หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 094
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 094
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศแจ่ม อากาศลดลง ความเย็น ความหนาวจะเริ่มเข้ามาแล้วมั้งนะ อากาศเริ่มเย็น ตอนเช้าเมฆหมอก หมอกก็เริ่มเยอะ สักหน่อยก็ได้ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ มาวัดมาทำบุญ คนไทยใจบุญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศ หาโอกาสมีเวลาว่างก็พากันไปทำบุญที่โน่นทำบุญที่นี่ แต่อย่าลืมดูใจของเราให้ได้เสียก่อน รู้ใจของเราให้ได้เสียก่อน ว่าใจปกติเป็นอย่างไร ใจสงบเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร อะไรคือโลก อะไรคือธรรม ธรรมกับโลกอยู่รวมกันได้อย่างไร สมมติกับวิมุตติเขาร่วมกันได้อย่างไร เราต้องศึกษาใจของเราให้ละเอียด ก่อนที่ร่างกายของเราจะแตกจะดับ
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีสติมีปัญญา มองอะไร ผิดถูกชั่วดีอย่างไร เราก็รีบแก้ไขตัวเรา ก่อนที่สภาพร่างกายจะแตกจะดับ เพราะว่ากายเป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เป็นโน่นเป็นนี่ เรามาวิเคราะห์พิจารณา ให้เห็นตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ หรือว่าพระพุทธเจ้า หรือว่าพุทธะผู้รู้ ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต จิตวิญญาณ หรือว่าใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่นาน ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เขาหลง หลงเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นมันผ่านมาแล้ว เรามาดูภพของมนุษย์ เรามาคลายความหลงอยู่ในภพของมนุษย์ เรามาดับกิเลส ละกิเลสอยู่ในภพของมนุษย์ ให้มองเห็นแนวทางในการดำเนินทุกเรื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องดูให้รอบ วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเรา ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ เราจะรู้อย่างไร นี่แหล่ะเราต้องมาเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา หรือว่ามาเจริญปัญญา ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักแยกแยะ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า คลายก็คลายด้วยปัญญานั่นแหละ รู้ คลายด้วยลักษณะหน้าตาอาการ แต่เขาก็อยู่รวมกันอยู่ วิเคราะห์บ่อยๆ ทำบ่อยๆ อย่าเอาแค่ว่ามีศรัทธากับไปทำบุญ ทำบุญก็ได้บุญ มีความสุข แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด จนใจไม่เกิดนั่นแหละ ถึงใจดับความเกิดได้ กายก็ยังเป็นก้อนทุกข์ เราก็มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
พวกเรามีโอกาสก็ได้มาร่วมบุญกัน ร่วมบุญคนละเล็กละน้อย ทำน้อยก็เป็นของเรา ทำมากก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย แต่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา เราต้องดำเนินตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ขัดเกลาอะไร มีแต่ดูกับรู้ ใจเป็นธาตุรู้ ในเวลานี้เขายังเกิดอยู่ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปพร่ำสอน เข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ตามดูเหตุดูผลภายในใจของเรา จนกว่าใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดได้นั่นแหละ จนไม่มีอะไรหลงเหลือในใจของเรานั่นแหละ ยังเหลืออยู่ตั้งแต่กายเนื้อ รูปธรรม จนรอวันเวลาเขาจะแตกจะดับ แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกสมมติ สมมติกับวิมุตติเขาก็อยู่ด้วยกัน เหมือนกับเชือก มีอยู่เส้นเดียว แต่ดูดีๆ แล้วถ้าเราฉีกออกมันจะมีหลายเกลียว เกลียวเล็ก เกลียวน้อย มีอยู่ห้าเกลียว มีใจ มีตรงกลาง กายของเราก็เหมือนกัน มีวิญญาณมาครอบครอง
อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกหน้า ทำปัจจุบันให้ดี ก็จะส่งผลถึงอนาคตได้ดี หมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกตัวเรา ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือตัวสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ใจยังเกิด ใจยังหลง สติปัญญาเข้าไปอบรมใจ ใจเกิดกิเลสเราก็ไปละกิเลส ขัดเกลากิเลส แต่ก่อนไม่มี ใจสะอาดบริสุทธิ์ เขาหลงมานานเขาก็ไปยึดอันโน้นยึดอันนี้ว่าเป็นตัวเป็นตน จนเขาเกิดกระทั่งอัตตาตัวตน ทำให้หลงอัตตาตัวตน แล้วก็ไปหลงโลกหลงธรรม หลงยึดไปหมด ผลสุดท้ายถึงเวลากายแตกดับ ก็เอาอะไรไปไม่ได้ มีแต่ตัวใจที่ไป ไปด้วยแรงกรรม แรงบุญแรงบาป
