หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 46
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 46
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 46
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 เมษายน 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ในการขบในการฉันของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้พิจารณาใจของเรา การเจริญสติ การศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา ไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติก็ทำหน้าที่มีความรับผิดชอบให้ดี ความรับผิดชอบในระดับของสมมติ เราก็พยายามดูแลรักษาสิ่งของ ของเราว่ามีขโมย ขโมยกันไปทั่วหมดเลย ทั้งมือถือ ทั้งโทรศัพท์อะไรต่างๆ ที่ชาร์จทิ้งเอาไว้ คนคอยขโมยก็คอยขโมยนะ แม้แต่กุฏิหลวงพ่อก็ยังขึ้น ขึ้นไปรื้อเมื่อวันวานสองวันช่วงมาฉันข้าวนี่แหละ ก็ไม่ได้อะไร อยากจะได้อะไรให้มันรื้อกุฏิไปเลย ไม่ได้ภาพมัน อยากให้โกรธ ก็ไม่โกรธ จะให้ว่าก็ไม่ว่า แค่พูดเฉยๆ มันอยากจะได้ก็ให้มันรื้อเอาไป ได้อะไรก็ให้เอาไป ไอ้ขโมยก็คอยขโมยเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ถ้าเป็นขโมยไม่ขโมยเขาก็ไม่ทำหน้าที่ เขาทำหน้าที่
ยิ่งคนเยอะเท่าไรก็ยิ่งแอบแฝงเข้ามา ระวังโทรศัพท์มือถือนี่แหละ เป็นทางเลือกของมัน จะพูดให้สุภาพหน่อยก็ไม่เป็นไร เรียกตัวเรียกมัน ขโมยมันก็คอยขโมย คนเยอะเท่าไร มันก็มีการมีงานที่ไหน คนเยอะที่ไหนมันจะไปที่นั่น บางทีมานอนอยู่ นอนกินที่วัดก็มี กินแล้วมันก็แอบขโมย หลายครั้งขโมยไปหมด ประตูหน้าต่างก็ไปไหนมาไหนก็ให้ปิดให้มิดชิด ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย มันขึ้นกุฏิหลวงพ่อข้างบนลงมาข้างล่าง เปิดประตูเปิดไว้หมดทิ้งหมด มันคงจะนึกว่าหลวงพ่อมีเงินมีทอง ไม่เห็นมี หลวงพ่อไม่มีอะไร ก็เลยเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เพราะทานไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือให้ขโมยเลย ได้กินอิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปดูจุดโน้นบ้างจุดนี้บ้าง เผลอเมื่อไรมันก็เอา ดีไม่ดีมันขังเจ้าอาวาสไว้ในห้องอีก ถึงเอาขโมย ขโมยขังเจ้าอาวาสหรือเปล่าวันนั้น หรือเจ้าอาวาสขังตัวเอง
พยายามนะ พยายามเอา เรามาศึกษาดูชีวิตของเรา แก้ไขชีวิตของเรา มารู้จักการเจริญสติ มารู้จักจิตวิญญาณในกายของเรา มีศรัทธากันเต็มเปี่ยม มาสร้างบารมีกันเต็มเปี่ยม มีขโมยมาขโมยเอาของเราก็ได้ธรรมอันยิ่งใหญ่เลย ว่าเราใจของเราขุ่นมัวหรือไม่ ใจของเราโกรธให้เขาหรือเปล่า เราทานให้เขาได้หรือไม่ ถ้าเราใจของเราไม่มีความทุกข์แสดงว่าใช้การได้เลย เป็นธรรมอันใหญ่เลย ถ้ามีตั้งแต่ความทุกข์ความกังวลก็แสดงว่าใจของเรามันยังควบคุมไม่ได้ ยังปล่อยไม่ได้ เพียงแค่สมมติภายนอก แต่เราก็ต้องรักษา เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง เราไม่อยากให้โดนขโมยเราก็รักษาของของเรา ถ้ามันจะมาขโมย เรารักษาดีแล้วมันมาขโมยไปได้ก็ยกให้เป็นกรรม กฎหมายลงโทษไม่ได้ก็ยกให้เป็นกรรม เพราะทุกคนเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมของมันมาขโมย ตัวเรามีหน้าที่ว่า
ความหลงของจิตวิญญาณของเราเกิดมาแล้ว เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปคลายความหลงในขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน มีศรัทธาแล้วก็เจริญสติ รู้จักลักษณะของสติ รู้จักลักษณะของปัญญา คลายวิญญาณในกายเนื้อของเรา หรือตัวใจของเรานั่นแหละ ว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้ ทำไมเขารวมกันไปได้ รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ไปเร่งทำความเพียร คุยพูดคุยกับใจของตัวเรา รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักพิจารณา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อยู่คนเดียวก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องไป พูดคุยกันมากมายเลย
ดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้น กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกหรือจากภายใน ทุกเรื่องจนกระทั่งถึงเวลานี้ เวลาขบเวลาฉันก็เหมือนกัน ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่ากายของเราเกิดความหิว ถ้าเราแยกขันธ์ห้าไม่ได้ไม่มีวันที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้เลย แยกรูปแยกนามไม่ได้ คลายใจออกจากวิญญาณออกจากตัวขันธ์ห้าไม่ได้ แล้วก็มาละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ก็อยู่ในหลักของการปฏิบัติ หลักของการดำเนินชีวิตของสมมติ มีความสุขระดับของสมมติ สุขๆ ดิบๆ ดิบๆ สุขๆ แต่ใจไม่อยู่เหนือทุกอย่าง
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรความเด็ดขาด ถึงจะเอามันอยู่ สำหรับวิญญาณในกาย เพราะเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน แต่เวลานี้ทุกคน มีแต่ตัววิญญาณวิ่งหาธรรม ตัวใจวิ่งหาธรรม มีแต่ธรรมเมา ธรรมเมาธรรมกิเลสชนกันอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเจริญสติเข้าไปควบคุมอบรมสังเกตวิเคราะห์ มันยากอยู่ก็ต้องพยายามเอา ถึงยากก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายาม อย่าไปทิ้ง เหมือนกับเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จะไปจับยัดให้กันเลยก็ไม่ได้หรอกสิ่งของพวกนี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีศรัทธาที่ถูกต้องถูกตรง ศรัทธาก็ต้องให้เกิดปัญญารู้แจ้งด้วยไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ใครพูดอย่างไรก็เออเองไหลไปหมด ก็ต้องปฏิบัติให้รู้ให้เห็นใจของเราคลายใจของเราออกให้ได้ หมดความสงสัยได้ จัดการกับกิเลสให้หมดจดหมดถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ได้
ไม่จำเป็นต้องว่า ไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนเรานั่นแหละ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ เรามีอยู่ เรามีความขยันอยู่ในระดับไหน ทำไมเราขาดตกบกพร่อง เราก็รีบแก้ไข แก้ไขเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่อง เราก็ขยันหมั่นเพียร จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง จิตใจของเรามีพรหมวิหารมีความเมตตา มีความกตัญญูกตเวที มีความอ่อนโยน เราก็พยายามหัดวิเคราะห์ปรับสภาพกาย วาจา ใจของเราให้อยู่ในสมมติอย่างมีความสุข จนกระทั่งแยกแยะได้ สติปัญญาสมาธิเสมอภาคกันหมดนั่นแหละถึงจะมีความสุข กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง ทางขันธ์ห้าเขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง
ขันธ์ห้านี่เป็นทั้งส่วนรูป เป็นทั้งส่วนนาม อะไรคือรูปอะไรคือนาม อะไรคือตัววิญญาณในขันธ์ห้าเราต้องรู้ให้ชัดเจน แต่เวลานี้เรารู้รวมกันไปหมดว่าตัวตนของเรา ของๆ เรา เราน้อมกายของเรามาปฏิบัติทั้งก้อน ตัวขันธ์ห้าตัววิญญาณเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่สติปัญญาที่สร้างขึ้นมา มีอยู่ สติอาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวควบคุมใจ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง แต่เราต้องรู้ทุกเรื่อง แล้วก็อบรมใจให้ได้ทุกอย่าง จนอยู่ในโอวาทของปัญญาของเรา ช่วงใหม่ๆ นี้จะฝืน อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า ถึงจะมีมากเท่าไรอย่าเอามาโต้แย้ง ให้เราเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปข่มเข้าไปดับ หยุด สังเกตวิเคราะห์จนแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรตามดู รู้เห็นความเป็นจริง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังในช่วงเช้าๆ นี้แหละ เพราะว่ามีกําลังอยู่นิดเดียว สภาพร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง หัวใจก็ไม่ค่อยดี ไตก็ไม่ค่อยดีแล้ว เขารวนกันไปหมดแล้ว สภาพร่างกาย หัวใจ เพราะว่าใช้งานเขามานาน แล้วก็ฉีดยาเขาก็มานานด้วย หยุดฉีดยาอะไรก็เสื่อมลงไป รอเวลาที่จะแตกดับเท่านั้นเอง
มีเวลาก็พากันรีบขยันหมั่นเพียร อย่าไปมัวเมาคุยกันเล่น เสียดายเวลา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์เป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ การพูด การคุยก็พูดให้น้อย คุยให้น้อย แล้วก็สังเกตวิเคราะห์ทำให้มากๆ ให้ปรากฏให้เห็นที่ใจของตัวเรา จนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน อันนี้ได้ถึงเรียกว่า คลายความหลง คลายออกพลิกได้เมื่อไร ตามดูให้รู้ทุกเรื่องอีก ถึงจะเป็นวิปัสสนา ละกิเลสให้หมดอีก ถึงจะเป็นปัญญา ดับความเกิดของวิญญาณอีก ถึงจะอยู่ดีมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน การพูดการจาก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายเท่านั้นเอง
เราจงพยายามไปทำ ทุกคนมีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็มีปัญญาอยู่แล้ว แต่เป็นปัญญาของสมมติ เราอย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เรามาสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนชัดแจ้ง แล้วก็ขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ก็ต้องพยายามกันนะ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทั้งพระทั้งชีทั้งสามเณร ลูกเณรมีอะไรก็ช่วยกัน สามเณรก็ช่วยกันเก็บใบไม้เอาไปลงถังหมักทำปุ๋ยปลูกต้นไม้ ให้ทำหลังร้าน ให้เป็นสวยงามบนสะพานมหาสติที่จะส่งต่อไปถึงองค์ลานมหาเจดีย์ใหญ่ ในวันข้างหน้าถ้ามีบุญมีอานิสงส์พอ มีกําลังพอก็คงจะได้เห็นมหาเจดีย์ใหญ่ ถ้ามีอานิสงส์ เดี๋ยวนี้กําลังติดต่อเรื่องที่ดิน อีกวันสองวันเจ้าของที่ดินผู้ใจบุญท่านก็จะอนุเคราะห์ให้ช่วยเหลือเราอยู่ จะให้อยู่ จะขายให้อยู่ จะขายไม่แพงเท่าไร ขายให้เพื่อสร้างอานิสงส์สร้างบุญ มีโอกาสเราก็ได้จะมาร่วมกัน ภายในวันสองวันก็คงจะได้รับคําตอบ
ถ้าอานิสงส์ของทุกคนมีก็หล่อหลอมรวมกันให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของโลกไปเลย จะได้ทำให้สวยๆ งามๆ ไม่นานก็คงไม่เกินสงกรานต์นี้แหละ หลังจากนั้นก็จะถ้าเรื่องที่ดินเสร็จก็ประมาณสัก 15 ไร่ ก็จะได้เริ่มลงมือจัดสถานที่ ปรับปรุงสถานที่เอาไว้ในวันข้างหน้า ถึงหลวงพ่อทำไม่เสร็จ ถึงหลวงพ่อดำเนินต่อไม่ไหว ก็ให้มีสถานที่เอาไว้ให้ท่านเจ้าคุณสานต่อเอา
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของตัวเราให้ชัดเจนนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจมายาวให้เป็นธรรมชาติ อย่าไปบังคับลมหายใจ กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราจะนึกคิดปรุงแต่งไปที่ไหนเขาก็จะหยุด
