หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 1
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 1
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 1
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มกราคม 2558 (1/2)
มีความสุขกันทุกคน ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศก็เย็น ปีนี้เย็นหลายวัน ปีใหม่ญาติโยมก็มากันเยอะๆ ขึ้นทุกวัน เยอะขึ้นทุกปี ปีนี้ก็เยอะมาสวดมนต์ข้ามปีกันเห็นแล้วก็มีความสุข เห็นพี่น้องของเราฝักใฝ่ในบุญในกุศลกัน เช้าขึ้นมาก็อยากมาทำบุญไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย คนไทยใจบุญแต่ขาดอยู่สิ่งเดียวคือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงความคิดหลงอารมณ์ ใจเป็นตัวสั่งงาน ขันธ์ห้าเป็นตัวสั่งงาน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ ทั้งที่ใจเป็นบุญ
การเกิด ตั้งแต่เช้ามาใจเกิดสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้งเคยวิเคราะห์กันหรือไม่ หรือปล่อยเลยตามเลย ใจสั่งมาวัดสั่งมาทำบุญ ความเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าเราดับความเกิดมาเจริญสติไปเกิดแทนชี้เหตุชี้ผลได้ เราก็จะเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ การแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญาเข้าใจในหลักของชีวิตว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิตของเราเรื่องขันธ์ห้าของเราว่า ขันธ์ห้าของเรามีกี่กองกี่ขันธ์ แจง ท่านแจงให้เห็นท่านแจงให้รู้ แต่พวกเรานี้ไปทั้งก้อน ทำก็ทำทั้งก้อน เอาก็เอาทั้งก้อน ทุกข์ก็เป็นทุกข์ทั้งใจทั้งกายแยกไม่ได้ ทำความเข้าใจไม่ได้ ก็ได้อยู่ระดับของสมมติคือการทำบุญให้ทาน มีความสุขอยู่ระดับของสมมติ แต่ตัววิญญาณในกายของเราหรือว่าในใจของเราแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ตรงนี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร
แต่การทำบุญให้ทานนี้มีกันอยู่มาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีศรัทธามีความเชื่อ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปแล้วก็ทำบุญกันเป็นบางโอกาสบางครั้งบางคราว แต่การสังเกตใจนี่ต้องต่อเนื่อง ต้องต่อเนื่องจริงๆ ถึงจะเป็นมหาสติถึงจะเป็นมหาปัญญา คลายความหลงได้หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ถ้าสังเกตทันเมื่อไรถ้าแยกได้เมื่อไรก็จะเห็นวิญญาณในกายของตัวเราว่าวิญญาณที่ปกติเป็นอย่างไร บางคนบางท่านก็เรียกวิญญาณ บางคนบางท่านก็เรียกใจ
ใจในกายของเรานี้เกิดความอยากเกิดกิเลสหรือว่าส่งไปภายนอก เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน พระพุทธองค์ชี้ลงที่เหตุต้องเห็นเหตุเห็นอาการ แจงให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะทำเล่นๆ เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้รอบรู้อะไร รอบรู้ในกองสังขารในกายของเราว่ามีอะไรบ้างต้องชัดเจนกันทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เวลาขบเวลาฉัน เวลารับประทานข้าวปลาอาหารก็เหมือนกัน ท่านให้พิจารณาใจเกิดความอยากหรือใจเกิดความหิว
เพียงแค่เรื่องของความอยากพวกเราก็ยังละไม่ได้ดับไม่ได้ ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว ท่านก็ให้ละความอยากดับความอยากเป็นความต้องการของสติปัญญาทำหน้าที่แทน ถ้าคลายไม่ได้แยกไม่ได้เราก็ไม่รู้ความจริงของชีวิต ถ้าแยกได้คลายได้ ตามดูชี้เหตุชี้ผลได้ จนใจมองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละเราก็จะเข้าถึงธรรม
ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม มันไม่มีอะไรหรอก แต่เราไม่อบรมไม่บ่ม ไม่ขัดไม่เกลา เขาก็บงการอยู่อย่างงั้น อาจจะถูก ถูกอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเองแต่ยังไม่ถูกในหลักธรรม หลักธรรมนี้ต้องแยกต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือใจ อันนี้คืออาการของใจ ทำความเข้าใจแล้วเราจะละได้หรือไม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องในชีวิต มองเห็นหนทางเดิน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนใจของเราต้องสงบปราศจากกิเลสปราศจากการเกิด อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดใจก็ต้องสงบ เตรียมพร้อมที่จะอยู่เตรียมพร้อมที่จะไป ท่านถึงบอกว่าผู้รู้ธาตุรู้ ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่าง มันก็เลยขัดเกลายากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย
เพียงแค่ขอให้มีความเพียรสร้างตบะสร้างบารมีค่อยเก็บสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็มีบุญแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ มีบุญมากทีเดียว พระพุทธเจ้า ทางพระพุทธองค์ท่านก็สอนมนุษย์นี่แหละ ท่านไม่ได้สอนอะไรหรอก ยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่รับวิบากกรรม
วันพรุ่งนี้ก็ได้มีผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคแม่ลูกอีก16 คู่ มายืดชีวิตให้ต่อชีวิตให้ เป็นกฎของธรรมชาติของเขาไม่ให้ถูกฆ่าถูกฆาตกรรม คนเราก็เหมือนกันไม่อยากจะให้มีใครฆ่าแต่ก็ต้องเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ถ้าเราอยากจะเข้าใจตรงนี้จริงๆ เราต้องศึกษาแยกรูปแยกนามเข้าสู่วิปัสสนา ทำความเข้าใจเราก็จะเข้าใจในกรรมในกายของเรา กายของเรานี่แหละก้อนกรรม จึงมีส่วนรูปส่วนนาม ความคิดอารมณ์นั้นก็เป็นตัวมาปรุงแต่งใจให้หมุนไปตามวิบากของกรรม
ใจก็เกิดความหลงของใจ ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องของกรรมในกายของเรา ทำความเข้าใจได้ละได้ก็อยู่เหนือกรรม ปัจจุบันเราก็ดำเนินด้วยปัญญาไม่ให้ใจของเราไปเกิดไปยึด ก็เป็นเพียงแค่กิริยาของสติปัญญาทำหน้าที่แทน แต่คนแยกแยะไม่ได้ก็ไปทั้งก้อนเหมือนกับมีสายยงสายใยผูกมัดเอาไว้ตั้งแต่อดีต แล้วก็เกิดมาในภพมนุษย์ก็มีขันธ์ห้ามาผูกมัดอีก ตัวใจก็ไปยึดอีกหลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากบุคคลที่มีตบะบารมี มีความเพียรจริงๆ มีความเพียรเป็นเลิศถึงจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าคนเราถ้าจะเอาจริงๆ ก็ไม่เหลือวิสัย ขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวก็เบาบางไป แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี
ในหลักธรรมแล้วท่านไม่ให้เกิดเลย ไม่ให้วิญญาณไม่ให้ใจเกิดเลยแหละ ดับความเกิดเลยแหละ สร้างบารมีด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คือการเกิดการปรุงแต่งของใจ
การพูดง่ายแต่การลงมือการศึกษาการทำความเข้าใจจริงๆ นี้ต้องใช้ความเพียร ใช้เวลามากมายกว่าจะพลิกใจออกจากความคิดได้แยกรูปแยกนามได้ พอจะหมั่นพร่ำสอนใจได้ ชี้เหตุชี้ผลให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ละกิเลสได้หมดจด ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรแล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องศรัทธารู้ด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา ทำความเข้าใจด้วยปัญญา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ไม่ใช่ว่าจะไปทำแบบสุรุ่ยสุร่ายเอาเล่นๆ ง่ายๆ
ความจริงสัจธรรมมีอยู่ คนเรานี่ไม่ค่อยจะพร่ำสอนตัวใจของตัวเอง มีแต่ปล่อยปละละเลย การทำบุญให้ทานให้มีอยู่แสวงหาอยู่ แต่การเฝ้าสังเกตเฝ้าระวังหมั่นพร่ำใจแล้วก็ละกิเลสที่ใจให้ได้ทุกเวลาต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรจริงๆ ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีนี้ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้
ทุกคนนั้นเกิดมาก็มีบุญ บุญเก่าก็มีบุญใหม่ก็มี อย่าไป อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราต้องแก้ไขตัวเราให้หมดจด แต่ละวันๆ นี้เราได้ วันหนึ่งมีกี่นาที มีกี่ชั่วโมง กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ที่จะไปประหัตประหารกิเลส ไปควบคุมกายควบคุมวาจาควบคุมใจ สติก็ไม่ได้เจริญจะเอาตั้งแต่ทำก็ไม่ได้ การละกิเลสไม่มีจะเอาตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจมันก็ไม่ได้ ถ้าละกิเลส มีกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
แนวทางนั้นมีมาตั้งนานพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีก็ยังเป็นความจริงอยู่ สัจธรรมความจริงก็ยังมีอยู่ ท่านถึงว่า ‘สัจจะ’ ความจริงอันประเสริฐซึ่งอยู่ในกายของทุกคนมีอยู่ แต่พวกเรามาปกปิดเอาไว้ด้วยอำนาจของความหลง ความหลงยังไม่พอกิเลสมาห่อหุ้มอีก กิเลสภายในอีกสร้างจากภายนอกมาห่อหุ้มอีก ท่านถึงบอกมีให้เป็น ทำให้เป็น แยกแยะให้ได้ ใช้ตัวเองให้ถูก จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มกราคม 2558 (1/2)
มีความสุขกันทุกคน ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศก็เย็น ปีนี้เย็นหลายวัน ปีใหม่ญาติโยมก็มากันเยอะๆ ขึ้นทุกวัน เยอะขึ้นทุกปี ปีนี้ก็เยอะมาสวดมนต์ข้ามปีกันเห็นแล้วก็มีความสุข เห็นพี่น้องของเราฝักใฝ่ในบุญในกุศลกัน เช้าขึ้นมาก็อยากมาทำบุญไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย คนไทยใจบุญแต่ขาดอยู่สิ่งเดียวคือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงความคิดหลงอารมณ์ ใจเป็นตัวสั่งงาน ขันธ์ห้าเป็นตัวสั่งงาน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ ทั้งที่ใจเป็นบุญ
การเกิด ตั้งแต่เช้ามาใจเกิดสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้งเคยวิเคราะห์กันหรือไม่ หรือปล่อยเลยตามเลย ใจสั่งมาวัดสั่งมาทำบุญ ความเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าเราดับความเกิดมาเจริญสติไปเกิดแทนชี้เหตุชี้ผลได้ เราก็จะเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ การแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญาเข้าใจในหลักของชีวิตว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิตของเราเรื่องขันธ์ห้าของเราว่า ขันธ์ห้าของเรามีกี่กองกี่ขันธ์ แจง ท่านแจงให้เห็นท่านแจงให้รู้ แต่พวกเรานี้ไปทั้งก้อน ทำก็ทำทั้งก้อน เอาก็เอาทั้งก้อน ทุกข์ก็เป็นทุกข์ทั้งใจทั้งกายแยกไม่ได้ ทำความเข้าใจไม่ได้ ก็ได้อยู่ระดับของสมมติคือการทำบุญให้ทาน มีความสุขอยู่ระดับของสมมติ แต่ตัววิญญาณในกายของเราหรือว่าในใจของเราแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ตรงนี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไร
แต่การทำบุญให้ทานนี้มีกันอยู่มาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีศรัทธามีความเชื่อ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปแล้วก็ทำบุญกันเป็นบางโอกาสบางครั้งบางคราว แต่การสังเกตใจนี่ต้องต่อเนื่อง ต้องต่อเนื่องจริงๆ ถึงจะเป็นมหาสติถึงจะเป็นมหาปัญญา คลายความหลงได้หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ถ้าสังเกตทันเมื่อไรถ้าแยกได้เมื่อไรก็จะเห็นวิญญาณในกายของตัวเราว่าวิญญาณที่ปกติเป็นอย่างไร บางคนบางท่านก็เรียกวิญญาณ บางคนบางท่านก็เรียกใจ
ใจในกายของเรานี้เกิดความอยากเกิดกิเลสหรือว่าส่งไปภายนอก เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน พระพุทธองค์ชี้ลงที่เหตุต้องเห็นเหตุเห็นอาการ แจงให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะทำเล่นๆ เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้รอบรู้อะไร รอบรู้ในกองสังขารในกายของเราว่ามีอะไรบ้างต้องชัดเจนกันทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เวลาขบเวลาฉัน เวลารับประทานข้าวปลาอาหารก็เหมือนกัน ท่านให้พิจารณาใจเกิดความอยากหรือใจเกิดความหิว
เพียงแค่เรื่องของความอยากพวกเราก็ยังละไม่ได้ดับไม่ได้ ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว ท่านก็ให้ละความอยากดับความอยากเป็นความต้องการของสติปัญญาทำหน้าที่แทน ถ้าคลายไม่ได้แยกไม่ได้เราก็ไม่รู้ความจริงของชีวิต ถ้าแยกได้คลายได้ ตามดูชี้เหตุชี้ผลได้ จนใจมองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละเราก็จะเข้าถึงธรรม
ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม มันไม่มีอะไรหรอก แต่เราไม่อบรมไม่บ่ม ไม่ขัดไม่เกลา เขาก็บงการอยู่อย่างงั้น อาจจะถูก ถูกอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเองแต่ยังไม่ถูกในหลักธรรม หลักธรรมนี้ต้องแยกต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง อันนี้คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้คือใจ อันนี้คืออาการของใจ ทำความเข้าใจแล้วเราจะละได้หรือไม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องในชีวิต มองเห็นหนทางเดิน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนใจของเราต้องสงบปราศจากกิเลสปราศจากการเกิด อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดใจก็ต้องสงบ เตรียมพร้อมที่จะอยู่เตรียมพร้อมที่จะไป ท่านถึงบอกว่าผู้รู้ธาตุรู้ ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด ทั้งติด สารพัดอย่าง มันก็เลยขัดเกลายากอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย
เพียงแค่ขอให้มีความเพียรสร้างตบะสร้างบารมีค่อยเก็บสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็มีบุญแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีบุญ มีบุญมากทีเดียว พระพุทธเจ้า ทางพระพุทธองค์ท่านก็สอนมนุษย์นี่แหละ ท่านไม่ได้สอนอะไรหรอก ยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่รับวิบากกรรม
วันพรุ่งนี้ก็ได้มีผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคแม่ลูกอีก16 คู่ มายืดชีวิตให้ต่อชีวิตให้ เป็นกฎของธรรมชาติของเขาไม่ให้ถูกฆ่าถูกฆาตกรรม คนเราก็เหมือนกันไม่อยากจะให้มีใครฆ่าแต่ก็ต้องเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ถ้าเราอยากจะเข้าใจตรงนี้จริงๆ เราต้องศึกษาแยกรูปแยกนามเข้าสู่วิปัสสนา ทำความเข้าใจเราก็จะเข้าใจในกรรมในกายของเรา กายของเรานี่แหละก้อนกรรม จึงมีส่วนรูปส่วนนาม ความคิดอารมณ์นั้นก็เป็นตัวมาปรุงแต่งใจให้หมุนไปตามวิบากของกรรม
ใจก็เกิดความหลงของใจ ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องของกรรมในกายของเรา ทำความเข้าใจได้ละได้ก็อยู่เหนือกรรม ปัจจุบันเราก็ดำเนินด้วยปัญญาไม่ให้ใจของเราไปเกิดไปยึด ก็เป็นเพียงแค่กิริยาของสติปัญญาทำหน้าที่แทน แต่คนแยกแยะไม่ได้ก็ไปทั้งก้อนเหมือนกับมีสายยงสายใยผูกมัดเอาไว้ตั้งแต่อดีต แล้วก็เกิดมาในภพมนุษย์ก็มีขันธ์ห้ามาผูกมัดอีก ตัวใจก็ไปยึดอีกหลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากบุคคลที่มีตบะบารมี มีความเพียรจริงๆ มีความเพียรเป็นเลิศถึงจะเข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าคนเราถ้าจะเอาจริงๆ ก็ไม่เหลือวิสัย ขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวก็เบาบางไป แล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมี
ในหลักธรรมแล้วท่านไม่ให้เกิดเลย ไม่ให้วิญญาณไม่ให้ใจเกิดเลยแหละ ดับความเกิดเลยแหละ สร้างบารมีด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ คือการเกิดการปรุงแต่งของใจ
การพูดง่ายแต่การลงมือการศึกษาการทำความเข้าใจจริงๆ นี้ต้องใช้ความเพียร ใช้เวลามากมายกว่าจะพลิกใจออกจากความคิดได้แยกรูปแยกนามได้ พอจะหมั่นพร่ำสอนใจได้ ชี้เหตุชี้ผลให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ละกิเลสได้หมดจด ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรแล้วก็ทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องศรัทธารู้ด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา ทำความเข้าใจด้วยปัญญา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ไม่ใช่ว่าจะไปทำแบบสุรุ่ยสุร่ายเอาเล่นๆ ง่ายๆ
ความจริงสัจธรรมมีอยู่ คนเรานี่ไม่ค่อยจะพร่ำสอนตัวใจของตัวเอง มีแต่ปล่อยปละละเลย การทำบุญให้ทานให้มีอยู่แสวงหาอยู่ แต่การเฝ้าสังเกตเฝ้าระวังหมั่นพร่ำใจแล้วก็ละกิเลสที่ใจให้ได้ทุกเวลาต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรจริงๆ ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีนี้ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้
ทุกคนนั้นเกิดมาก็มีบุญ บุญเก่าก็มีบุญใหม่ก็มี อย่าไป อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราต้องแก้ไขตัวเราให้หมดจด แต่ละวันๆ นี้เราได้ วันหนึ่งมีกี่นาที มีกี่ชั่วโมง กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ที่จะไปประหัตประหารกิเลส ไปควบคุมกายควบคุมวาจาควบคุมใจ สติก็ไม่ได้เจริญจะเอาตั้งแต่ทำก็ไม่ได้ การละกิเลสไม่มีจะเอาตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจมันก็ไม่ได้ ถ้าละกิเลส มีกิเลสหยาบกิเลสละเอียด
แนวทางนั้นมีมาตั้งนานพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งหลายร้อยหลายพันปีก็ยังเป็นความจริงอยู่ สัจธรรมความจริงก็ยังมีอยู่ ท่านถึงว่า ‘สัจจะ’ ความจริงอันประเสริฐซึ่งอยู่ในกายของทุกคนมีอยู่ แต่พวกเรามาปกปิดเอาไว้ด้วยอำนาจของความหลง ความหลงยังไม่พอกิเลสมาห่อหุ้มอีก กิเลสภายในอีกสร้างจากภายนอกมาห่อหุ้มอีก ท่านถึงบอกมีให้เป็น ทำให้เป็น แยกแยะให้ได้ ใช้ตัวเองให้ถูก จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา
ตั้งใจรับพรกัน