หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 22
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 22
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 22
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 (2/2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ในหลักการทำความเข้าใจในการเจริญสติ เราต้องพยายามเอาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การสร้างความรู้ตัว คําว่าปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้า หายใจออก
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้า หายใจออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสนใจ ว่าลักษณะของคําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความต่อเนื่อง ความสืบต่อกันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ท่านถึงเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กายของเราให้ต่อเนื่อง ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชิน ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ หรือว่าวิญญาณในกายของเรา รู้เท่าทันการเกิดของความคิดของอารมณ์ต่างๆ ว่าเขาเกิดอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร เขาหลงจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร จนเกิดอัตตาตัวตนได้อย่างไร
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย กําลังศรัทธานั้นมีอยู่ การฝักใฝ่ การสนใจมีอยู่ การทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ในขันธ์ห้าหรือว่ากองทั้งห้ากองนี้เป็นลักษณะอย่างไร กองวิญญาณนั้นอยู่ส่วนท้าย กองรูป กองวิญญาณ กองความคิด กองอารมณ์ แล้ววิญญาณมันไปหลงไปรวมจนยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร
เราต้องพยายามเจริญสติเข้ารู้เท่าทัน รู้เท่า รู้ทัน ทำความเข้าใจ แล้วก็รู้กัน รู้แก้ รู้ละ อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ เราจะไปแสวงหาธรรมแสวงหานอกกายเราไม่เจอหรอก เราต้องแสวงหาอยู่ที่ใจของเรา ใจที่ไม่เกิด แต่เวลานี้กําลังสติมันมีน้อย เราต้องพยายามมาสร้างทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จนเอาไปใช้ ถ้าเรารู้จักตั้งแต่การเจริญ การสร้าง ไม่รู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจ มันก็ได้แค่การเจริญ การสร้าง เราต้องให้รู้เท่าทันๆ รู้ลักษณะแล้วก็ตามทำความเข้าใจ ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ แล้วก็ปัญญาฝ่ายละ เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ไปที่โน่นที่นี่ก็ไปแสวงหาแนวทาง หาประสบการณ์เท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายาม ตื่น
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สํารวจดูสติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร การควบคุมใจของเราควบคุมได้ระดับไหน ตั้งแต่เกิด หรือว่าก่อตัว หรือว่าส่งไปภายนอก ความคิดที่เราไม่ตั้งใจ หรือเรียกว่าอาการของขันธ์ห้านั่นแหละ เขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร พยายามเจาะให้ถึงตรงนี้ ให้เห็นตรงนี้ ทีนี้การทำความเข้าใจแล้วเราจะละได้ หรือละไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่ตัวใจก็ยังหลอกตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราก็หารู้ไม่ว่าตัวใจนั้นยังหลอกตัวเองอยู่ สติปัญญาก็ยังหลอกตัวเองอยู่ ถ้าเรามาศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ ต้องอาศัยความเพียรอันเป็นเลิศเลยทีเดียว ก็ต้องพยายามกัน
มันไม่เหลือวิสัยหรอก เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ทำไมไม่ถึงเวลานั้น เพราะวิบากกรรมมันยังไม่คลาย เราก็ต้องพยายามศึกษาเรื่องกรรม กรรมในกายของเรา ขันธ์ห้านี่แหละตัวกรรม การแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ ตัวขันธ์ห้าเขาปรุงแต่งใจไม่ได้ มันก็อยู่เหนือกรรม เรามาดับความเกิดของวิญญาณ ดับความเกิดของใจ ไม่ให้ใจเกิดแล้วไปยึด ไปต่อ มันก็อยู่เหนือกรรม ละอกุศล เจริญกุศลแต่ไม่หลงไม่ยึด วางหมดทุกอย่างบริหารด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ การพูดง่าย การลงมือทำจริงๆ ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง พูดนาทีเดียวมันจบหมด แต่การชําระสะสางกิเลส การศึกษา การทำความเข้าใจ มันต้องตลอดเวลา จนไม่มีอะไรเหลือ จนเหลือแต่สมมติ
แต่ก่อนไม่มี ใจมาหลงให้เกิด มาสร้างภพสร้างชาติให้มี เรามาเจริญสติมาคลายใจของเราออกไม่ให้กลับ ไม่ให้มี กลับให้สู่สภาพเดิม แล้วก็ดูแลด้วยสติ ดูแลด้วยปัญญา ทำความเข้าใจ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา จนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย สร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี ให้มี ให้เกิด เกิดขึ้นแก่เรา เกิดขึ้นกับตนเอง เกิดขึ้นกับคนอื่น ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์สูงสุดคือการไม่กลับมาเกิดกัน มันต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างวางเอาไว้ สร้างความรู้สึกตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 (2/2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ในหลักการทำความเข้าใจในการเจริญสติ เราต้องพยายามเอาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การสร้างความรู้ตัว คําว่าปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้า หายใจออก