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละ เขาเรียกว่า สติรู้กาย รู้ลมหายใจ ลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้หายใจวิ่งเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจวิ่งออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี เราก็จะรู้กายของเรา อันนี้เป็นส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมาเขาเรียกว่า ปัญญาตัวใหม่หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ส่วนการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรานั้นเขามีอยู่แล้ว ความคิดกับวิญญาณก็ปรุงแต่งกัน เขารวมกัน เขามีอยู่แล้วซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
วิญญาณในกายของเรา ถ้าเรามีสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไปเห็นการเกิดของวิญญาณว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร บางทีเขามีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร นี่แหละ ‘ความหลง’ ตรงนี้แหละ เราต้องเจริญสติเข้าไปคลายให้ได้ ถ้าคลายไม่ได้ ใจ วิญญาณก็ยังหลงอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ถ้าแยกได้คลายได้ ความรู้ตัวของเราก็จะตามเห็นความเกิดความดับที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจหรือว่าปรุงแต่งวิญญาณของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามดู รู้ ให้จนกระทั่งต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เมื่อเรามองเห็นตรงนี้ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เราก็ค่อยละ
ทีนี้ก็มาละกิเลสที่ใจของเรา มาดับความเกิดที่ใจของเรา ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนเป็นอัตโนมัติจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ไม่ใช่ว่ารู้นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยปละละเลย จนสามารถเอาสติปัญญาไปหน้าที่แทนใจได้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปหน้าที่แทนได้ แต่เวลานี้กําลังสติจะสร้างให้ต่อเนื่องกันสัก 3 นาที 5 นาทีก็ยังยากลำบาก จะไปใช้การใช้งานได้อย่างไร กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่รู้ กลัวจะไม่เห็น กลัวจะเสียเปรียบกิเลส สมมติสารพัดอย่าง กลัวตายทุกอย่าง
เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังแก้ไขไม่ตกกัน มันก็ยิ่งยาก เรื่องวิมุตติ เรื่องใจที่จะปล่อยวางให้มันได้หมด ทำได้เท่าไรก็เอา ทำได้เท่าไรก็ดี ดีหมด อย่าว่าไม่ทำ จัดระบบระเบียบของความคิด ของอารมณ์ ของกาย ของวาจา ของใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี มีความเพียรละกิเลสออกหมด จนมองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าญาติโยม ผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าพระว่าชีมีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย เรารู้จักวิธีแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่ว่าธรรมะจะอยู่ที่โน้นธรรมะจะอยู่ที่นี่ เรามาขัดเกลากิเลสออกจากใจเรา ใจของเราก็จะเข้าถึงองค์ธรรมได้เร็วได้ไว ดับความเกิดของใจของเรา คลายความหลงของใจของเรานั่นแหละ ท่านถึงบอกทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สตินี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยสอนใจเราอบรมใจของเรา ถ้าสอนเราไม่ได้จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ เสียดายเวลา
เราต้องหมั่นพร่ำสอน สอนใจเราอยู่ตลอดเวลา ได้บ้างไม่ได้บ้าง กิเลสตัว เหตุจากภายนอกจากภายใน ชื่อมัน อาการของมัน เรียกอย่างโน้นเรียกอย่างนี้ ภาษาสมมติเป็นอย่างนั้นภาษาสมมติเป็นอย่างนี้ ถ้าเราแยกได้คลายได้ตามดูได้ เราจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัย มีตั้งแต่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 เมษายน 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย ในการขบในการฉันของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้พิจารณาใจของเรา การเจริญสติ การศึกษาค้นคว้าชีวิตของเรา ไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทั้งสมมติทั้งวิมุตติก็ทำหน้าที่มีความรับผิดชอบให้ดี ความรับผิดชอบในระดับของสมมติ เราก็พยายามดูแลรักษาสิ่งของ ของเราว่ามีขโมย ขโมยกันไปทั่วหมดเลย ทั้งมือถือ ทั้งโทรศัพท์อะไรต่างๆ ที่ชาร์จทิ้งเอาไว้ คนคอยขโมยก็คอยขโมยนะ แม้แต่กุฏิหลวงพ่อก็ยังขึ้น ขึ้นไปรื้อเมื่อวันวานสองวันช่วงมาฉันข้าวนี่แหละ ก็ไม่ได้อะไร อยากจะได้อะไรให้มันรื้อกุฏิไปเลย ไม่ได้ภาพมัน อยากให้โกรธ ก็ไม่โกรธ จะให้ว่าก็ไม่ว่า แค่พูดเฉยๆ มันอยากจะได้ก็ให้มันรื้อเอาไป ได้อะไรก็ให้เอาไป ไอ้ขโมยก็คอยขโมยเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ถ้าเป็นขโมยไม่ขโมยเขาก็ไม่ทำหน้าที่ เขาทำหน้าที่
ยิ่งคนเยอะเท่าไรก็ยิ่งแอบแฝงเข้ามา ระวังโทรศัพท์มือถือนี่แหละ เป็นทางเลือกของมัน จะพูดให้สุภาพหน่อยก็ไม่เป็นไร เรียกตัวเรียกมัน ขโมยมันก็คอยขโมย คนเยอะเท่าไร มันก็มีการมีงานที่ไหน คนเยอะที่ไหนมันจะไปที่นั่น บางทีมานอนอยู่ นอนกินที่วัดก็มี กินแล้วมันก็แอบขโมย หลายครั้งขโมยไปหมด ประตูหน้าต่างก็ไปไหนมาไหนก็ให้ปิดให้มิดชิด ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย มันขึ้นกุฏิหลวงพ่อข้างบนลงมาข้างล่าง เปิดประตูเปิดไว้หมดทิ้งหมด มันคงจะนึกว่าหลวงพ่อมีเงินมีทอง ไม่เห็นมี หลวงพ่อไม่มีอะไร ก็เลยเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เพราะทานไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือให้ขโมยเลย ได้กินอิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปดูจุดโน้นบ้างจุดนี้บ้าง เผลอเมื่อไรมันก็เอา ดีไม่ดีมันขังเจ้าอาวาสไว้ในห้องอีก ถึงเอาขโมย ขโมยขังเจ้าอาวาสหรือเปล่าวันนั้น หรือเจ้าอาวาสขังตัวเอง
พยายามนะ พยายามเอา เรามาศึกษาดูชีวิตของเรา แก้ไขชีวิตของเรา มารู้จักการเจริญสติ มารู้จักจิตวิญญาณในกายของเรา มีศรัทธากันเต็มเปี่ยม มาสร้างบารมีกันเต็มเปี่ยม มีขโมยมาขโมยเอาของเราก็ได้ธรรมอันยิ่งใหญ่เลย ว่าเราใจของเราขุ่นมัวหรือไม่ ใจของเราโกรธให้เขาหรือเปล่า เราทานให้เขาได้หรือไม่ ถ้าเราใจของเราไม่มีความทุกข์แสดงว่าใช้การได้เลย เป็นธรรมอันใหญ่เลย ถ้ามีตั้งแต่ความทุกข์ความกังวลก็แสดงว่าใจของเรามันยังควบคุมไม่ได้ ยังปล่อยไม่ได้ เพียงแค่สมมติภายนอก แต่เราก็ต้องรักษา เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง เราไม่อยากให้โดนขโมยเราก็รักษาของของเรา ถ้ามันจะมาขโมย เรารักษาดีแล้วมันมาขโมยไปได้ก็ยกให้เป็นกรรม กฎหมายลงโทษไม่ได้ก็ยกให้เป็นกรรม เพราะทุกคนเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมของมันมาขโมย ตัวเรามีหน้าที่ว่า
ความหลงของจิตวิญญาณของเราเกิดมาแล้ว เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นเอาไว้ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปคลายความหลงในขันธ์ห้าของเราให้ได้เสียก่อน มีศรัทธาแล้วก็เจริญสติ รู้จักลักษณะของสติ รู้จักลักษณะของปัญญา คลายวิญญาณในกายเนื้อของเรา หรือตัวใจของเรานั่นแหละ ว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้ ทำไมเขารวมกันไปได้ รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ไปเร่งทำความเพียร คุยพูดคุยกับใจของตัวเรา รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักพิจารณา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อยู่คนเดียวก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องไป พูดคุยกันมากมายเลย
ดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้น กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกหรือจากภายใน ทุกเรื่องจนกระทั่งถึงเวลานี้ เวลาขบเวลาฉันก็เหมือนกัน ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่ากายของเราเกิดความหิว ถ้าเราแยกขันธ์ห้าไม่ได้ไม่มีวันที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้เลย แยกรูปแยกนามไม่ได้ คลายใจออกจากวิญญาณออกจากตัวขันธ์ห้าไม่ได้ แล้วก็มาละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ก็อยู่ในหลักของการปฏิบัติ หลักของการดำเนินชีวิตของสมมติ มีความสุขระดับของสมมติ สุขๆ ดิบๆ ดิบๆ สุขๆ แต่ใจไม่อยู่เหนือทุกอย่าง
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรความเด็ดขาด ถึงจะเอามันอยู่ สำหรับวิญญาณในกาย เพราะเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน แต่เวลานี้ทุกคน มีแต่ตัววิญญาณวิ่งหาธรรม ตัวใจวิ่งหาธรรม มีแต่ธรรมเมา ธรรมเมาธรรมกิเลสชนกันอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเจริญสติเข้าไปควบคุมอบรมสังเกตวิเคราะห์ มันยากอยู่ก็ต้องพยายามเอา ถึงยากก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายาม อย่าไปทิ้ง เหมือนกับเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จะไปจับยัดให้กันเลยก็ไม่ได้หรอกสิ่งของพวกนี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีศรัทธาที่ถูกต้องถูกตรง ศรัทธาก็ต้องให้เกิดปัญญารู้แจ้งด้วยไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ใครพูดอย่างไรก็เออเองไหลไปหมด ก็ต้องปฏิบัติให้รู้ให้เห็นใจของเราคลายใจของเราออกให้ได้ หมดความสงสัยได้ จัดการกับกิเลสให้หมดจดหมดถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ได้
ไม่จำเป็นต้องว่า ไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนเรานั่นแหละ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ เรามีอยู่ เรามีความขยันอยู่ในระดับไหน ทำไมเราขาดตกบกพร่อง เราก็รีบแก้ไข แก้ไขเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่อง เราก็ขยันหมั่นเพียร จิตใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง จิตใจของเรามีพรหมวิหารมีความเมตตา มีความกตัญญูกตเวที มีความอ่อนโยน เราก็พยายามหัดวิเคราะห์ปรับสภาพกาย วาจา ใจของเราให้อยู่ในสมมติอย่างมีความสุข จนกระทั่งแยกแยะได้ สติปัญญาสมาธิเสมอภาคกันหมดนั่นแหละถึงจะมีความสุข กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง ทางขันธ์ห้าเขาก็หาเหตุหาผลมาโต้แย้ง
ขันธ์ห้านี่เป็นทั้งส่วนรูป เป็นทั้งส่วนนาม อะไรคือรูปอะไรคือนาม อะไรคือตัววิญญาณในขันธ์ห้าเราต้องรู้ให้ชัดเจน แต่เวลานี้เรารู้รวมกันไปหมดว่าตัวตนของเรา ของๆ เรา เราน้อมกายของเรามาปฏิบัติทั้งก้อน ตัวขันธ์ห้าตัววิญญาณเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่สติปัญญาที่สร้างขึ้นมา มีอยู่ สติอาจจะมีเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวควบคุมใจ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง แต่เราต้องรู้ทุกเรื่อง แล้วก็อบรมใจให้ได้ทุกอย่าง จนอยู่ในโอวาทของปัญญาของเรา ช่วงใหม่ๆ นี้จะฝืน อย่าเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า ถึงจะมีมากเท่าไรอย่าเอามาโต้แย้ง ให้เราเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปข่มเข้าไปดับ หยุด สังเกตวิเคราะห์จนแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรตามดู รู้เห็นความเป็นจริง อะไรควรละ อะไรควรเจริญ
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟังในช่วงเช้าๆ นี้แหละ เพราะว่ามีกําลังอยู่นิดเดียว สภาพร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง หัวใจก็ไม่ค่อยดี ไตก็ไม่ค่อยดีแล้ว เขารวนกันไปหมดแล้ว สภาพร่างกาย หัวใจ เพราะว่าใช้งานเขามานาน แล้วก็ฉีดยาเขาก็มานานด้วย หยุดฉีดยาอะไรก็เสื่อมลงไป รอเวลาที่จะแตกดับเท่านั้นเอง
มีเวลาก็พากันรีบขยันหมั่นเพียร อย่าไปมัวเมาคุยกันเล่น เสียดายเวลา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสังเกต การวิเคราะห์เป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ การพูด การคุยก็พูดให้น้อย คุยให้น้อย แล้วก็สังเกตวิเคราะห์ทำให้มากๆ ให้ปรากฏให้เห็นที่ใจของตัวเรา จนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน อันนี้ได้ถึงเรียกว่า คลายความหลง คลายออกพลิกได้เมื่อไร ตามดูให้รู้ทุกเรื่องอีก ถึงจะเป็นวิปัสสนา ละกิเลสให้หมดอีก ถึงจะเป็นปัญญา ดับความเกิดของวิญญาณอีก ถึงจะอยู่ดีมีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน การพูดการจาก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายเท่านั้นเอง
เราจงพยายามไปทำ ทุกคนมีบุญอยู่แล้ว ทุกคนก็มีปัญญาอยู่แล้ว แต่เป็นปัญญาของสมมติ เราอย่าเพิ่งเอามาโต้แย้ง เรามาสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนชัดแจ้ง แล้วก็ขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ก็ต้องพยายามกันนะ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทั้งพระทั้งชีทั้งสามเณร ลูกเณรมีอะไรก็ช่วยกัน สามเณรก็ช่วยกันเก็บใบไม้เอาไปลงถังหมักทำปุ๋ยปลูกต้นไม้ ให้ทำหลังร้าน ให้เป็นสวยงามบนสะพานมหาสติที่จะส่งต่อไปถึงองค์ลานมหาเจดีย์ใหญ่ ในวันข้างหน้าถ้ามีบุญมีอานิสงส์พอ มีกําลังพอก็คงจะได้เห็นมหาเจดีย์ใหญ่ ถ้ามีอานิสงส์ เดี๋ยวนี้กําลังติดต่อเรื่องที่ดิน อีกวันสองวันเจ้าของที่ดินผู้ใจบุญท่านก็จะอนุเคราะห์ให้ช่วยเหลือเราอยู่ จะให้อยู่ จะขายให้อยู่ จะขายไม่แพงเท่าไร ขายให้เพื่อสร้างอานิสงส์สร้างบุญ มีโอกาสเราก็ได้จะมาร่วมกัน ภายในวันสองวันก็คงจะได้รับคําตอบ
ถ้าอานิสงส์ของทุกคนมีก็หล่อหลอมรวมกันให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของโลกไปเลย จะได้ทำให้สวยๆ งามๆ ไม่นานก็คงไม่เกินสงกรานต์นี้แหละ หลังจากนั้นก็จะถ้าเรื่องที่ดินเสร็จก็ประมาณสัก 15 ไร่ ก็จะได้เริ่มลงมือจัดสถานที่ ปรับปรุงสถานที่เอาไว้ในวันข้างหน้า ถึงหลวงพ่อทำไม่เสร็จ ถึงหลวงพ่อดำเนินต่อไม่ไหว ก็ให้มีสถานที่เอาไว้ให้ท่านเจ้าคุณสานต่อเอา
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของตัวเราให้ชัดเจนนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจมายาวให้เป็นธรรมชาติ อย่าไปบังคับลมหายใจ กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราจะนึกคิดปรุงแต่งไปที่ไหนเขาก็จะหยุด
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละ เขาเรียกว่า สติรู้กาย รู้ลมหายใจ ลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของกาย รู้หายใจวิ่งเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจวิ่งออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี เราก็จะรู้กายของเรา อันนี้เป็นส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมาเขาเรียกว่า ปัญญาตัวใหม่หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ส่วนการเกิดการดับของวิญญาณในกายของเรานั้นเขามีอยู่แล้ว ความคิดกับวิญญาณก็ปรุงแต่งกัน เขารวมกัน เขามีอยู่แล้วซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
วิญญาณในกายของเรา ถ้าเรามีสติรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไปเห็นการเกิดของวิญญาณว่าเขาก่อตัวอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร บางทีเขามีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ตัววิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร นี่แหละ ‘ความหลง’ ตรงนี้แหละ เราต้องเจริญสติเข้าไปคลายให้ได้ ถ้าคลายไม่ได้ ใจ วิญญาณก็ยังหลงอยู่ เพียงแค่การเกิดเขาก็หลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ถ้าแยกได้คลายได้ ความรู้ตัวของเราก็จะตามเห็นความเกิดความดับที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจหรือว่าปรุงแต่งวิญญาณของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามดู รู้ ให้จนกระทั่งต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เมื่อเรามองเห็นตรงนี้ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร เราก็ค่อยละ
ทีนี้ก็มาละกิเลสที่ใจของเรา มาดับความเกิดที่ใจของเรา ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนเป็นอัตโนมัติจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ไม่ใช่ว่ารู้นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยปละละเลย จนสามารถเอาสติปัญญาไปหน้าที่แทนใจได้ ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปหน้าที่แทนได้ แต่เวลานี้กําลังสติจะสร้างให้ต่อเนื่องกันสัก 3 นาที 5 นาทีก็ยังยากลำบาก จะไปใช้การใช้งานได้อย่างไร กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่รู้ กลัวจะไม่เห็น กลัวจะเสียเปรียบกิเลส สมมติสารพัดอย่าง กลัวตายทุกอย่าง
เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังแก้ไขไม่ตกกัน มันก็ยิ่งยาก เรื่องวิมุตติ เรื่องใจที่จะปล่อยวางให้มันได้หมด ทำได้เท่าไรก็เอา ทำได้เท่าไรก็ดี ดีหมด อย่าว่าไม่ทำ จัดระบบระเบียบของความคิด ของอารมณ์ ของกาย ของวาจา ของใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี มีความเพียรละกิเลสออกหมด จนมองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าญาติโยม ผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าพระว่าชีมีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด
พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย เรารู้จักวิธีแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่ว่าธรรมะจะอยู่ที่โน้นธรรมะจะอยู่ที่นี่ เรามาขัดเกลากิเลสออกจากใจเรา ใจของเราก็จะเข้าถึงองค์ธรรมได้เร็วได้ไว ดับความเกิดของใจของเรา คลายความหลงของใจของเรานั่นแหละ ท่านถึงบอกทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สตินี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยสอนใจเราอบรมใจของเรา ถ้าสอนเราไม่ได้จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ เสียดายเวลา
เราต้องหมั่นพร่ำสอน สอนใจเราอยู่ตลอดเวลา ได้บ้างไม่ได้บ้าง กิเลสตัว เหตุจากภายนอกจากภายใน ชื่อมัน อาการของมัน เรียกอย่างโน้นเรียกอย่างนี้ ภาษาสมมติเป็นอย่างนั้นภาษาสมมติเป็นอย่างนี้ ถ้าเราแยกได้คลายได้ตามดูได้ เราจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัย มีตั้งแต่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