หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 79 วันที่ 30 กันยายน 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 79 วันที่ 30 กันยายน 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 79 วันที่ 30 กันยายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 79
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 กันยายน 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง เรื่องทุกเรื่องเราวางเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ วางภาระหน้าที่สมมติทางบ้านเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย

เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ลมหายใจเข้าออกที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ฝึกให้เป็นธรรมชาติที่สุด หายใจเข้าอย่างไรถึงจะมีความรู้สึกรับรู้โดยที่ไม่บังคับ หายใจออกอย่างไรมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เหมือนกับนายประตูทวารคอยอยู่ดูอยู่ที่ปากทาง รถคันไหนจะวิ่งเข้าก็เห็นอยู่ รถคันไหนจะวิ่งออกก็รู้อยู่ รู้ให้ต่อเนื่องจนเกิดความเคยชิน อันนี้เขาเรียกว่ามีสติรู้กาย แล้วก็ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ

ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมรู้กายลึกลงไป ก็รู้ความปกติของใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าหรือว่าความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อันนี้คือกายของเรานี้ส่วนรูป ความคิดของเรานั้นส่วนนาม เขาเกิดๆ ดับๆ เขาเกิดมาตั้งนาน เขาเกิดตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ วิญญาณของเราเกิด หลงมาจนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาเป็นทาสกิเลสต่อ

มีความเห็นที่ถ้าว่าพูดตามหลักของความเป็นจริง ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังเห็นผิดอยู่ แต่อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ ถูกอยู่ในระดับของคุณงามความดี อยู่ในศีลในธรรมในบุญในกุศล แต่ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ก็หลงอยู่ในสมมติตรงนี้อยู่ ความหลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ กระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ขันธ์ห้าก็มีส่วนรูปส่วนนาม ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ จนใจคลายออก แยกรูปแยกนามได้หงายของที่คว่ำได้ เราก็จะตามดูรู้เห็นการเกิดการดับ เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร ความเกิดความดับเป็นอย่างไร ก็จะเข้าใจในคําว่า อัตตาอนัตตา

แต่เวลานี้เราเข้ายังไม่ถึง เรายังไม่เห็น อาจจะเห็นอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ไม่รู้ไม่เห็นให้ตลอดสายทุกอย่างทุกเรื่อง เข้าไปถึงต้นเหตุ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราถึงดับทุกข์ไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ ก็เลยเกิดๆ ดับๆ ก็เลยทุกข์ ความทุกข์ก็เลยเกิดขึ้น ถึงดับได้ละได้ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนทุกข์ เราต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด มีความเข้าใจให้ถูกต้อง ท่านถึงว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง

ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า มองเห็นความคิดเกิดๆ ดับๆ เข้าใจในเรื่องอัตตาอนัตตา เข้าใจในหลักของสัจธรรม เข้าใจด้วยเข้าถึงด้วย ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส อันนี้คือสมมติ อันนั้นอันนี้คือวิมุตติ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจขณะที่กําลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ บุญสมมติเราก็ช่วยกันทำ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์

ท่านถึงบอกว่ารอบรู้ในกองสังขารคือรอบรู้ในใจของเรา รอบรู้ในอาการของใจของเรา รอบรู้ในขันธ์ห้าของเรา ท่านถึงว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณในกายในขันธ์ห้า รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ศึกษาไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ

ทำสมมติให้ไม่ให้ลําบากเราก็อยู่อย่างมีความสุข บุญเราก็ได้ทำ อานิสงส์สมมติเราก็ได้ทำ กิเลสเราก็ละเอา กิเลสเกิดขึ้นที่ใจของเรา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด หรือว่ากิเลสที่เกิดจากใจ เกิดจากสมมติ เกิดจากกายหรือจากใจ เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดทำความเข้าใจ พิจารณาแก้ไขเรา จงใช้ตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเราให้เป็น ถ้าเราใช้ตัวเราไม่ได้ แก้ไขเราไม่ได้ ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้นอกจากตัวของเรา

เราได้มาอยู่ร่วมกัน หลายคนหลายท่าน มาฝักใฝ่ มาสร้างคุณงามความดี มาแสวงหาหนทางดับทุกข์ เราก็ต้องพยายามดำเนินอยู่ด้วยกันก็ให้อยู่ด้วยกันด้วยความเมตตา ความสามัคคี ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดูเรื่องของเราให้จบ แก้ไขเรื่องของเราให้ได้ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องของคนโน้นเรื่องของคนนี้ เรื่องของคนอื่น ส่วนเรื่องของตัวเราไม่ค่อยจะสนใจอย่างนี้ก็ใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามดูเรื่องของเรา ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งภายในภายนอกให้มันจบให้ได้ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้ว ก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป จงพยายามทำความเข้าใจ บุคคลที่เข้าถึงแล้วย่อมจะมองเห็นความจริงของชีวิต อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง