หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 85

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 85
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 85
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ เราได้เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวนี่ก็ยังไม่ทำให้ปะติดปะต่อ บางทีระลึกได้ก็สร้างอยู่นิดๆ หน่อยๆ

ส่วนศรัทธาที่เกิดขึ้นจากใจนั้นมีอยู่ ส่วนการทำบุญให้ทานนั้นก็มีอยู่ ใจก็น้อมเข้ามาในกองบุญกองกุศลอยู่ ความเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอันละเอียด หลงเกิด อาจจะเกิดในกุศลหรือว่าอกุศล ถ้าเกิดในทางอกุศลเราก็พยายามละ ถ้าเกิดในทางกุศลเราก็ละเหมือนกัน ละทั้งกุศลทั้งอกุศล แต่ให้เกิดกุศลด้วยสติด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ทำหน้าที่แทน ถ้าใจเกิด ความเกิดของใจนี้ก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้

ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเรา สังเกตวิเคราะห์ รู้เท่ารู้ทัน รู้ทันรู้เท่า ตั้งแต่การเกิด ว่าวิญญาณในขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร อาการของวิญญาณในขันธ์ห้า อาการของขันธ์ห้าที่เกิดขึ้นมาตัววิญญาณหรือว่าตัวใจเข้าไปร่วมได้อย่างไร รู้ทัน ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะแยกออกจากกัน

เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ถ้าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่องเราก็จะรู้ว่าที่ผ่านๆ มานั้นสติความรู้ตัวของเรานั้นไม่มีเอาเสียเลย มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ที่ใจยังวิ่งยังเกิด ยังปรุงยังแต่ง ทั้งขันธ์ห้ารวมกันอยู่ เรามาสร้างความรู้ตัวจาก 1 นาที 2 นาที 3 นาทีไปจนกระทั่งถึงเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนเอาไปใช้ได้จนเป็นอัตโนมัติ จนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ แล้วก็ละกิเลสต่างๆ ออกจากใจของเรา ดับความเกิดของใจของเราให้ได้

หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ต้องไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเห็นอย่างโน้นเห็นอย่างนี้ ความนึก ความคิด ความเกิดที่เกิดจากใจนั่นแหละคือความหลง ใจนี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาสร้างขันธ์ห้า แล้วก็มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็หลงเกิดต่อ หลงเป็นทาสของกิเลสต่อ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดมีหมดอยู่ในกายในใจของตัวเรา เราต้องเจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทำความเข้าใจในสมมติในวิมุตติ คําว่าสมมติเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร

การขัดเกลากิเลส เราขัดเกลากิเลสได้ระดับไหน อะไรเราละได้เราก็รู้ อะไรเราละยังไม่ได้มันยังเกิดอยู่เราก็พยายามละ ไม่ใช่วิ่งหาแต่ธรรมวิ่งหาแต่บุญ มันก็ได้อยู่ วิ่งหาธรรมมันก็ได้ธรรมแบบโลกๆ ถ้าใจยังเกิดยังวิ่งอยู่ ก็อยู่ในคุณงามความดี ถ้าหลักธรรมจริงๆ แล้วท่านให้ตั้งสติสร้างความรู้ตัวเข้าไปอบรม เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก

ทำบ่อยๆ ศึกษาบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น ถ้าสมมติของเราคลายนี่เราก็คงจะเห็น เห็นส่วนนามธรรมคือตัววิญญาณ ความเกิดของวิญญาณ ความเกิดของอาการของขันธ์ห้า หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีอยู่ 5 กอง มีอยู่ 5 ขันธ์ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา กองรูปก็คือร่างกายของเรา กองนามธรรมก็คือตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ

เราพยายามหัดวิเคราะห์ เราอย่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็หยุดเขาไว้ ใช้สมถะ สมถะดับเอาไว้ ทำเรื่องของเรา ดูเรื่องของเราให้กระจ่าง เปิดเผยความจริงในกายของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น

คําว่า อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เป็นอย่างไร ที่ท่านถึงเรียกว่า อริยสัจ ใจที่วิญญาณส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ทั้งส่งไปทั้งรวมกับขันธ์ห้าด้วย เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ มีเรื่องเดียวนี้แหละที่จะต้องแก้ไขให้ได้จนกว่าจะหมดลมหายใจ อานิสงส์บุญบารมีทุกคนก็พากันสร้างกันอยู่ ตัดความกังวล ดับความกังวล ความลังเล ความฟุ้งซ่านต่างๆ ฝืน ฝืนเพื่อที่จะรู้ความเป็นจริง สักพักสักระยะหนึ่งเราฝืนได้เต็มที่ ใจเขาถึงจะคลายหงายขึ้นมา แยกรูปแยกนาม หงายขึ้นมาเราก็จะรู้ความเป็นจริงว่าอะไรคือฝ่ายรูป อะไรคือฝ่ายนาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีก็มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด

พระเราก็เหมือนกันเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติทุกอิริยาบถ เราต้องทำความเข้าใจลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน การสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ก้าว ตั้งแต่ตื่นขึ้น ยัง ตัวไหนเป็นตัวสั่ง เข้าห้องส้วมห้องน้ำอันไหน ก้าวเดินอย่างไร ความรู้สึกตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร

ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้นอกจากตัวของเราเอง เราก็ต้องพยายามทำ อย่าทำด้วยความอยากของใจ จงสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องจนรู้เท่ารู้ทัน จนเห็น จนตามดูได้ ได้รู้ความจริงได้ว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดการดับของวิญญาณอยู่ในระดับไหน เกิดด้วยอํานาจของกิเลส กิเลสหนา หรือกิเลสเบา หรือกิเลสบาง ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ

เราก็จะเข้าใจในคําว่า วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ เห็นความเกิด เราก็น้อมเข้าไปวิเคราะห์พิจารณาที่ท่านเรียกว่า โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลเป็นอย่างไร มีใจน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยก็เป็นโสดาบัน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ใจน้อมเข้ามาในพุทธศาสนาหรือว่าคําสอนของพระพุทธองค์เจริญสติละกิเลสลงไปอีก เราละกิเลส ความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก ความโกรธได้เบาบางก็จะเข้าสู่สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล ไล่เรียงลงไปเรื่อย ใจของเราละกิเลสได้เบาบางลงไปอีก มันก็จะเข้าสู่อนาคามิมรรค กับอนาคามิผลที่ภาษาธรรมะท่านเรียก ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ละกิเลสลงไปเรื่อยๆ จนข้ามพ้นปุถุชน จนเข้าเขตอริยะ คือห่างไกลจากกิเลส จนรู้จักทรงความว่างไว้เป็นอารมณ์ รู้จักทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เห็นต้นเหตุของการเกิด ตามดูรู้ความเป็นจริงทุกอย่าง ก็จะเข้าสู่อรหัตมรรค อรหัตผล ทรงความว่างไว้เป็นอารมณ์ ความว่าง ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจนั่นแหละ

เราจะไปนึกเอาไปคิดเอาไม่ได้หรอกของพวกนี้ เราก็ค่อยหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ความเกิดนั้นมีกันทุกคน จะเกิดมากเกิดน้อย ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ในกิจวัตรประจำวันของเรา ต้องพยายามดูรู้ให้เห็น รู้ให้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ ตื่นเช้าขึ้นมาความคิดมันมีอยู่เยอะแยะ ความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ หรือที่ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ปัญญาโลกียะ

เราจงมาเจริญสติเข้าไปตามดูตามรู้ตามเห็น ถ้าใจพลิกหงายขึ้นมา ตามเห็นความเป็นจริง เพียงแค่ความเกิดเขาก็ไม่เอาหรอกใจนั่น การเกิดเป็นทุกข์เขาก็จะไม่เอา แต่เวลานี้เราเกิดใหม่อยู่ในภพมนุษย์ มีอัตภาพร่างกายสมบูรณ์แบบ พระพุทธองค์ท่านถึงให้พยายามตักตวงทำความเข้าใจ แล้วก็สร้างอานิสงส์ให้บังเกิดขึ้นในกายก้อนนี้ให้ได้

อย่าไปแสวงหาธรรมแสวงหาที่อื่นนั้นหาไม่เจอ เราต้องเจริญสติเน้นลงไปหาที่กายของเรา จนเห็นต้นเหตุการเกิดการดับ จนแยกได้ คลายได้ ตามดูได้ รู้เรื่องทุกอย่าง ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา มองเห็นความเป็นจริง ทั้งฝ่ายรูปฝ่ายนาม ทั้งความเป็นอยู่ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

เราก็ต้องพยายามกันไม่เหลือวิสัยหรอก การที่เราออกบวช ออกเข้ามาบวช เราก็พยายามทำใจให้เป็นพระ เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็เข้าถึงความเป็นพระได้มากขึ้นเท่านั้น ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ ศีลสมมติเป็นอย่างไร ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร

เราต้องรู้หมดทุกอย่างภายในกายในใจของเรา จนกว่าใจของเราจะบริสุทธิ์หลุดพ้น มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน ค่อยคืบค่อยคลาน ล้มลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ทำความเข้าใจใหม่ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจกับกายกับใจของเรา เราจะละกิเลสได้ยาก เพราะว่ากิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงแค่จิตวิญญาณ ความเกิดของจิตวิญญาณ เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ นอกจากที่มีกําลังสติเข้มแข็งพอ มีกําลังบุญบารมีเพียงพอ ใจเกิดกิเลสละกิเลสให้เบาบาง ใจเกิดความโกรธเราก็ดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรมให้เบาบาง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกื้อหนุนกันหมด

ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ธรรม ไม่รู้จักเจริญสติเอาไปใช้ เจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ยากที่จะเข้าใจ เรามาปรับความอ่อนโยน อ่อนน้อมให้ใจของเรา ใจของเราเกิดความแข็งกระด้าง เกิดทิฏฐิเกิด เกิดมานะ เราก็ค่อยขัดเกลาค่อยเอาออก ค่อยหมั่นค่อยพร่ำค่อยสอนเขาบ่อยๆ เขาก็จะมองเห็นความเป็นจริงเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

อย่าลืมในการทำบุญในการให้ทาน สมมติวิมุตติเราก็พยายามทำให้เต็มเปี่ยม จะเอาตั้งแต่ธรรม แต่จิตใจไม่มีความเสียสละ ไม่ละกิเลส มันก็จะเข้าไม่ถึงธรรม เราขัดเกลากิเลสค่อยขัดเกลาเอาออกทีละเล็กน้อย เรามีโอกาสเท่าไรเราก็ทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญเขา พยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง