หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 21
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 21
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 21
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 (1/2)
พากันดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็เวลานี้ ว่ากายของเราปกติ ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจของเราปรุงแต่ง พยายามวิเคราะห์พิจารณา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวต่อเนื่องหรือไม่ ใจของเราปกติสงบจากการเกิด ใจของเราเกิดกิเลส หรือว่าใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุด จักดับ รู้จักวิเคราะห์พิจารณา จากวิธีการแนวทางการเจริญสติ ใช้อบรมใจของตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
การเกิดของใจ ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง เขาหลงเกิดมานานแล้ว เกิดมาสร้างกายเนื้อ แล้วเขาก็ยังเกิดต่อ เกิดเป็นทาสของกิเลสอีก ทาสของอารมณ์อีก หลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา กายของเรานี่แหละสนามรบอย่างดี ตื่นขึ้นมาเราพลั้งเผลอให้กิเลสสักกี่เที่ยว ใจส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เขาก่อตัวอย่างไร เราต้องวิเคราะห์ เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล ให้เห็นตามความเป็นจริง หมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ ดําเนินเดินทางละกิเลสให้มันหมดจดขณะยังมีลมหายใจอยู่ ยังมีกําลังอยู่
ไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เพราะทุกคนก็มีรูป มีนาม มีวิญญาณ เหมือนกันหมด แต่อานิสงส์บุญบารมีจะสร้างมาต่างกัน แล้วก็มาสร้างสานต่อขณะยังมีกําลังอยู่นี่แหละ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย ไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจ ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาของสมมติ ปัญญาของโลกีย์ ที่ปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ ทุกเรื่องเลยนะ ทุกเรื่อง ต้องดูต้องวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา เป็นหน้าที่ของตัวเราเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น
อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็ได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะว่าเคยสร้างอานิสงส์มาร่วมกัน ถึงได้มาอยู่รวมกัน มาอยู่ร่วมกัน ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี ต้องเต็มเปี่ยม ขัดเกลากิเลสตัวเรา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความตระหนี่เหนียวแน่น ขัดเกลาเอาออกให้หมดจด เอาจนเอาออกจนไม่เหลือ ในความไม่เหลือนั่นก็คือความบริสุทธิ์ของใจ การแสวงหาธรรม การทําความเข้าใจ เราต้องทําความเข้าใจให้กระจ่าง
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต เรื่องกายของเรานี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร พิจารณาลงไป แก้ไขลงไป วิธีการแนวทางอย่างไรถึงจะเข้าถึง แต่จะไปแสวงหาธรรม แสวงหาที่โน่นที่นี้ไม่เจอ เราก็ต้องแสวงเน้นลงอยู่ที่กายของเราจากการเจริญสติ คําว่าความสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร รู้จักแนวทางแล้วก็ไปทํา ทําให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของตัวเรา กายทวารทั้งหกทําหน้าที่อย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม คําว่าอัตตา อนัตตา ของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ส่งไปภายนอก ใจที่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่เกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร
เพียงแค่ความเกิดของใจนั้นเขาก็หลง ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรสร้างตบะบารมีขัดเกลากิเลสของตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทําความเข้าใจ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าเอาปัญญาโลกๆ มาโต้แย้งคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้ ก็จะปรากฏอย่างนี้ เมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ท่านถึงบอกให้เชื่อ ท่านไม่ให้เชื่อแบบงมงาย ศรัทธาเราก็ต้องเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่มีความทะเยอทะยานอยาก อยากรู้ธรรม อยากได้ธรรม อยากเห็นบุญ อยากได้บุญ มันปิดกั้นเอาไว้หมด
ในหลักธรรมทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ก็ไม่ให้ใจของเราเกิดทั้งนั้น คนทั่วไปทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย มันก็เลยห่างไกล คําว่าปฏิบัติธรรม อะไรคือธรรม อะไรคือปฏิบัติ ไปกันทั้งก้อน ก้อนกาย ก้อนขันธ์ห้านี่ไปกันหมด บุญก็เป็นบุญ สุขก็เป็นสุข ทุกข์ก็เป็นทุกข์ไปเลย แยกไม่ออก แยกไม่ได้ ว่าอะไรคือวิญญาณในกายของตัวเรา อะไรคือปัญญาที่ไปอบรมวิญญาณหรือว่าอบรมใจ แต่เขาก็รวมกันอยู่นั้นแหละ ก็สมมติกับวิมุตติก็รวมกันอยู่ แต่เราต้องรู้ด้วยปัญญา แจงด้วยปัญญา ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทําไมว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีอยู่ห้าขันธ์ อาการสามสิบสอง แต่เรารู้อยู่ตั้งแต่ชื่อ แต่ไม่เห็น วิธีการแนวทางมีมานาน
เราก็ต้องพยายาม ล้มลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ เพียงแค่ระดับสมมติก็ทําให้ดี ทําให้ถูกต้อง จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดหมายปลายทางก็เพื่อละกิเลส ละกิเลสยังไม่พอ แล้วก็ต้องคลายความหลง ความหลงนี่เป็นตัวละเอียด หลงในขันธ์ห้าของตัวเอง ถ้าไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่จิตวิญญาณเกิดนั้นเขาหลง เขาหลงเขาถึงเกิด แยกรูปแยกนามได้ ถึงจะมองเห็นความจริง สัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องได้ ถ้าเราวิเคราะห์ สังเกต สํารวจทําความเข้าใจ สักวันหนึ่งเราคงจะเห็น ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ต้องอาศัยกาลเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการพัฒนาที่ถูกต้องก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า
เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ปลูกผลหมากรากไม้ ถึงเวลาก็ต้องออกดอกออกผล ถ้าเราดูแลรักษาเขา ทําความเข้าใจให้ถูกหมดทุกอย่าง ต้นไม้ต้นเดียว มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เราจะไปเอาส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ เขาอาศัยกันอยู่ เขาถึงเป็นต้นไม้ยืนต้น ถ้าเปลือกไม่มีมันก็ตาย กระพี้ไม่มีมันก็ตาย
ธรรมก็เหมือนกัน ก็มีทั้งกายเนื้อ แต่กิเลสนี้มีมาทีหลัง กายเนื้อนี้ก็เป็นก้อนกิเลส ก้อนกรรม ก็สมมติเคารพสมมติ ทําความเข้าใจกับสมมติ ไม่ได้ทิ้งสมมติ แต่คนทั่วไปนั้นมีตั้งแต่หาเรื่องมาปกปิดตัวเอง แม้แต่ใจยังปกปิดตัวของมันเอง ถ้ากําลังสติไม่เพียงพอ ชี้เหตุชี้ผลไม่เพียงพอ เขาก็ไม่ค่อยจะยอมรับความเป็นจริง เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ถ้าจับได้ ไล่ทัน ชี้เหตุชี้ผล ตามดูได้เมื่อไร เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริง
ก็หลอกตัวเองไปอย่างนั้นแหละ หลอกตัวเองไปวันๆ ใจมันเกิดสักกี่เที่ยว แต่ละนาที 5 นาที 10 นาที แต่ละวันจนกลายเป็นเดือนเป็นปี จนกลายเป็นภพ เป็นกัปเป็นกัลป์ มันเกิดมา แต่พระพุทธองค์ท่านให้รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ชี้เหตุชี้ผล คลายออก ให้รับรู้ทุกอย่างถึงจะได้ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามเอานะ พยายามเอา อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ แต่เราต้องรู้ไตรลักษณ์ในขันธ์ห้าของเราให้ละเอียด ชําระสะสางกิเลสในกายของเราให้หมดจด เป็นหน้าที่ของตัวเรา ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น บุญในระดับสมมติ เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน แต่บุญการขัดเกลากิเลสก็เป็นหน้าที่ของเรา กิเลสมันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ว่าเวลาโน้นมันถึงจะเกิด เวลานี้มันถึงจะเกิด มันเกิดอยู่ตลอด เพียงแค่ความเกิดของจิตวิญญาณแล้ว
พระเราก็เยอะ ชีเราก็เยอะ ฆราวาสญาติโยมก็เยอะ อะไรเราก็ช่วยกัน อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่หลายคนก็ทุกข์ พระพุทธองค์ท่านให้จัดการที่เหตุ เหตุทั้งข้างในทั้งข้างนอก ทําให้ดี จนทําใจของเราให้เข้าถึงองค์พระ ทําใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ นั่นแหละคือพุทธะผู้รู้ ธาตุรู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องมาสร้างผู้รู้