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้า หายใจออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสนใจ ว่าลักษณะของคําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความต่อเนื่อง ความสืบต่อกันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ท่านถึงเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กายของเราให้ต่อเนื่อง ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชิน ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ หรือว่าวิญญาณในกายของเรา รู้เท่าทันการเกิดของความคิดของอารมณ์ต่างๆ ว่าเขาเกิดอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร เขาหลงจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร จนเกิดอัตตาตัวตนได้อย่างไร
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย กําลังศรัทธานั้นมีอยู่ การฝักใฝ่ การสนใจมีอยู่ การทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การทำความเข้าใจให้ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ในขันธ์ห้าหรือว่ากองทั้งห้ากองนี้เป็นลักษณะอย่างไร กองวิญญาณนั้นอยู่ส่วนท้าย กองรูป กองวิญญาณ กองความคิด กองอารมณ์ แล้ววิญญาณมันไปหลงไปรวมจนยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร
เราต้องพยายามเจริญสติเข้ารู้เท่าทัน รู้เท่า รู้ทัน ทำความเข้าใจ แล้วก็รู้กัน รู้แก้ รู้ละ อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ เราจะไปแสวงหาธรรมแสวงหานอกกายเราไม่เจอหรอก เราต้องแสวงหาอยู่ที่ใจของเรา ใจที่ไม่เกิด แต่เวลานี้กําลังสติมันมีน้อย เราต้องพยายามมาสร้างทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จนเอาไปใช้ ถ้าเรารู้จักตั้งแต่การเจริญ การสร้าง ไม่รู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจ มันก็ได้แค่การเจริญ การสร้าง เราต้องให้รู้เท่าทันๆ รู้ลักษณะแล้วก็ตามทำความเข้าใจ ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ แล้วก็ปัญญาฝ่ายละ เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ไปที่โน่นที่นี่ก็ไปแสวงหาแนวทาง หาประสบการณ์เท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายาม ตื่น
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สํารวจดูสติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร การควบคุมใจของเราควบคุมได้ระดับไหน ตั้งแต่เกิด หรือว่าก่อตัว หรือว่าส่งไปภายนอก ความคิดที่เราไม่ตั้งใจ หรือเรียกว่าอาการของขันธ์ห้านั่นแหละ เขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร พยายามเจาะให้ถึงตรงนี้ ให้เห็นตรงนี้ ทีนี้การทำความเข้าใจแล้วเราจะละได้ หรือละไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่ตัวใจก็ยังหลอกตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราก็หารู้ไม่ว่าตัวใจนั้นยังหลอกตัวเองอยู่ สติปัญญาก็ยังหลอกตัวเองอยู่ ถ้าเรามาศึกษาค้นคว้าให้ละเอียด ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ ต้องอาศัยความเพียรอันเป็นเลิศเลยทีเดียว ก็ต้องพยายามกัน
มันไม่เหลือวิสัยหรอก เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ทำไมไม่ถึงเวลานั้น เพราะวิบากกรรมมันยังไม่คลาย เราก็ต้องพยายามศึกษาเรื่องกรรม กรรมในกายของเรา ขันธ์ห้านี่แหละตัวกรรม การแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ ตัวขันธ์ห้าเขาปรุงแต่งใจไม่ได้ มันก็อยู่เหนือกรรม เรามาดับความเกิดของวิญญาณ ดับความเกิดของใจ ไม่ให้ใจเกิดแล้วไปยึด ไปต่อ มันก็อยู่เหนือกรรม ละอกุศล เจริญกุศลแต่ไม่หลงไม่ยึด วางหมดทุกอย่างบริหารด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ การพูดง่าย การลงมือทำจริงๆ ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง พูดนาทีเดียวมันจบหมด แต่การชําระสะสางกิเลส การศึกษา การทำความเข้าใจ มันต้องตลอดเวลา จนไม่มีอะไรเหลือ จนเหลือแต่สมมติ
แต่ก่อนไม่มี ใจมาหลงให้เกิด มาสร้างภพสร้างชาติให้มี เรามาเจริญสติมาคลายใจของเราออกไม่ให้กลับ ไม่ให้มี กลับให้สู่สภาพเดิม แล้วก็ดูแลด้วยสติ ดูแลด้วยปัญญา ทำความเข้าใจ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา จนกว่าจะหมดลมหายใจ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย สร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมี ให้มี ให้เกิด เกิดขึ้นแก่เรา เกิดขึ้นกับตนเอง เกิดขึ้นกับคนอื่น ยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์สูงสุดคือการไม่กลับมาเกิดกัน มันต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างวางเอาไว้ สร้างความรู้สึกตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