หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 83
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 83
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 83
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กันยายน 2558
มีความสุขกันทุกคน ใกล้จะถึงเวลาสิ้นเดือน แป๊บเดียว และออกพรรษาเสียแล้วอีกประมาณเดือนเดียว ฝนฟ้าก็รู้สึกว่าจะดีเป็นบางที่ บางที่ก็ยังแล้งอยู่ ฝนจะตกหรือไม่ตกพวกเราก็สนุกสร้างบุญบารมีของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา เอากําไรชีวิต ตื่นขึ้นมารีบวิเคราะห์เรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ว่าใจของเราไปอย่างไร เกิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีบุญหรือเปล่า
คนเราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมนํามาพาให้เกิดตั้งแต่จิตวิญญาณ ความหลงทำให้เกิด เกิดมาในภพของมนุษย์ ทุกคนก็เกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดเป็นโน้นบ้างเกิดเป็นนี้บ้าง จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ ความหลง มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าปิดกันตัวเราเอาไว้ สร้างกายเนื้อเจริญเติบโตมาแล้วก็ตัววิญญาณก็เกิดต่อ ความเกิดของวิญญาณก็เกิดต่อ เกิดต่อยังไม่พอยังเป็นทาสของกิเลสต่ออีกไม่จบไม่สิ้น
ท่านถึงให้เจริญสติเน้นลงที่กาย ทำความเข้า คลายใจออกจากความคิด เราก็จะเข้าใจในเรื่องกรรม กรรมเก่าคือขันธ์ห้าก็จะมาปรุงแต่งใจของเราไม่ได้ ทำความเข้าใจ ส่วนรูปกายเราก็ดูแลเขาไป ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับถ้าหมดอายุขัย ถ้าไม่หมดอายุขัยอยากจะไปก็ไม่ได้ไป ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นทั้งกายทั้งใจ
กายของเราก็ดูแลเขาไปให้อยู่ดีมีความสุขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ส่วนกรรมเก่าหรือว่าความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราก็ทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา กรรมเก่าก็จะตามไม่ทันก็เลยเป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากตัวใจเราก็ไม่ยึด เขาเรียกว่าอยู่เหนือกรรม ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้เป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นทาสของขันธ์ห้า กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่ยึด มันก็เลยเป็นแค่เพียงกิริยาของสติปัญญา ทำหน้าที่ให้ดี
ส่วนกายถึงเวลาก็แตกก็ดับ ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้แตกได้ดับ มีกําลังกายแล้วก็สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ใจที่ไม่เกิดใจก็ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ ใจที่สงบ สงบด้วยการแยกแยะทำความเข้าใจ ละกิเลส ดับความเกิด อันนี้เขาเรียกว่าสงบด้วยปัญญา ความสงบนั่นแหละคือตัวบุญ เรามีอานิสงส์ผลบุญมากมาย เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาเข้ามาพลอยอนุโมทนาสาธุ เรามีใจสงบได้นิดหนึ่งเราก็มีบุญนิดหนึ่ง เรามีความสงบได้ทั้งวัน เรามีความสงบได้ทั้งวันเราก็อยู่กับบุญทั้งวันนะ
เรามีความสงบที่ใจที่ปราศจากกิเลสปราศจากการเกิด ใจที่สะอาดใจที่บริสุทธิ์ เขาก็แผ่เมตตาแผ่รังสีอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ นี่แหละคือบุญอำนาจแห่งบุญ ให้เรารู้จักตัวบุญ ตัวใจนั่นแหละตัวบุญ แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ยังหลงอยู่ เราก็มาอดมาข่มมาฝึก บุญก็เกิดขึ้นกับเรา บางทีก็อยู่กับเรานาน บางทีก็อยู่กับเราไม่ได้นาน ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ ความสงบ เรามีสติที่สร้างขึ้นมาลงอยู่ที่กายของตัวเรา ใหม่ๆ ก็อึดอัด ควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ ละกิเลส ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจ ใจของเราก็จะตกกระแสธรรมอยู่กับบุญ ทำอะไรก็เป็นบุญ กายก็เป็นบุญวาจาก็เป็นบุญ กายก็จะกลับเป็นก้อนบุญ
แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิด ยังหลง ยังยึด กายของเราก็เป็นก้อนโลก ทำใจให้สงบ ถ้าใจของเราสงบอานิสงส์ผลบุญก็ตกอยู่ที่เราไม่ได้ตกอยู่ที่คนอื่นเราก็ได้บุญ ถ้าคนอื่นรับรู้รับทราบพลอยอนุโมทนาสาธุกับเรา เขาก็มีส่วนแห่งบุญกับเรา บุญสมมติก็ได้ทำ บุญวิมุตติเราก็ได้ทำ ได้ทั้งสองอย่าง อยากจะให้ดีที่สุด ให้บุญให้ใจเป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาบุญที่ปราศจากกิเลส บุญที่ปราศจากความหลง บุญที่ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ยืน เดิน นั่ง นอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ บริหารกายของเรา ใจรับรู้
