หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 63
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 63
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 63
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มิถุนายน 2558
มีความสุขกันทุกคน นี่มาจากไหนกันหนอ มาจากขอนแก่น เอาวางใส่นี่แหล่ะ มาทำบุญมาให้ทาน โอกาสญาติโยมท่านใด การสร้างมหาเจดีย์ใหญ่ ตั้งชื่อเอาไว้ ‘มหาเจดีย์พุทธเมตตาหลวง’ ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์ จากผู้รู้ ทั้งแนวทางวิธีการเจริญสติ การเจริญปัญญา การดับทุกข์ ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์ ถึงท่านจะจากไปสองสามพันปี แต่คําสอนของท่านก็ยังอยู่ สัจธรรมความจริงก็ยังอยู่ ขอให้ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะเข้าใจในคําสอนของ พระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ หลักของความเป็นจริง วิธีการแนวทาง การเจริญพรหมวิหาร มีไว้หมด
การขัดเกลากิเลส เพราะว่าดวงจิตแต่ละดวงนั้นสะอาดมาแต่เดิม ความไม่รู้ความหลงก็ทำให้เขาเกิด ไม่จบไม่สิ้น เราก็ต้องพยายามมาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจยอมรับความเป็นจริง เขาถึงจะปล่อย เขาถึงจะวางได้ แต่ต้องพยายาม ท่านถึงบอกว่าความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คือการเกิดนั่นแหละ ตราบใดที่ใจยังเกิด เขาก็ยังหลงๆ เกิด ก็จะขัดเกลาให้เบาบาง ดับความเกิดได้ก็ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด หนุนกําลังสติปัญญาไปใช้กับสมมติ
การพูดนี่ง่ายอยู่ แต่การลงมือการกระทำเราต้องแก้ไขตัวเรา ปฏิวัติตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา พอรู้จักแนวทางก็เร่งทำความเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทำทุกอย่างตั้งแต่การให้ทาน การเอาออก ทานวัตถุทาน ทานความยึดมั่นถือมั่น เดินปัญญา
ในกายของเรานี้มีอะไรบ้างที่เป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาหลงมายึด วิญญาณในขันธ์ห้า ภาษาธรรมภาษาโลก เราต้องแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แต่ละวันๆ ไปที่ไหนก็บอกว่าอย่าส่งจิตออกนอก พูดคุยกันจ้อ มันวิ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จัก ทั้งออกทั้งคิด สารพัดอย่าง มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันทั้งพระทั้งชี อย่าไปเกียจคร้าน ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ อยู่คนละทิศ ละที่ละทาง ก็มาอยู่ร่วมกัน ก็เคยมีเคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน
30 ปีก่อนจับเชือกมัดเอาไว้ก็ไม่มีใครอยากจะมาอยู่ ทุกวันนี้ก็มีตั้งแต่คนหลั่งไหลเข้ามา เพราะว่าเป็นแหล่งบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ อาศัยอานิสงส์บุญของทุกคนรวมกัน มาร่วมกัน มาช่วยกัน จากป่าช้าก็เลยกลายเป็นสถานที่น่าอยู่ กว่าจะทำขึ้นมาได้นี่ แต่ละชิ้นแต่ละอันนี่ ก็ต้องอาศัยความเพียรให้ทุกคนได้มีความสุข พวกเราก็มาสร้างสานต่อร่วมกัน ช่วยกัน มันก็ไปเป็นบุญก้อนใหญ่
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่ชี้แนะอุบายแนวทาง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ไปสร้างขึ้นมาก็จะไม่เข้าใจ ฟังไปด้วยสำเหนียก น้อมมองเข้ากับกาลหลังของเรา ลองสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเราก็ต้องศึกษาให้ละเอียด หายใจยาวเป็นอย่างไร หายใจออกสั้นออกยาว เข้าสั้นเข้ายาว หายใจธรรมชาติ ความรู้สึกที่เวลาลมกระทบปลายจมูกเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง ก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชินแล้ว ส่วนการเกิดการดับของใจ หรือว่าวิญญาณนั้นเขาเกิดอยู่ตลอด