ในหลักธรรมท่านก็ให้ละอกุศลกรรม เจริญกุศลกรรม ไม่หลงไม่ยึด ให้เต็มเปี่ยม พวกเรามีโอกาสมาก ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจ อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าเป็นกุศลธรรมดีหมดๆ ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็ดีหมด ให้เราพยายามรีบทำกัน
ตื่นขึ้นมาก็รู้จักสังเกต วิเคราะห์ รู้ไม่ทันก็รู้จักหยุด ยับยั้ง ใจเกิดความโลภ ก็ละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ใจเกิดความหลง เราก็หัดสังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายความหลง ทำความเข้าใจ เข้าใจในความหมาย สื่อความหมายภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร ท่านประกาศเอาไว้หมด เขาเรียกว่าวิปัสสนาภูมิ วิปัสสนาญาณ
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกในข้อแรก แล้วก็จะถูกไปหมด เห็นถูก พูดจาถูกต้อง ทำงานถูกต้อง สมาธิถูกต้อง ปัญญาถูกต้อง นี่เขาเรียกว่าเดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด ให้เห็นถูกตั้งแต่ข้อแรก คือใจคลายออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน แต่ใจของเราก็เห็นถูกอยู่ ถึงเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ แต่ปัญญาไม่รอบในกองสังขาร แต่การละกิเลสก็มีอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นถูกได้ตลอด เราต้องให้รู้ให้เห็นถูกต้องได้ตลอด ทำความเข้าใจให้ตลอด หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด เราต้องรู้ต้องเห็น ต้องศึกษาทำความเข้าใจ หมดความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข สนุกในการสร้างบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ มีความสุข บอกกล่าวพี่น้องเราทุกคน มีโอกาสมาร่วมกัน ทำมากทำน้อยก็ขอให้มีโอกาสได้มาร่วมกัน ทั้งกําลังกาย กําลังใจ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มาร่วมกัน การทำบุญเราทำร่วมกันได้ แต่ไปนิพพานไปคนเดียว วิญญาณดวงเดียว ใจดวงเดียว เดินตามทางเดียวกันแต่ไม่เหยียบรอยกัน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา แต่การทำบุญให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ร่วมกัน ทำมากทำน้อยก็ได้ทำร่วมกัน หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งได้มาสร้างมหาเจดีย์ใหญ่พุทธเมตตาหลวง คําว่าพุทธะนามของพระพุทธองค์ ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ท่านได้เกิดมาในโลกมนุษย์หลายร้อยหลายพันปี แล้วก็มาค้นพบสัจธรรมความจริงนั้นมีอยู่ทุกคน แล้วก็มาเปิดเผยมีให้เห็นหนทางดับทุกข์ เราก็แก้ทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกันอีก การเกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสที่จะได้ศึกษาเข้าใจ รู้เรื่อง เราก็พยายามทำ ดำเนิน ส่วนญาติโยมของเราที่อยากจะมาช่วยก็มาช่วยกัน ขณะเรายังมีกําลังอยู่ หลวงพ่อจะพาทำ ถ้าหมดลมหายใจแล้วไม่ได้ทำ ใครมาทันก็ทัน ไม่ทันก็อนุโมทนาสาธุเอานะ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ส่วนความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้านั้น มีกันทุกคน เรามาหยุดความคิดตัวเก่า เพียงแค่หยุด เพียงแค่ควบคุม แล้วก็รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นลักษณะของใจที่ปกติ ลักษณะการเกิดของใจ ลักษณะการเกิดของความคิด ใจกับความคิดเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปด้วยกันได้อย่างไร นั่นแหละ
ใจของเรายังหลงขันธ์ห้า แล้วก็หลงเกิด เรามาเจริญสติเข้าไปควบคุมใจ อบรมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดู รู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ได้กระจ่าง หมดความสงสัย ทีนี้เราก็มาจัดการละกิเลสของเราให้หมดจด เพียงแค่การเกิดของใจ เราก็ไม่ให้เกิด ความคิดแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ ใจไม่เกิด ใจก็นิ่ง ใจที่ไม่หลง ใจก็วาง ใจที่ไม่มีกิเลส ใจก็ว่าง มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ถ้าตัวใจวิ่งหาธรรมมันจะเจอได้ยังไง ใจไม่นิ่ง มันเกิดอยู่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เรามาคลายขันธ์ห้า แล้วก็ไปละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด ดับความเกิด
ที่พูดให้ฟังนี่เป็นต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำนะ พยายามทำ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดี อย่ามองโลกในแง่ร้าย ทุกคนไม่ปรารถนาหาความทุกข์ใส่ตัวเองหรอก เพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ทำให้หลงไป แนวทางนั้นมีอยู่