ทั้งพระทั้งชีก็พากันขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบ แต่ส่วนมากก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้เล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังพากันเกียจคร้าน มันจะไปได้เต็มเปี่ยมได้อย่างไร ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้น การฝักใฝ่การสนใจขัดเกลาตัวเรากิเลสของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ
การเจริญสติเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร การสร้างบุญสร้างอย่างไร บุญมากบุญน้อย บุญใหญ่ บุญระดับสมมติ บุญระดับวิมุติ เราต้องศึกษาให้ละเอียดเราก็จะอยู่กับบุญ เข้าใจในเรื่องกรรม กรรมเก่า กรรมเก่าคือการเกิดของใจ แล้วก็มาสร้างกายเนื้อมาปกปิดเอาไว้ เราก็มาแยกขันธ์ห้ามาคลายความหลง ละทิฐิ ละมานะ ทำความเข้าใจให้เห็นชัดเจน มันก็เราตัดวงกลมออก ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ตัดวงกลมมันก็หมุนต่อไม่ได้ ถ้าเราไม่เดินปัญญาเขาก็จะเชื่อมเข้าหมุนต่ออีกใหม่ แยกรูปแยกนามได้ ตามธรรมความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เราก็ละ รู้จุดละ รู้จุดปล่อย รู้จุดวาง มองเห็นเหตุเห็นผล อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความคิดอารมณ์ต่างๆ ภาระหน้าที่การงานเราก็วางเขามา จนกระทั่งมานั่งอยู่ในศาลาการเปรียญ ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้เสียก่อน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราจะนึกคิดไปที่อื่นเขาก็จะหยุดสงบระงับตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องทั้งเวลาลมหายใจเข้าหายใจออกให้ได้ทุกเวลาทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงจะเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ เพียงแค่สร้างสติให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเอาสติปัญญาของเราเอาไปใช้ รู้ให้ทันการเกิดของใจ รู้ลักษณะของใจ เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับจักหยุดจักควบคุม ซึ่งท่านเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’
รู้จักแก้ไขตัวของเรา ปรับปรุงใจของเรา ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักปรับปรุงให้อ่อนโยน ใจของเราไม่มีความเมตตา เราก็พยายามสร้างพรหมวิหารสร้างความเมตตา ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราหลงอะไร ความคิดหรือว่าขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรานั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูป กองนาม กองวิญญาณเป็นอย่างไร
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้ปฏิบัติตาม แต่ละวันๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ กําลังสติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ศรัทธาไม่มีเราก็พยายามน้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยไม่ใช่ว่าเชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อโดยการเจริญสติตามแนวทางของท่าน ต้องแยกรูปแยกนาม ตามรู้ รู้เห็นการเกิดการดับ คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด กิเลสระดับไหนบ้าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทำความเข้าใจกับโลกธรรม
หลวงพ่อจะขอพูดสิ่งนี้ตลอดไม่พูดสิ่งไหน เพราะว่าความจริงมีกันอยู่ทุกคน เว้นแต่ว่าพวกเราจะรู้จะเห็น แล้วทำความเข้าใจ ละกิเลสได้หมดหรือไม่ ดับความเกิดได้หมดจดหรือไม่ ถ้าเห็นแล้วทำความเข้าใจได้แล้ว เอาไปสร้างไปสานต่อจนกว่าใจของเราจะไม่เกิด การทำบุญให้ทานทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมมาแต่ก่อนถึงได้ฝักใฝ่สนใจตรงนี้ ส่วนการเจริญปัญญา แยกรูปแยกนาม รู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง ก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอย่างในชีวิตเราต้องทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ถ้าหมดลมหายใจทุกคนก็ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ตายกันหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เมื่อเช้านี้ก็ประมาณสักตีห้าก็มีโยมมารับเอาโลงตั้งแต่เช้า เมื่อวาน 2 3 4 วันนี้ซ้อนกันมาเลย นี่แหละความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา แล้วพวกเราก็อย่าพากันประมาท ให้มองเห็นเสียก่อน เตรียมตัวเตรียมพร้อม สร้างอานิสงส์ผลบุญให้เต็มเปี่ยมก่อนที่จะไป