บางทีก็ขันธ์ห้า ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ใจกับอาการของใจ เขารวมกันก็ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นี่แหละความหลงอย่างลุ่มลึก ความหลง หลงในระดับยึดติดในกาย ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง สังเกตทันเมื่อไรเขาก็จะแยกออกจากกัน พอเขาแยกออกจากกันได้ เขาก็จะคลายความหลง ใจแต่ก่อนเขาคว่ำอยู่ เขาก็จะหงายขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา มันเป็นแค่เริ่มต้นนะ เพียงแค่เริ่มต้น คลายความหลง
ทีนี้การตามดู ตามรู้ ตามเห็น ความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคําว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในคําสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป’ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ แต่ใจนั้นว่างอยู่แล้ว ถ้าใจไม่ไปหลงความคิด เขาก็ว่าง ถ้าเขาจะเกิดกิเลสอีก เราก็มาดับอีก นี่แหละความหลง หลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสความโลภ ความโกรธ ความยินดี ยินร้าย การปรุงการแต่ง ใจส่งออกไปภายนอก เราก็มาดับอีก มาดับจนใจไม่เกิดอีก ดับความเกิดของใจ ละกิเลสที่ใจอีก ละกิเลสที่ใจก็ดับความเกิดของใจนี่แหละ ความหลงอันชั้นละเอียด
ใจเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เขาก็มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ มาเกิดอยู่ในขันธ์ห้าของเรา ก็มาทำความเข้าใจ กายก็คือก้อนขันธ์ทั้งห้าของเรา ก็ยังมีลมหายใจ ยังมียังใช้การใช้งานได้อยู่ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ใจก็ต้องไปหาที่เกาะที่เกี่ยวใหม่ ตราบใดที่เขายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามให้อยู่ในกองบุญกองกุศล เอาไว้
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ทั้งสมมติก็มีเหตุมีผลของสมมติ ทั้งวิมุตติก็ต้องมีเหตุมีผล สมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ เราต้องทำความเข้าใจทุกอย่างทุกเรื่อง คนทั่วไปนี่มองเห็นทั้งก้อน ถูกก็ถูกทั้งก้อน ผิดก็ผิดทั้งก้อน แต่เวลานี้มันหลงอยู่ มันหลงอยู่ในความยึด ความยึดความติด ความยึดความติด เราต้องมาศึกษาแจงออกให้เป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ ที่ท่านเรียกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์ มันมีกี่กอง มีกี่ขันธ์ มันแจงออกไป
ถ้ากําลังสติของเราสังเกตวิเคราะห์แยกได้ ตามดูได้ จะสนุกมากทีเดียว ช่วงใหม่ๆ มีความสุขในการดู ในการรู้ ในการเห็น ว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา หรือว่าเกิดจากตัวใจโดยตรง สนุก มีความสุขในการดู การละความอยากเป็นอย่างไร การละความกลัวเป็นอย่างไร วิธีการแนวทางเป็นอย่างไรที่เราจะเข้าถึง กําลังสติปัญญาของเราแหลมคมเร็วไว พรหมวิหารของเราเต็มเปี่ยมหรือเปล่า
ต้องหมั่นแก้ไข อันนี้สติก็ไม่ได้สร้าง ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี ความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ ครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มันก็อัดแน่นเข้าไป อัดแน่นเข้าไปมันก็เลยมืดมิด นี่ก็ยาก ก็ได้แค่แต่การทำบุญให้ทาน ศรัทธา ตรงนั้นก็มีอยู่ ก็เป็นข้าวพกข้าวห่อของเราได้อยู่ แต่ก็ยังดับทุกข์ที่ตัวใจไม่ได้ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นผู้รู้ผู้ใหม่ผู้ตื่น เชื่อมั่น มีความเข้มแข็ง อ่อนโยน หนักแน่นทุกอย่าง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่ มีไว้หมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงตรงนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
หลวงพ่อก็ได้แค่พูด แค่บอกแค่กล่าว ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก ถ้าบุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว รู้จักแนวทางแล้วทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทั้งการขัดเกลากิเลสนี่ ไม่จำเป็นต้องได้พูดมากเลย ถ้าจะไม่เอาพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่สนใจ