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็ปฏิบัติตาม การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ จนรู้จนเห็นใจของเรา ก็จะมีตั้งแต่ความสุขทั้งโลกทั้งธรรม ก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อยเต็มทน เราต้องพยายามมาสร้างเสียก่อน สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้เป็นธรรมชาติที่สุดนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อให้รู้ทุกอิริยาบถนะ
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เรามีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีสติมีปัญญา มองอะไร ผิดถูกชั่วดีอย่างไร เราก็รีบแก้ไขตัวเรา ก่อนที่สภาพร่างกายจะแตกจะดับ เพราะว่ากายเป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็เป็นโน่นเป็นนี่ เรามาวิเคราะห์พิจารณา ให้เห็นตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ หรือว่าพระพุทธเจ้า หรือว่าพุทธะผู้รู้ ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต จิตวิญญาณ หรือว่าใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่นาน ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เขาหลง หลงเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นมันผ่านมาแล้ว เรามาดูภพของมนุษย์ เรามาคลายความหลงอยู่ในภพของมนุษย์ เรามาดับกิเลส ละกิเลสอยู่ในภพของมนุษย์ ให้มองเห็นแนวทางในการดำเนินทุกเรื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องดูให้รอบ วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเรา ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ เราจะรู้อย่างไร นี่แหล่ะเราต้องมาเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา หรือว่ามาเจริญปัญญา ไม่เท่าทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักแยกแยะ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า คลายก็คลายด้วยปัญญานั่นแหละ รู้ คลายด้วยลักษณะหน้าตาอาการ แต่เขาก็อยู่รวมกันอยู่ วิเคราะห์บ่อยๆ ทำบ่อยๆ อย่าเอาแค่ว่ามีศรัทธากับไปทำบุญ ทำบุญก็ได้บุญ มีความสุข แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด จนใจไม่เกิดนั่นแหละ ถึงใจดับความเกิดได้ กายก็ยังเป็นก้อนทุกข์ เราก็มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
พวกเรามีโอกาสก็ได้มาร่วมบุญกัน ร่วมบุญคนละเล็กละน้อย ทำน้อยก็เป็นของเรา ทำมากก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย แต่การเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา เราต้องดำเนินตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ขัดเกลาอะไร มีแต่ดูกับรู้ ใจเป็นธาตุรู้ ในเวลานี้เขายังเกิดอยู่ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปพร่ำสอน เข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ตามดูเหตุดูผลภายในใจของเรา จนกว่าใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดได้นั่นแหละ จนไม่มีอะไรหลงเหลือในใจของเรานั่นแหละ ยังเหลืออยู่ตั้งแต่กายเนื้อ รูปธรรม จนรอวันเวลาเขาจะแตกจะดับ แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกสมมติ สมมติกับวิมุตติเขาก็อยู่ด้วยกัน เหมือนกับเชือก มีอยู่เส้นเดียว แต่ดูดีๆ แล้วถ้าเราฉีกออกมันจะมีหลายเกลียว เกลียวเล็ก เกลียวน้อย มีอยู่ห้าเกลียว มีใจ มีตรงกลาง กายของเราก็เหมือนกัน มีวิญญาณมาครอบครอง
อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกหน้า ทำปัจจุบันให้ดี ก็จะส่งผลถึงอนาคตได้ดี หมั่นพร่ำสอนตัวเรา บอกตัวเรา ท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือตัวสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ใจยังเกิด ใจยังหลง สติปัญญาเข้าไปอบรมใจ ใจเกิดกิเลสเราก็ไปละกิเลส ขัดเกลากิเลส แต่ก่อนไม่มี ใจสะอาดบริสุทธิ์ เขาหลงมานานเขาก็ไปยึดอันโน้นยึดอันนี้ว่าเป็นตัวเป็นตน จนเขาเกิดกระทั่งอัตตาตัวตน ทำให้หลงอัตตาตัวตน แล้วก็ไปหลงโลกหลงธรรม หลงยึดไปหมด ผลสุดท้ายถึงเวลากายแตกดับ ก็เอาอะไรไปไม่ได้ มีแต่ตัวใจที่ไป ไปด้วยแรงกรรม แรงบุญแรงบาป
ในหลักธรรมท่านก็ให้ละอกุศลกรรม เจริญกุศลกรรม ไม่หลงไม่ยึด ให้เต็มเปี่ยม พวกเรามีโอกาสมาก ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นศึกษา หมั่นทำความเข้าใจ อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าเป็นกุศลธรรมดีหมดๆ ไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็ดีหมด ให้เราพยายามรีบทำกัน
ตื่นขึ้นมาก็รู้จักสังเกต วิเคราะห์ รู้ไม่ทันก็รู้จักหยุด ยับยั้ง ใจเกิดความโลภ ก็ละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ใจเกิดความหลง เราก็หัดสังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายความหลง ทำความเข้าใจ เข้าใจในความหมาย สื่อความหมายภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร ท่านประกาศเอาไว้หมด เขาเรียกว่าวิปัสสนาภูมิ วิปัสสนาญาณ