มาสร้างสติเข้าไปอบรมใจ จนใจกลายเป็นผู้รู้ ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 (1/2)
พากันดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็เวลานี้ ว่ากายของเราปกติ ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าใจของเราปรุงแต่ง พยายามวิเคราะห์พิจารณา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวต่อเนื่องหรือไม่ ใจของเราปกติสงบจากการเกิด ใจของเราเกิดกิเลส หรือว่าใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุด จักดับ รู้จักวิเคราะห์พิจารณา จากวิธีการแนวทางการเจริญสติ ใช้อบรมใจของตัวเราตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
การเกิดของใจ ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง เขาหลงเกิดมานานแล้ว เกิดมาสร้างกายเนื้อ แล้วเขาก็ยังเกิดต่อ เกิดเป็นทาสของกิเลสอีก ทาสของอารมณ์อีก หลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา กายของเรานี่แหละสนามรบอย่างดี ตื่นขึ้นมาเราพลั้งเผลอให้กิเลสสักกี่เที่ยว ใจส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เขาก่อตัวอย่างไร เราต้องวิเคราะห์ เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล ให้เห็นตามความเป็นจริง หมดความสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ ดําเนินเดินทางละกิเลสให้มันหมดจดขณะยังมีลมหายใจอยู่ ยังมีกําลังอยู่
ไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา เพราะทุกคนก็มีรูป มีนาม มีวิญญาณ เหมือนกันหมด แต่อานิสงส์บุญบารมีจะสร้างมาต่างกัน แล้วก็มาสร้างสานต่อขณะยังมีกําลังอยู่นี่แหละ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย ไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจ ก็เลยมีตั้งแต่ปัญญาของสมมติ ปัญญาของโลกีย์ ที่ปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ ทุกเรื่องเลยนะ ทุกเรื่อง ต้องดูต้องวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา เป็นหน้าที่ของตัวเราเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น
อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน อยู่คนละทิศละที่ละทาง ก็ได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะว่าเคยสร้างอานิสงส์มาร่วมกัน ถึงได้มาอยู่รวมกัน มาอยู่ร่วมกัน ความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี ต้องเต็มเปี่ยม ขัดเกลากิเลสตัวเรา ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความตระหนี่เหนียวแน่น ขัดเกลาเอาออกให้หมดจด เอาจนเอาออกจนไม่เหลือ ในความไม่เหลือนั่นก็คือความบริสุทธิ์ของใจ การแสวงหาธรรม การทําความเข้าใจ เราต้องทําความเข้าใจให้กระจ่าง
แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต เรื่องกายของเรานี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร พิจารณาลงไป แก้ไขลงไป วิธีการแนวทางอย่างไรถึงจะเข้าถึง แต่จะไปแสวงหาธรรม แสวงหาที่โน่นที่นี้ไม่เจอ เราก็ต้องแสวงเน้นลงอยู่ที่กายของเราจากการเจริญสติ คําว่าความสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร รู้จักแนวทางแล้วก็ไปทํา ทําให้มีให้เกิดขึ้นที่กายที่ใจของตัวเรา กายทวารทั้งหกทําหน้าที่อย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม คําว่าอัตตา อนัตตา ของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร ใจที่ส่งไปภายนอก ใจที่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจที่เกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร
เพียงแค่ความเกิดของใจนั้นเขาก็หลง ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรสร้างตบะบารมีขัดเกลากิเลสของตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทําความเข้าใจ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าเอาปัญญาโลกๆ มาโต้แย้งคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้ ก็จะปรากฏอย่างนี้ เมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ท่านถึงบอกให้เชื่อ ท่านไม่ให้เชื่อแบบงมงาย ศรัทธาเราก็ต้องเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่มีความทะเยอทะยานอยาก อยากรู้ธรรม อยากได้ธรรม อยากเห็นบุญ อยากได้บุญ มันปิดกั้นเอาไว้หมด
ในหลักธรรมทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ก็ไม่ให้ใจของเราเกิดทั้งนั้น คนทั่วไปทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย มันก็เลยห่างไกล คําว่าปฏิบัติธรรม อะไรคือธรรม อะไรคือปฏิบัติ ไปกันทั้งก้อน ก้อนกาย ก้อนขันธ์ห้านี่ไปกันหมด บุญก็เป็นบุญ สุขก็เป็นสุข ทุกข์ก็เป็นทุกข์ไปเลย แยกไม่ออก แยกไม่ได้ ว่าอะไรคือวิญญาณในกายของตัวเรา อะไรคือปัญญาที่ไปอบรมวิญญาณหรือว่าอบรมใจ แต่เขาก็รวมกันอยู่นั้นแหละ ก็สมมติกับวิมุตติก็รวมกันอยู่ แต่เราต้องรู้ด้วยปัญญา แจงด้วยปัญญา ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทําไมว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีอยู่ห้าขันธ์ อาการสามสิบสอง แต่เรารู้อยู่ตั้งแต่ชื่อ แต่ไม่เห็น วิธีการแนวทางมีมานาน
เราก็ต้องพยายาม ล้มลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ เพียงแค่ระดับสมมติก็ทําให้ดี ทําให้ถูกต้อง จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดหมายปลายทางก็เพื่อละกิเลส ละกิเลสยังไม่พอ แล้วก็ต้องคลายความหลง ความหลงนี่เป็นตัวละเอียด หลงในขันธ์ห้าของตัวเอง ถ้าไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่จิตวิญญาณเกิดนั้นเขาหลง เขาหลงเขาถึงเกิด แยกรูปแยกนามได้ ถึงจะมองเห็นความจริง สัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องได้ ถ้าเราวิเคราะห์ สังเกต สํารวจทําความเข้าใจ สักวันหนึ่งเราคงจะเห็น ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ต้องอาศัยกาลเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการพัฒนาที่ถูกต้องก็จะส่งผลถึงวันข้างหน้า
เราจะไปเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ปลูกผลหมากรากไม้ ถึงเวลาก็ต้องออกดอกออกผล ถ้าเราดูแลรักษาเขา ทําความเข้าใจให้ถูกหมดทุกอย่าง ต้นไม้ต้นเดียว มีทั้งเปลือก มีทั้งแก่น มีทั้งกระพี้ เราจะไปเอาส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ เขาอาศัยกันอยู่ เขาถึงเป็นต้นไม้ยืนต้น ถ้าเปลือกไม่มีมันก็ตาย กระพี้ไม่มีมันก็ตาย
ธรรมก็เหมือนกัน ก็มีทั้งกายเนื้อ แต่กิเลสนี้มีมาทีหลัง กายเนื้อนี้ก็เป็นก้อนกิเลส ก้อนกรรม ก็สมมติเคารพสมมติ ทําความเข้าใจกับสมมติ ไม่ได้ทิ้งสมมติ แต่คนทั่วไปนั้นมีตั้งแต่หาเรื่องมาปกปิดตัวเอง แม้แต่ใจยังปกปิดตัวของมันเอง ถ้ากําลังสติไม่เพียงพอ ชี้เหตุชี้ผลไม่เพียงพอ เขาก็ไม่ค่อยจะยอมรับความเป็นจริง เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ถ้าจับได้ ไล่ทัน ชี้เหตุชี้ผล ตามดูได้เมื่อไร เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริง
ก็หลอกตัวเองไปอย่างนั้นแหละ หลอกตัวเองไปวันๆ ใจมันเกิดสักกี่เที่ยว แต่ละนาที 5 นาที 10 นาที แต่ละวันจนกลายเป็นเดือนเป็นปี จนกลายเป็นภพ เป็นกัปเป็นกัลป์ มันเกิดมา แต่พระพุทธองค์ท่านให้รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ชี้เหตุชี้ผล คลายออก ให้รับรู้ทุกอย่างถึงจะได้ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามเอานะ พยายามเอา อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ แต่เราต้องรู้ไตรลักษณ์ในขันธ์ห้าของเราให้ละเอียด ชําระสะสางกิเลสในกายของเราให้หมดจด เป็นหน้าที่ของตัวเรา ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น บุญในระดับสมมติ เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกัน แต่บุญการขัดเกลากิเลสก็เป็นหน้าที่ของเรา กิเลสมันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ว่าเวลาโน้นมันถึงจะเกิด เวลานี้มันถึงจะเกิด มันเกิดอยู่ตลอด เพียงแค่ความเกิดของจิตวิญญาณแล้ว
พระเราก็เยอะ ชีเราก็เยอะ ฆราวาสญาติโยมก็เยอะ อะไรเราก็ช่วยกัน อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่หลายคนก็ทุกข์ พระพุทธองค์ท่านให้จัดการที่เหตุ เหตุทั้งข้างในทั้งข้างนอก ทําให้ดี จนทําใจของเราให้เข้าถึงองค์พระ ทําใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ นั่นแหละคือพุทธะผู้รู้ ธาตุรู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องมาสร้างผู้รู้
มาสร้างสติเข้าไปอบรมใจ จนใจกลายเป็นผู้รู้ ตั้งใจรับพรกัน