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มิถุนายน 2558
มีความสุขกันทุกคน นี่มาจากไหนกันหนอ มาจากขอนแก่น เอาวางใส่นี่แหล่ะ มาทำบุญมาให้ทาน โอกาสญาติโยมท่านใด การสร้างมหาเจดีย์ใหญ่ ตั้งชื่อเอาไว้ ‘มหาเจดีย์พุทธเมตตาหลวง’ ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์ จากผู้รู้ ทั้งแนวทางวิธีการเจริญสติ การเจริญปัญญา การดับทุกข์ ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์ ถึงท่านจะจากไปสองสามพันปี แต่คําสอนของท่านก็ยังอยู่ สัจธรรมความจริงก็ยังอยู่ ขอให้ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะเข้าใจในคําสอนของ พระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ หลักของความเป็นจริง วิธีการแนวทาง การเจริญพรหมวิหาร มีไว้หมด
การขัดเกลากิเลส เพราะว่าดวงจิตแต่ละดวงนั้นสะอาดมาแต่เดิม ความไม่รู้ความหลงก็ทำให้เขาเกิด ไม่จบไม่สิ้น เราก็ต้องพยายามมาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจยอมรับความเป็นจริง เขาถึงจะปล่อย เขาถึงจะวางได้ แต่ต้องพยายาม ท่านถึงบอกว่าความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คือการเกิดนั่นแหละ ตราบใดที่ใจยังเกิด เขาก็ยังหลงๆ เกิด ก็จะขัดเกลาให้เบาบาง ดับความเกิดได้ก็ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด หนุนกําลังสติปัญญาไปใช้กับสมมติ
การพูดนี่ง่ายอยู่ แต่การลงมือการกระทำเราต้องแก้ไขตัวเรา ปฏิวัติตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา พอรู้จักแนวทางก็เร่งทำความเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทำทุกอย่างตั้งแต่การให้ทาน การเอาออก ทานวัตถุทาน ทานความยึดมั่นถือมั่น เดินปัญญา
ในกายของเรานี้มีอะไรบ้างที่เป็นกองเป็นขันธ์ ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาหลงมายึด วิญญาณในขันธ์ห้า ภาษาธรรมภาษาโลก เราต้องแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แต่ละวันๆ ไปที่ไหนก็บอกว่าอย่าส่งจิตออกนอก พูดคุยกันจ้อ มันวิ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จัก ทั้งออกทั้งคิด สารพัดอย่าง มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันทั้งพระทั้งชี อย่าไปเกียจคร้าน ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ อยู่คนละทิศ ละที่ละทาง ก็มาอยู่ร่วมกัน ก็เคยมีเคยสร้างบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน
30 ปีก่อนจับเชือกมัดเอาไว้ก็ไม่มีใครอยากจะมาอยู่ ทุกวันนี้ก็มีตั้งแต่คนหลั่งไหลเข้ามา เพราะว่าเป็นแหล่งบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ อาศัยอานิสงส์บุญของทุกคนรวมกัน มาร่วมกัน มาช่วยกัน จากป่าช้าก็เลยกลายเป็นสถานที่น่าอยู่ กว่าจะทำขึ้นมาได้นี่ แต่ละชิ้นแต่ละอันนี่ ก็ต้องอาศัยความเพียรให้ทุกคนได้มีความสุข พวกเราก็มาสร้างสานต่อร่วมกัน ช่วยกัน มันก็ไปเป็นบุญก้อนใหญ่
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่ชี้แนะอุบายแนวทาง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ไปสร้างขึ้นมาก็จะไม่เข้าใจ ฟังไปด้วยสำเหนียก น้อมมองเข้ากับกาลหลังของเรา ลองสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเราก็ต้องศึกษาให้ละเอียด หายใจยาวเป็นอย่างไร หายใจออกสั้นออกยาว เข้าสั้นเข้ายาว หายใจธรรมชาติ ความรู้สึกที่เวลาลมกระทบปลายจมูกเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง ก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชินแล้ว ส่วนการเกิดการดับของใจ หรือว่าวิญญาณนั้นเขาเกิดอยู่ตลอด
บางทีก็ขันธ์ห้า ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ใจกับอาการของใจ เขารวมกันก็ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นี่แหละความหลงอย่างลุ่มลึก ความหลง หลงในระดับยึดติดในกาย ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง สังเกตทันเมื่อไรเขาก็จะแยกออกจากกัน พอเขาแยกออกจากกันได้ เขาก็จะคลายความหลง ใจแต่ก่อนเขาคว่ำอยู่ เขาก็จะหงายขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา มันเป็นแค่เริ่มต้นนะ เพียงแค่เริ่มต้น คลายความหลง
ทีนี้การตามดู ตามรู้ ตามเห็น ความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคําว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในคําสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป’ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ แต่ใจนั้นว่างอยู่แล้ว ถ้าใจไม่ไปหลงความคิด เขาก็ว่าง ถ้าเขาจะเกิดกิเลสอีก เราก็มาดับอีก นี่แหละความหลง หลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสความโลภ ความโกรธ ความยินดี ยินร้าย การปรุงการแต่ง ใจส่งออกไปภายนอก เราก็มาดับอีก มาดับจนใจไม่เกิดอีก ดับความเกิดของใจ ละกิเลสที่ใจอีก ละกิเลสที่ใจก็ดับความเกิดของใจนี่แหละ ความหลงอันชั้นละเอียด
ใจเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เขาก็มาเกิดอยู่ในกายเนื้อ มาเกิดอยู่ในขันธ์ห้าของเรา ก็มาทำความเข้าใจ กายก็คือก้อนขันธ์ทั้งห้าของเรา ก็ยังมีลมหายใจ ยังมียังใช้การใช้งานได้อยู่ ถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ ใจก็ต้องไปหาที่เกาะที่เกี่ยวใหม่ ตราบใดที่เขายังเกิดอยู่ เราก็ต้องพยายามให้อยู่ในกองบุญกองกุศล เอาไว้
ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด ทั้งสมมติก็มีเหตุมีผลของสมมติ ทั้งวิมุตติก็ต้องมีเหตุมีผล สมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ เราต้องทำความเข้าใจทุกอย่างทุกเรื่อง คนทั่วไปนี่มองเห็นทั้งก้อน ถูกก็ถูกทั้งก้อน ผิดก็ผิดทั้งก้อน แต่เวลานี้มันหลงอยู่ มันหลงอยู่ในความยึด ความยึดความติด ความยึดความติด เราต้องมาศึกษาแจงออกให้เป็นกองๆ เป็นขันธ์ๆ ที่ท่านเรียกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์ มันมีกี่กอง มีกี่ขันธ์ มันแจงออกไป
ถ้ากําลังสติของเราสังเกตวิเคราะห์แยกได้ ตามดูได้ จะสนุกมากทีเดียว ช่วงใหม่ๆ มีความสุขในการดู ในการรู้ ในการเห็น ว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา หรือว่าเกิดจากตัวใจโดยตรง สนุก มีความสุขในการดู การละความอยากเป็นอย่างไร การละความกลัวเป็นอย่างไร วิธีการแนวทางเป็นอย่างไรที่เราจะเข้าถึง กําลังสติปัญญาของเราแหลมคมเร็วไว พรหมวิหารของเราเต็มเปี่ยมหรือเปล่า
ต้องหมั่นแก้ไข อันนี้สติก็ไม่ได้สร้าง ความขยันหมั่นเพียรก็ไม่มี ความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ ครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มันก็อัดแน่นเข้าไป อัดแน่นเข้าไปมันก็เลยมืดมิด นี่ก็ยาก ก็ได้แค่แต่การทำบุญให้ทาน ศรัทธา ตรงนั้นก็มีอยู่ ก็เป็นข้าวพกข้าวห่อของเราได้อยู่ แต่ก็ยังดับทุกข์ที่ตัวใจไม่ได้ เราก็ต้องพยายามแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นผู้รู้ผู้ใหม่ผู้ตื่น เชื่อมั่น มีความเข้มแข็ง อ่อนโยน หนักแน่นทุกอย่าง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่ มีไว้หมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงตรงนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
หลวงพ่อก็ได้แค่พูด แค่บอกแค่กล่าว ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก ถ้าบุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียว รู้จักแนวทางแล้วทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทั้งการขัดเกลากิเลสนี่ ไม่จำเป็นต้องได้พูดมากเลย ถ้าจะไม่เอาพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่สนใจ
สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