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกในข้อแรก แล้วก็จะถูกไปหมด เห็นถูก พูดจาถูกต้อง ทำงานถูกต้อง สมาธิถูกต้อง ปัญญาถูกต้อง นี่เขาเรียกว่าเดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด ให้เห็นถูกตั้งแต่ข้อแรก คือใจคลายออกจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน แต่ใจของเราก็เห็นถูกอยู่ ถึงเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ แต่ปัญญาไม่รอบในกองสังขาร แต่การละกิเลสก็มีอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นถูกได้ตลอด เราต้องให้รู้ให้เห็นถูกต้องได้ตลอด ทำความเข้าใจให้ตลอด หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด เราต้องรู้ต้องเห็น ต้องศึกษาทำความเข้าใจ หมดความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข สนุกในการสร้างบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ มีความสุข บอกกล่าวพี่น้องเราทุกคน มีโอกาสมาร่วมกัน ทำมากทำน้อยก็ขอให้มีโอกาสได้มาร่วมกัน ทั้งกําลังกาย กําลังใจ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มาร่วมกัน การทำบุญเราทำร่วมกันได้ แต่ไปนิพพานไปคนเดียว วิญญาณดวงเดียว ใจดวงเดียว เดินตามทางเดียวกันแต่ไม่เหยียบรอยกัน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา แต่การทำบุญให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ร่วมกัน ทำมากทำน้อยก็ได้ทำร่วมกัน หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งได้มาสร้างมหาเจดีย์ใหญ่พุทธเมตตาหลวง คําว่าพุทธะนามของพระพุทธองค์ ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ท่านได้เกิดมาในโลกมนุษย์หลายร้อยหลายพันปี แล้วก็มาค้นพบสัจธรรมความจริงนั้นมีอยู่ทุกคน แล้วก็มาเปิดเผยมีให้เห็นหนทางดับทุกข์ เราก็แก้ทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกันอีก การเกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสที่จะได้ศึกษาเข้าใจ รู้เรื่อง เราก็พยายามทำ ดำเนิน ส่วนญาติโยมของเราที่อยากจะมาช่วยก็มาช่วยกัน ขณะเรายังมีกําลังอยู่ หลวงพ่อจะพาทำ ถ้าหมดลมหายใจแล้วไม่ได้ทำ ใครมาทันก็ทัน ไม่ทันก็อนุโมทนาสาธุเอานะ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ส่วนความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้านั้น มีกันทุกคน เรามาหยุดความคิดตัวเก่า เพียงแค่หยุด เพียงแค่ควบคุม แล้วก็รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้ากําลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นลักษณะของใจที่ปกติ ลักษณะการเกิดของใจ ลักษณะการเกิดของความคิด ใจกับความคิดเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวไปด้วยกันได้อย่างไร นั่นแหละ
ใจของเรายังหลงขันธ์ห้า แล้วก็หลงเกิด เรามาเจริญสติเข้าไปควบคุมใจ อบรมใจ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดู รู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ได้กระจ่าง หมดความสงสัย ทีนี้เราก็มาจัดการละกิเลสของเราให้หมดจด เพียงแค่การเกิดของใจ เราก็ไม่ให้เกิด ความคิดแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ ใจไม่เกิด ใจก็นิ่ง ใจที่ไม่หลง ใจก็วาง ใจที่ไม่มีกิเลส ใจก็ว่าง มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ถ้าตัวใจวิ่งหาธรรมมันจะเจอได้ยังไง ใจไม่นิ่ง มันเกิดอยู่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เรามาคลายขันธ์ห้า แล้วก็ไปละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด ดับความเกิด
ที่พูดให้ฟังนี่เป็นต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำนะ พยายามทำ หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดี อย่ามองโลกในแง่ร้าย ทุกคนไม่ปรารถนาหาความทุกข์ใส่ตัวเองหรอก เพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ทำให้หลงไป แนวทางนั้นมีอยู่
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็ปฏิบัติตาม การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ จนรู้จนเห็นใจของเรา ก็จะมีตั้งแต่ความสุขทั้งโลกทั้งธรรม ก็จะมีตั้งแต่ความสุข
เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อยเต็มทน เราต้องพยายามมาสร้างเสียก่อน สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกให้เป็นธรรมชาติที่สุดนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อให้รู้ทุกอิริยาบถนะ