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจกันต่อนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กันยายน 2558
มีความสุขกันทุกคน ใกล้จะถึงเวลาสิ้นเดือน แป๊บเดียว และออกพรรษาเสียแล้วอีกประมาณเดือนเดียว ฝนฟ้าก็รู้สึกว่าจะดีเป็นบางที่ บางที่ก็ยังแล้งอยู่ ฝนจะตกหรือไม่ตกพวกเราก็สนุกสร้างบุญบารมีของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา เอากําไรชีวิต ตื่นขึ้นมารีบวิเคราะห์เรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ว่าใจของเราไปอย่างไร เกิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีบุญหรือเปล่า
คนเราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมนํามาพาให้เกิดตั้งแต่จิตวิญญาณ ความหลงทำให้เกิด เกิดมาในภพของมนุษย์ ทุกคนก็เกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดเป็นโน้นบ้างเกิดเป็นนี้บ้าง จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหละ ความหลง มาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้าปิดกันตัวเราเอาไว้ สร้างกายเนื้อเจริญเติบโตมาแล้วก็ตัววิญญาณก็เกิดต่อ ความเกิดของวิญญาณก็เกิดต่อ เกิดต่อยังไม่พอยังเป็นทาสของกิเลสต่ออีกไม่จบไม่สิ้น
ท่านถึงให้เจริญสติเน้นลงที่กาย ทำความเข้า คลายใจออกจากความคิด เราก็จะเข้าใจในเรื่องกรรม กรรมเก่าคือขันธ์ห้าก็จะมาปรุงแต่งใจของเราไม่ได้ ทำความเข้าใจ ส่วนรูปกายเราก็ดูแลเขาไป ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับถ้าหมดอายุขัย ถ้าไม่หมดอายุขัยอยากจะไปก็ไม่ได้ไป ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นทั้งกายทั้งใจ
กายของเราก็ดูแลเขาไปให้อยู่ดีมีความสุขด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ส่วนกรรมเก่าหรือว่าความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราก็ทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา กรรมเก่าก็จะตามไม่ทันก็เลยเป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากตัวใจเราก็ไม่ยึด เขาเรียกว่าอยู่เหนือกรรม ไม่ให้ใจของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้เป็นทาสของความยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นทาสของขันธ์ห้า กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่ยึด มันก็เลยเป็นแค่เพียงกิริยาของสติปัญญา ทำหน้าที่ให้ดี
ส่วนกายถึงเวลาก็แตกก็ดับ ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้แตกได้ดับ มีกําลังกายแล้วก็สนุกสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ใจที่ไม่เกิดใจก็ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ ใจที่สงบ สงบด้วยการแยกแยะทำความเข้าใจ ละกิเลส ดับความเกิด อันนี้เขาเรียกว่าสงบด้วยปัญญา ความสงบนั่นแหละคือตัวบุญ เรามีอานิสงส์ผลบุญมากมาย เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาเข้ามาพลอยอนุโมทนาสาธุ เรามีใจสงบได้นิดหนึ่งเราก็มีบุญนิดหนึ่ง เรามีความสงบได้ทั้งวัน เรามีความสงบได้ทั้งวันเราก็อยู่กับบุญทั้งวันนะ
เรามีความสงบที่ใจที่ปราศจากกิเลสปราศจากการเกิด ใจที่สะอาดใจที่บริสุทธิ์ เขาก็แผ่เมตตาแผ่รังสีอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ นี่แหละคือบุญอำนาจแห่งบุญ ให้เรารู้จักตัวบุญ ตัวใจนั่นแหละตัวบุญ แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ยังหลงอยู่ เราก็มาอดมาข่มมาฝึก บุญก็เกิดขึ้นกับเรา บางทีก็อยู่กับเรานาน บางทีก็อยู่กับเราไม่ได้นาน ทั้งที่ใจก็ปรารถนาอยากจะได้บุญ ความสงบ เรามีสติที่สร้างขึ้นมาลงอยู่ที่กายของตัวเรา ใหม่ๆ ก็อึดอัด ควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์ ละกิเลส ท่านถึงบอกว่าเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจ ใจของเราก็จะตกกระแสธรรมอยู่กับบุญ ทำอะไรก็เป็นบุญ กายก็เป็นบุญวาจาก็เป็นบุญ กายก็จะกลับเป็นก้อนบุญ
แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิด ยังหลง ยังยึด กายของเราก็เป็นก้อนโลก ทำใจให้สงบ ถ้าใจของเราสงบอานิสงส์ผลบุญก็ตกอยู่ที่เราไม่ได้ตกอยู่ที่คนอื่นเราก็ได้บุญ ถ้าคนอื่นรับรู้รับทราบพลอยอนุโมทนาสาธุกับเรา เขาก็มีส่วนแห่งบุญกับเรา บุญสมมติก็ได้ทำ บุญวิมุตติเราก็ได้ทำ ได้ทั้งสองอย่าง อยากจะให้ดีที่สุด ให้บุญให้ใจเป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาบุญที่ปราศจากกิเลส บุญที่ปราศจากความหลง บุญที่ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ยืน เดิน นั่ง นอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ บริหารกายของเรา ใจรับรู้
