเหมาเอาความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าไป ไปเอาตัวโน้นว่าเป็นความคิด ปัญญาที่แท้จริงมันก็หลงอยู่ตลอดเวลา ความเกิดนั่นแหละ ความเกิด ความยึด ความหลงในขันธ์ห้า มันก็หลงไปหมดทุกอย่าง

ถ้าคลายใจออกจากขันธ์ห้าได้ ทำความเข้าใจได้ ละขันธ์ห้าได้ มันก็วางได้หมดทุกอย่าง ทีนี้เราก็มาดับความเกิดของใจ อันนี้หลวงพ่อพูดปลายเหตุ ปลายเหตุ ต้นเหตุคือการเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง เหมือนกับเรามีมีด ถ้ามีดทื่อๆ มันก็เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เราต้องหมั่นสร้างสติฝนสติ หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ส่วนรูปกายทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่อย่างไร หูทำหน้าที่อย่างไร เราไปห้ามตาอย่าไปดูนะ เราห้ามหูอย่าไปฟังนะไม่ได้ เราต้องห้ามใจของเรา หู ตา จมูก ลิ้น กาย เป็นทางผ่านของ รูป รส กลิ่น เสียง ผ่านเข้าไปถึงใจของเรา ตาเห็นรูปสวยๆ ใจของเราเกิดความยินดีไหม เกิดความยินร้ายไหม ผลักไส ไม่ดึงเข้ามาหรือไม่ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้สักว่าฟังมันเป็นอย่างไร เราแยก รูป รสกลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา หู ตา จมูก ลิ้น เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ส่วนใจจะเกิดปรุงแต่งเราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด หนุนกําลังสติไปอบรมใจของเรา ฝ่ายดับ ฝ่ายละ ฝ่ายตามทำความเข้าใจหมั่นอบรมใจ หนุนกําลังสติไปคิดไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง กลับกันไม่ใช่ว่า ละความเกิด คลายความหลง ละความเกิด ดับความคิดที่เกิดจากใจ

ส่วนสมองส่วนปัญญาหรือว่าส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมานี่ เราไปคิดไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด ถ้าใจคิด ถึงจะคิด พิจารณาเรื่องธรรมก็ยังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ ยังเป็นกิเลสธรรมอยู่ ตราบใดที่ยังคลายใจออกจากความคิดจากขันธ์ห้าไม่ได้ ก็ได้เพียงแค่ควบคุม ได้เพียงแค่ดับ ควบคุมเหมือนกับหินทับหญ้า ถ้าเราคลายใจออกจากขันธ์ห้าได้ เราละกิเลสได้ ละกิเลสได้อบรมใจได้ ก็จะกลายเป็นปัญญาวิปัสสนา ถึงเรายังแยกรูปแยกนาม คลายใจออกจากขันธ์ห้าตามดูขันธ์ห้าไม่ได้ชัดเจน เรามาละกิเลสที่ใจดับความเกิดที่ใจมันก็คลายทุกข์ได้ แต่ปัญญาไม่ได้รอบรู้ในกองสังขาร ไม่ได้รอบรู้ แต่ใจของเราก็คลายจากกิเลสเป็นการสร้างตบะสร้างบารมี ดับความเกิดของใจของเราได้ ดีไม่ดีไม่กลับมาเกิดได้เหมือนกัน แต่ปัญญาไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในสมมติ มาเอาจัดการกับตัวใจของเราเลย มาดับกิเลส

ถึงบางคนบางท่านอยู่ตามท้องไร่ท้องนา อยู่ตามป่าตามเขา มีแต่ใจ ไม่มีกิเลส ใจมีความสุข สนุกทำบุญ ใจ นั่นน่ะ แต่เขาไม่รู้ว่าตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่ปัญญาเขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่าใจเขามีความสุข เอาตั้งแต่ความสุข เขาก็อยู่กับธรรม เขาก็อยู่กับบุญ ใจเขาก็ไม่ทุกข์เหมือนกัน สมมติเขาก็ทำได้อยู่เหมือนกัน แต่ปัญญาก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้รอบรู้เท่านั้นเอง เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็พยายามรีบสร้างคุณงามความดีสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิด ไม่ต้องไปเอาเยอะแยะหรอก ไล่ตั้งแต่ความคิด คิดดี ทำดี ควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ มีโอกาสว่าจะล้นออกไปสู่ภายนอก จากน้อยๆ เราทำจากน้อยๆ มันก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ทำด้วยพรหมวิหาร

ตั้งแต่สมัยก่อนป่าช้าก็ยังไม่มีอะไร ก็ค่อยพัฒนามาช่วยกัน คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ตั้งแต่ 30 ปีก่อน ไม่มีใครอยากจะเดินเข้ามาหรอก เดินเข้ามาขาถลอกปอกเปิกหมด มีแต่ป่าเพ็กป่าหนามเล็บแมว ขยะเต็มเกลื่อน กว่าจะมาทำความสะอาดได้ ดูแลได้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน 5-6 ปี อยู่คนเดียว ทำความสะอาด ถนนหนทางเป็นทะเลมาไม่ได้ หน้าฝนนี่เละตุ้มเป๊ะ กว่าจะมาจัดระบบระเบียบมาวางทุกสิ่งทุกอย่างให้กับทุกคน ถนนหนทางก็ทำให้เดิน ไม่มีที่พักที่อาศัยเขาพยายามทำ เก็บหอมรอมริบ ริบเอาไว้ ในห้องส้วมห้องน้ำทำแล้วทำอีก โรงครัวทำแล้วทำอีก ขยายจากไม่มีจากความ ก็ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป

อยากจะให้ทุกคน ปรารถนาอยากให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ถนนหนทางก็ทำให้เดิน มีที่นั่งที่พัก ที่อาศัยที่ถ่ายที่เยี่ยวก็ทำให้ ที่ตายก็ยังทำที่เผาให้ ทำให้ทุกอย่าง ที่กราบที่ไหว้ ที่เป็นสิริมงคลสร้างให้ เพื่อต้องปรารถนาให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข อยากให้เข้ามาอยู่ในกองบุญ ถึงขนาดนั้นก็ยังมาไม่ขยันหมั่นเพียรอยู่ ก็ต้องพยายามปรับตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเราตลอดเวลา เพราะว่าเปิดโอกาสให้กับทุกคนได้รู้จักพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง บางคนเข้ามาแล้วก็ไม่รู้จักพิจารณาวิเคราะห์ตัวเองมา แล้วก็มาเหยียบมาย่ำแล้วก็ไปก็มี อันนั้นก็เป็นกรรมของแต่ละบุคคล บางคนก็มาได้ดี ประสบผลสำเร็จ ได้รับความสงบ ได้รับความสุข เดินปัญญาไปช่วยสอนคนก็เยอะแยะมากมาย คนเราระดับใจไม่เหมือนกัน ระดับจิตระดับใจไม่เหมือนกัน

ปีหนึ่งที่มีบาทหลวงมาจากจังหวัดตาก พ่อปู่ย่าตายายนี่เป็นบาทหลวงมาหมด จบด็อกเตอร์มา จบด็อกเตอร์มา มาหาที่นี่แหละ ทุกข์ ไม่ได้ทุกข์เท่าไร เกิดความกังวลนิดๆ หน่อยๆ ว่ามันยังขาดอะไรอยู่ ยังขาดอะไรอยู่ พ่อพาเจริญธรรมมา พาเจริญพรหมวิหารมาทั้งปู่ทั้งพ่อ ท่านจะได้รับเป็นบาทหลวงต่อ ก็เลยว่าตัวเองยังติดค้างติดขัดอยู่ในใจ มันมีอะไรคาอยู่ในใจ หาทางออกไม่เจอ จนจะทิ้งงานเลย จนจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง มาหาหลวงพ่อตั้งแต่เช้าหลวงพ่อก็ติดธุระ เช้าก็ติดธุระ รอ รอ ตั้งแต่เช้า เที่ยงอีกก็ติดธุระอีก รออีก นอนรออยู่นี่แหละ จนกระทั่งถึงค่ำห้าหกโมง หลวงพ่อถึงได้อยู่ ท่านก็เลยคลานเข้าไปหาที่กุฏิ คลานเข้าไปหาที่กุฏิ หลวงพ่อก็เลยบอกว่า บอกว่าคริสต์ก็วางไว้ตรงนั้นแหละ พุทธก็วางไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไรสักอย่าง ให้ไปเจริญสติ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ฐานบุญมีมาเต็มเปี่ยมหมด

เพียงแค่ไม่รู้จักวิธีการเจริญสติ เอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียว เอาตั้งแต่ปัญญา แล้วก็พรหมวิหารอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างให้วางเอาไว้เสียก่อน บอกท่านให้ไปนั่งสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ท่านก็เลยไปนั่งสร้างความรู้ตัว รู้จักวิธีการเจริญสตินั่งได้ไม่นาน นั่งได้ไม่นาน ก็ปรากฏว่ามีความคิดผุดขึ้นมา แล้วก็ให้ท่านสังเกตดูว่าใจกับความคิดไปรวมกันได้อย่างไร เพราะว่าใจของท่านนั้นสงบอยู่แล้ว เป็นบุญเป็นอานิสงส์มาตั้งแต่เป็นเด็ก พอไปนั่งดูรู้เท่านั้นแหละ หลวงพ่อก็เลยเดินไปหาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านก็ว่าหลวงพ่อๆ มีตัวแปลกปลอมวิ่งเข้ามาว่างั้น ก็คือความคิดที่ไม่ตั้งใจคิด ท่านเรียกว่าตัวแปลกปลอมวิ่งเข้ามา แล้วใจก็เคลื่อนเข้าไปรวม รู้เท่าทันใจก็ได้ดีดออกหงายขึ้นมาโล่งโปร่ง นั่นแหละเลยบอกให้ท่านตามดูตามทำความเข้าใจ ผมติดอยู่แค่นี้เองมาไม่รู้สักกี่ปี นั่นแหละ

ถ้าวิบากกรรมมันไม่คลาย ถ้าเดินปัญญาไม่ได้ มันก็ติดอยู่ตรงแค่นั้นนิดๆ หน่อยๆ ก็เลยบอกท่านไม่ต้องออกจากงาน ให้กลับไปโบสถ์สอนคนเหมือนเดิม บาทหลวงอยู่ที่จังหวัดตาก เพียงแค่ตัวปัญญานิดหน่อยนะ ไม่รู้จักอันนี้คือสตินะ อันนี้คือใจนะ ท่านไปมั่นหมายเอาตัวใจ เอาตัวความคิดเก่าว่าเป็นปัญญา พอท่านเห็นเท่านั้นนะ แยกแยะได้เท่านั้นแหละ ร้องอ๋อขึ้นมา ผมติดอยู่แค่ตรงนี้ไม่มีใครแก้ให้สักที นี่แหละ ขนาดเป็นบาทหลวง บอกว่าให้ละทิฏฐิ ละมานะ คริสต์ก็วางไว้ พุทธก็วางเอาไว้ ให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เราก็เข้าโบสถ์สอนอบรมเป็นบาทหลวงเหมือนเดิม บาทหลวงก็มา

แล้วพวกเราล่ะ มีโอกาสได้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา แต่อันนั้นท่านสร้างบุญมาดีตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เป็นบาทหลวงให้อยู่ในกองบุญกองกุศลอบรมธรรมอยู่ตลอด แต่ตัวปัญญาขั้นสูง ท่านสะกิดนี้ไม่มีใครสะกิดให้ ก็เลยปิดกั้นเอาไว้ พวกเราก็ต้องพยายามไม่เหลือวิสัย สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน

ท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ เป็นเปลี่ยนเป็นความต้องการของสติปัญญา รู้จักเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้ ส่วนมากก็เอาตั้งแต่ปัญญาเก่าๆ มันก็ปิดกั้นตัวเอง ทับถมตัวเองเอาไว้ทุกอย่าง เอาได้ มีได้ เป็นได้ ทำได้ ไม่ใช่ว่าไม่ให้มีไม่ให้เป็น เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น อย่าไปโทษคนโน้นคนนี้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าคนโน้นคนนี้ ไปโทษคนโน้นคนนี้

เรามองให้เห็นเป็นกรรม ต่างกรรมต่างวาระ เราพยายามจัดการกับกรรมในกายในใจของเรา ขันธ์ห้านั่นแหละตัวกรรมมาปรุงแต่งใจของเรา ตัวใจของเราไปหลงไปยึด ก็ต้องพยายามนะ บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม เท่าที่โอกาสจะเอื้ออํานวยให้ หลวงพ่อก็จะพาทำ พาทำให้เห็นอย่างนี้แหละ ไม่ปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ตื่นขึ้นมาเราก็ดูใจทำงาน ภายนอกเรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ช่วยกันทำ ข้อวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งถึงขนาดไหน ก็เพื่อจะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ใจของเราไม่มีกิเลส ใจของเราไม่เกิดก็เป็นศีล ความปกตินั่นแหละคือศีล ปกติใจ ปกติกาย ปกติวาจา ปกติ คนทั่วไป ทั้งใจ ทั้งกาย ทั้งวาจา เพียงแค่วาจาก็ไม่รู้จักอบรมไม่รู้จักพิจารณา มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด

เพียงแค่ในความคิด อะไรควรคิดหรือไม่ควรคิด วาจาอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด พูดเวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด พูดแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่ หรือพูดแล้วเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าพูดเรื่อยเฉื่อย น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่มีประโยชน์ เราพูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด เพียงแค่ระดับของคำพูดของเรา ความคิดล่ะ ระดับความเกิดอีก คลายขันธ์ห้าดับความเกิดและละกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดนะ

บุคคลมีบุญมีอานิสงส์ฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การอบรมใจเป็นอย่างนี้ อยู่คนเดียวก็อบรมใจตัวเอง แก้ไขตัวเอง อยู่หลายคนเราก็อบรมใจ แก้ไขตัวเรา สติปัญญา อยู่กับหมู่คณะอยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา มองโลกในทางที่ดี ไม่ว่าไปที่ไหน ไปที่ไหน ที่โน่นที่นี่ ครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องของคนอื่นเขา ทำไมไม่จัดการกับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ทำเรื่องของเราให้มันจบ ใจไม่เกิดเราก็มองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา จะดีจะชั่วจะดำจะขาวก็มองเห็นเป็นธรรมดาหมด เดี๋ยวก็ตายจากกัน พลัดพรากจากกัน ความตายไม่ได้เลือกการเลือกเวลา มารับเอาโลงทุกวัน เมื่อวานนี้ก็มาตั้งสี่ร้อยห้าสิบหกสิบกว่าศพแล้วที่มอบให้ นั่นแหละอีกสักหน่อยเราก็จะได้ไปเหมือนกัน ไม่ไปช้าก็ไปเร็ว จะไปมัวเมาเล่นอยู่ทำไม ก็พยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง