หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 50 วันที่ 31 ธันวาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 50 วันที่ 31 ธันวาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 50
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 ธันวาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปจดจ่อ อย่าเอาใจไปจดจ่อที่ปลายจมูก อย่าเพ่งลงที่ปลายจมูก ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่งลงที่ปลายจมูก สมองก็จะตึง เราพยายามสูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่
ส่วนการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า อันนี้มีมาสําหรับทุกคนเลยตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ก่อนเกิด ใจของเราหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า ขันธ์ห้าก็มีส่วนรูปส่วนนาม ส่วนรูปนี่คือร่างกายของเรา ส่วนนามคือส่วนความคิดที่เกิดจากใจและก็อาการของใจ ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ลงที่กายของเรา แล้วก็หัดสร้างให้ต่อเนื่อง
ถ้าใจเกิด เราก็รู้จักควบคุม อบรม รู้จักแก้ไข ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ใจของเรามีความเกียจคร้าน หรือว่าใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอะไร เราก็หาเหตุหาผล จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น เห็นถูก
แยกรูปแยกนาม เริ่มต้นเห็นถูก กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามดู รู้ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ทุกเรื่อง ดับไปแล้ว ความว่างเปล่าก็มาปรากฏ ใจจะเกิดเราก็รู้จักดับ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักละที่นั้นที่นี้ จนใจสะอาดหมดจด ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิดเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเขาก็ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
การพูดง่าย แต่การลงมือ การทำความเข้าใจ การวิเคราะห์ ต้องรู้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย หมั่นสํารวจใจหมั่นแก้ไขใจของเรา มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง โลกนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้ กายของเราก็ทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ แต่เวลานี้เรายังแยกแยะไม่ได้ ใจก็เลยรวมกันไปหมด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็หนัก ใจก็เลยหนัก เกิดอัตตาตัวตนยังไม่พอ เกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด อีกหลายสิ่งหลายอย่าง
พยายามหัดแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่ไหนก็ดี ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจงพยายามทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ เราต้องพยายามให้เข้มแข็ง ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนถึงจุดหมายปลายทาง สติ ปัญญา สมาธิก็จะรักษาเรา
ความเป็นจริงของทุกคนมีอยู่ในกายหมด แสวงหาธรรม เอาเราเจริญสติเข้าไปแสวงหาธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เขายังเกิดยังหลงอยู่ ยังเข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์ เราต้องหัดแก้ไขอบรมขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราแยกแยะได้ก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน เป็นกองเป็นขันธ์ แต่มีรูป อาศัยอยู่ในรูปกายนี้อยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 ธันวาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปจดจ่อ อย่าเอาใจไปจดจ่อที่ปลายจมูก อย่าเพ่งลงที่ปลายจมูก ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็จะแน่น ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่งลงที่ปลายจมูก สมองก็จะตึง เราพยายามสูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่
ส่วนการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า อันนี้มีมาสําหรับทุกคนเลยตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ก่อนเกิด ใจของเราหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า ขันธ์ห้าก็มีส่วนรูปส่วนนาม ส่วนรูปนี่คือร่างกายของเรา ส่วนนามคือส่วนความคิดที่เกิดจากใจและก็อาการของใจ ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ลงที่กายของเรา แล้วก็หัดสร้างให้ต่อเนื่อง
ถ้าใจเกิด เราก็รู้จักควบคุม อบรม รู้จักแก้ไข ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ใจของเรามีความเกียจคร้าน หรือว่าใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอะไร เราก็หาเหตุหาผล จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้น เห็นถูก
แยกรูปแยกนาม เริ่มต้นเห็นถูก กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามดู รู้ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ทุกเรื่อง ดับไปแล้ว ความว่างเปล่าก็มาปรากฏ ใจจะเกิดเราก็รู้จักดับ ใจจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักละที่นั้นที่นี้ จนใจสะอาดหมดจด ใจไม่มีกิเลส ใจไม่เกิดเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเขาก็ว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
การพูดง่าย แต่การลงมือ การทำความเข้าใจ การวิเคราะห์ ต้องรู้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย หมั่นสํารวจใจหมั่นแก้ไขใจของเรา มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง โลกนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้ กายของเราก็ทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ แต่เวลานี้เรายังแยกแยะไม่ได้ ใจก็เลยรวมกันไปหมด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็หนัก ใจก็เลยหนัก เกิดอัตตาตัวตนยังไม่พอ เกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด อีกหลายสิ่งหลายอย่าง
พยายามหัดแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่ไหนก็ดี ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจงพยายามทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ เราต้องพยายามให้เข้มแข็ง ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนถึงจุดหมายปลายทาง สติ ปัญญา สมาธิก็จะรักษาเรา
ความเป็นจริงของทุกคนมีอยู่ในกายหมด แสวงหาธรรม เอาเราเจริญสติเข้าไปแสวงหาธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เขายังเกิดยังหลงอยู่ ยังเข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์ เราต้องหัดแก้ไขอบรมขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราแยกแยะได้ก็จะเห็นเป็นชิ้นเป็นส่วน เป็นกองเป็นขันธ์ แต่มีรูป อาศัยอยู่ในรูปกายนี้อยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