ทั้งพระทั้งชีก็พากันขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบ แต่ส่วนมากก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้เล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังพากันเกียจคร้าน มันจะไปได้เต็มเปี่ยมได้อย่างไร ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอดทนอดกลั้น การฝักใฝ่การสนใจขัดเกลาตัวเรากิเลสของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ
การเจริญสติเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร การสร้างบุญสร้างอย่างไร บุญมากบุญน้อย บุญใหญ่ บุญระดับสมมติ บุญระดับวิมุติ เราต้องศึกษาให้ละเอียดเราก็จะอยู่กับบุญ เข้าใจในเรื่องกรรม กรรมเก่า กรรมเก่าคือการเกิดของใจ แล้วก็มาสร้างกายเนื้อมาปกปิดเอาไว้ เราก็มาแยกขันธ์ห้ามาคลายความหลง ละทิฐิ ละมานะ ทำความเข้าใจให้เห็นชัดเจน มันก็เราตัดวงกลมออก ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ตัดวงกลมมันก็หมุนต่อไม่ได้ ถ้าเราไม่เดินปัญญาเขาก็จะเชื่อมเข้าหมุนต่ออีกใหม่ แยกรูปแยกนามได้ ตามธรรมความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เราก็ละ รู้จุดละ รู้จุดปล่อย รู้จุดวาง มองเห็นเหตุเห็นผล อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ความคิดอารมณ์ต่างๆ ภาระหน้าที่การงานเราก็วางเขามา จนกระทั่งมานั่งอยู่ในศาลาการเปรียญ ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้เสียก่อน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราจะนึกคิดไปที่อื่นเขาก็จะหยุดสงบระงับตั้งมั่นอยู่กับลมหายใจ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติ’ ความรู้ตัว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องทั้งเวลาลมหายใจเข้าหายใจออกให้ได้ทุกเวลาทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงจะเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ เพียงแค่สร้างสติให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเอาสติปัญญาของเราเอาไปใช้ รู้ให้ทันการเกิดของใจ รู้ลักษณะของใจ เรารู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับจักหยุดจักควบคุม ซึ่งท่านเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’
รู้จักแก้ไขตัวของเรา ปรับปรุงใจของเรา ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็รู้จักปรับปรุงให้อ่อนโยน ใจของเราไม่มีความเมตตา เราก็พยายามสร้างพรหมวิหารสร้างความเมตตา ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ ใจของเราเกิดอย่างไร ใจของเราหลงอะไร ความคิดหรือว่าขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรานั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูป กองนาม กองวิญญาณเป็นอย่างไร
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้ปฏิบัติตาม แต่ละวันๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ กําลังสติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ศรัทธาไม่มีเราก็พยายามน้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยไม่ใช่ว่าเชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อโดยการเจริญสติตามแนวทางของท่าน ต้องแยกรูปแยกนาม ตามรู้ รู้เห็นการเกิดการดับ คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด กิเลสระดับไหนบ้าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทำความเข้าใจกับโลกธรรม
หลวงพ่อจะขอพูดสิ่งนี้ตลอดไม่พูดสิ่งไหน เพราะว่าความจริงมีกันอยู่ทุกคน เว้นแต่ว่าพวกเราจะรู้จะเห็น แล้วทำความเข้าใจ ละกิเลสได้หมดหรือไม่ ดับความเกิดได้หมดจดหรือไม่ ถ้าเห็นแล้วทำความเข้าใจได้แล้ว เอาไปสร้างไปสานต่อจนกว่าใจของเราจะไม่เกิด การทำบุญให้ทานทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมมาแต่ก่อนถึงได้ฝักใฝ่สนใจตรงนี้ ส่วนการเจริญปัญญา แยกรูปแยกนาม รู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง ก็ต้องพยายามนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอย่างในชีวิตเราต้องทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ถ้าหมดลมหายใจทุกคนก็ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ตายกันหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เมื่อเช้านี้ก็ประมาณสักตีห้าก็มีโยมมารับเอาโลงตั้งแต่เช้า เมื่อวาน 2 3 4 วันนี้ซ้อนกันมาเลย นี่แหละความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา แล้วพวกเราก็อย่าพากันประมาท ให้มองเห็นเสียก่อน เตรียมตัวเตรียมพร้อม สร้างอานิสงส์ผลบุญให้เต็มเปี่ยมก่อนที่จะไป
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจกันต่อนะ