หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 122

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 122
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 122
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้พี่น้องเรามาหลายทิศหลายที่มาร่วมกัน มาจากไหนบ้าง ในเขตจังหวัดขอนแก่นของเราทั้งหมดหรือว่ามาจากต่างจังหวัดก็มี มาจากจุดไหนกันบ้าง มาหลายที่นะ หลายที่ มาบําเพ็ญ มาสร้างจิตอาสา มาช่วยเหลือ เห็นว่าเช้านี้จะพากันกลับ ยังเหลืออีกประมาณสัก 3 ชั่วโมง จะทำจิตอาสา 3 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมงครึ่งจะให้ทำอะไรดี

ตื่นขึ้นมามีงานทำแต่ไม่ยอมทำงาน ไม่พากันค่อยจะสนใจในการทำงาน อยากจะทำแต่งานแต่ไม่ทำงาน ตื่นขึ้นมาแทนที่จะรู้ใจให้ทัน รู้ใจสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง พากันปล่อยปละละเลยหายใจทิ้ง เดินก็สร้างความรู้สึกไม่ต่อเนื่อง ไม่ค่อยสนใจ ทิ้งปัจจุบันไปตั้งนาน จะเอาตั้งแต่บุญ อยากได้ตั้งแต่บุญ อยากช่วยการช่วยงาน มาช่วยงานทางสมมติ สมมติเราก็ทำ ส่วนการเจริญสติไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกันเท่าไร ก็เลย ก็เลยไม่รู้เท่าทันใจ ใจก็เลยเกิด ใจก็เลยหลง

ในส่วนลึกๆ เราก็ว่าเราไม่หลง ตราบใดที่เรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง รู้จักคําว่าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า นั่นแหละถ้าแยกได้คลายได้เมื่อไหร่ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง เพียงแค่การเกิดของใจนั้น ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลง หลงมาแล้วมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายห่อหุ้มเอาไว้อีกทีหนึ่ง แล้วเขาก็เกิดต่อ คิดต่อนั่นแหละ ความคิดต่อ ความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมหรือว่าใจปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก

นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติ หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดอบรมใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถึงจะรู้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ส่งเสริม ส่งเสริมความคิด อารมณ์ต่างๆ ความหลงอย่างลุ่มลึกเรายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ก็เลยหลงไปเรื่อยเฉื่อยเรื่อยร่ำไป เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องสัก 5 นาที 10 นาทีก็ทั้งยาก ก็เลยจะเอาตั้งแต่บุญ บําเพ็ญบุญ สร้างอานิสงส์สร้างตบะ สร้างบารมีกัน ก็ยังดีนะะ ยังดี ยังดีกว่าไม่ได้ทำ น้อมใจของเราเข้ามาในกองบุญกองกุศลเอาไว้

บุคคลที่มีความเพียร เดินตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิตของตัวเราเอง การดำเนินชีวิต จากน้อยๆ ไปหามากๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราไปอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร กายทวารทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ตัวใจนั้นมีอยู่แล้ว ขันธ์ห้าก็มีอยู่แล้ว ขันธ์ห้าที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ก็กอง กองเป็นกองนั่งอยู่นี่แหละเขาเรียกว่ากองรวมกันเป็นกอง ภายในกองเดียวนี้มันยังแยกออกเป็นห้าขันธ์อีก ห้ากองอีก ความคิด อารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม แต่เราไม่ค่อยจะสนใจ ก็เลยไม่รู้ไม่เห็น ก็เลยมองเห็นเป็นกองเดียว ไปทั้งกอง ไปทั้งก้อน ไปเอาบุญก็ไปทั้งก้อน

ทุกเรื่องในชีวิต ท่านให้พิจารณา เจริญสติเป็นเพื่อนใจ เจริญสติไปอบรมใจของตัวเรา มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข ส่วนมากก็ไปแสวงหาตั้งแต่เพื่อนภายนอก จับกลุ่มกันได้ก็เป็นนกกระจิบนกกระจาบ คุยกันเจี๊ยว นั่นแหละนกกระจาบ ถ้าเรามีสติดูใจอบรมใจ จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ ความเกิดความดับ อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจะลุกจะก้าวจะเดิน ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สอนใจเรา จะเข้าห้องส้วม เข้าห้องน้ำใจยังสงบอยู่หรือไม่ ทำการทำงานใจยังนิ่งอยู่หรือเปล่า ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทุกคนก็ว่าตัวไม่หลงหรอก นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปแยกแยะได้ เห็นเหตุเห็นผลได้ ตามทำความเข้าใจได้นั่นแหละถึงจะรู้ว่าตัวเองหลง

ในหลักธรรม ทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยากนั้น ท่านก็ให้ละให้หมด ให้บริหารให้อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ แต่ต้องรู้ต้องเห็นต้องทำความเข้าใจให้ได้ ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีปัญญา ทางสมมติเป็นโลก เป็นอัจฉริยะกันหมด เก่งกันหมด แต่เป็นเก่งด้วยอัตตา ด้วยทิฏฐิ ด้วยมานะ ไม่ได้เก่งด้วยปัญญาที่ใจที่ปล่อยวาง ละกิเลสทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาภายใน 5 นาทีนี่ใจเกิดสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจสักกี่ครั้ง สติปัญญาเราชี้เหตุชี้ผลได้สักกี่อย่าง ไม่ค่อยจะรู้เท่าทันตรงนั้น เพราะว่ามีตั้งแต่ปล่อยปละละเลยกัน มาวัดก็มาสร้างตบะสร้างบารมีมาศึกษาเรื่องใจของตัวเรา ก็ต้องพยายามกันนะ ต้องพยายามกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ อยู่ที่บ้านเราก็เข้าวัดได้ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ ใจเกิดกิเลสเมื่อไรก็ค่อยละๆ ค่อยดับ ค่อยขูดค่อยเกลา เมื่อใจเกิดความโลภก็ละความโลภด้วยการให้โดยการเอาออก ใจเกิดความโกรธเราก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เป็นลักษณะอย่างไร

แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านค้นพบชี้เหตุชี้ผลมานาน แต่พวกเรายังดำเนินไม่ถึงในส่วนละเอียด เอาตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก อยู่ในคุณงามความดี ก็ต้องพยายามกัน เพราะว่าต้นไม้ก็มีทั้งเปลือกทั้งแก่นทั้งกระพี้ก็อยู่ด้วยกัน ต้องทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง ก่อนที่จะหมดลมหายใจ เพราะทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด หรือว่าตัวเราไม่ตาย เพระว่าทุกคนเกิดมาเท่าไร เกิดมามาก เกิดมาน้อยตายหมดทางด้านรูปธรรม ทีนี้ความเกิดความดับของจิตของวิญญาณ มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา นั่นแหละความไม่เที่ยง ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในอารมณ์ ให้รอบรู้ในโลกธรรม สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ ท่านถึงบอกว่าสัจจะ ความจริงอันประเสริฐมีอยู่ที่กายที่ใจของเรา

นอกจากบุคคลที่มีเจริญสติ มีศรัทธา น้อมกายน้อมใจเข้ามาศึกษา ให้รู้ความเป็นจริง ชี้เหตุที่ผลเห็นความเป็นจริง เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป เป็นบุคคลที่ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสก็รีบเร่งทำ สร้างคุณงามความดีเท่าที่จะทำได้ทั้งภายนอกภายใน รอบรู้ในดวงใจ รอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรม คําว่าโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทาเป็นอย่างไร ปัจจัยสี่เป็นอย่างไร เราทำให้บริบูรณ์ ย้อนเข้าไปถึงใจของเรา คนทั่วไปใจก็ไม่รู้จักรักษา วาจาก็ไม่รู้จักรักษา ก็เลยปล่อยปละละเลย ก็เลยมากขึ้นๆๆ ก็เลยหลงไม่มีที่สิ้นสุด เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน โตกันแล้วทุกคน

ตั้งใจรับพร

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย เราได้น้อมกายของเราเข้ามาอยู่ที่วัด เราได้วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ทางบ้านเราก็หยุดเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มารู้จักการเจริญสติ รู้จักการสร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเราฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรารู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเป็นอย่างไร ลมหายใจวิ่งออกกระทบปลายจมูกเป็นอย่างไร ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร เราเคยหัดสังเกตหัดวิเคราะห์หรือเปล่า หรือว่าเราปล่อยเลยตามเลย ความรู้ตัวเราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ลงที่กายของเราเสียก่อน ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอานาปานสติ มีความรู้กาย ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม

เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุกจะก้าวจะเดิน เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ส่วนความปกติของใจนั้นก็มีอยู่ บางทีขณะที่เราเจริญสติอยู่ บางทีใจของเราก็คิดไปที่โน่นบ้างคิดไปที่นี่บ้าง อันนั้นเราก็มองรู้เห็นเป็น 2 ส่วน เราก็รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่ในความสงบ บางครั้งบางคราวก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาก่อตัว เขาเริ่มก่อตัวขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วก็ไปด้วยกัน นั่นแหละความหลงอันลุ่มลึก หลงใน ใจมันหลงความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง

เรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ให้รู้เท่าทัน รู้ไม่ทัน รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักอบรมใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้จักการเจริญพรหมวิหารแก้ไขปัญหาทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่เกิด เราไม่ให้ใจของเราเกิดกิเลสได้หรือไม่ จะเอาจะมีจะเป็นกับเป็นเรื่องของปัญญา การเจริญสติ สติเราไม่ได้สร้าง เราจะเอาอะไรไปประหัตประหารกิเลส เราจะเอาอะไรล่ะไปอบรมใจ เราต้องสร้างสติไปอบรมใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น แล้วก็ไปที่ไหนก็เสียที เสียเที่ยว เสียเวลา ถ้าหมั่นอบรมตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองนั่นแหละท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน

ตนแรกคือสติ ตนแรก ตนตัวที่สองคือตัวใจ ทำไมใจถึงเกิดอีก คลายออกจากความคิด คลายความหลงอีก ตามดูให้รอบรู้ในกองสังขาร เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าแยกได้คลายได้ สังเกตทันได้เมื่อไร ใจคลายออกเมื่อไร เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร ท่านถึงว่าหลักของอริยสัจ ความเกิด ความดับของจิตวิญญาณเป็นอย่างไร ความดับความเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร

ใจนี้เกิดมา หลงมานานตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด เขาหลงวนเวียนว่ายตายเกิด จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างกายเนื้อสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดกั้น มายึดติดอีก แล้วก็ไปยึดเอาโลกธรรมอีก เราต้องมาเจริญสติค่อยไปขัดค่อยไปเกลา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล แยกรูปแยกนาม ตามดู ละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียดให้มันได้ หมั่นทำความเพียร ชี้เหตุชี้ผล วันนี้ได้เท่าไร วันพรุ่งนี้เพิ่มกําลังสติปัญญาให้เร็วไวมากขึ้นๆๆ จนมองเห็นความเป็นจริง จนใจยอมรับความเป็นจริงนั่นแหละ รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา ความเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา

แต่เวลานี้สติก็ไม่ได้เจริญ ทำบุญเป็นบางครั้ง ความเกิดของใจไม่รู้แต่ละวันแต่ละนาทีเกิดสักกี่เที่ยว มีตั้งแต่ส่งเสริมไปเป็นก้อนๆ มันก็เลยมองไม่เห็นความเป็นจริงของชีวิต แล้วจะไปโทษใครล่ะ ถ้าไม่โทษตัวเรา มันต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาใจเป็นอย่างไร หน้าที่เป็นอย่างไร อะไรคือหน้าที่ อะไรคือความรับผิดชอบ ก็ต้องพยายามไม่เหลือวิสัย ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ว่าพระว่าโยมว่าชี มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด สิ่งพวกนี้เราต้องแก้ไขตัวเรา แนวทางนั้นมีมานาน เพียงแค่การเจริญสติ การเจริญปัญญา มันก็ยากถ้าเราไม่มีความเพียรจริงๆ

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง