หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 62 วันที่ 9 กรกฎาคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 62 วันที่ 9 กรกฎาคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 62 วันที่ 9 กรกฎาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 62
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2560

มีความสุขกันทุกคน เช้านี้ญาติโยมก็พากันมาทำบุญถวายทานกันเยอะในวันปวารณาเข้าพรรษา ในเมืองไทยนี้มีโอกาสได้สร้างบุญใหญ่ ได้ทำบุญใหญ่ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน ฝักใฝ่สนใจในการสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นในใจของพวกเรา แล้วก็ฝักใฝ่ทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณในกายของเราด้วย ตั้งสติรู้กายรู้ใจ อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราก็ต้องพยายามดู รู้ให้ทันทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้

พระเรา ชีเราก็เหมือนกัน พยายามพิจารณา ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ปฏิสังขาโย ก่อนที่จะขบจะฉัน ก่อนที่จะรับประทานข้าวปลาอาหาร เราต้องรู้จักกะประมาณในการขบฉันของตัวเรา รู้จักวิเคราะห์ความอยาก ความหิว กายของเราเกิดความหิว ใจของเราเกิดความอยาก เราพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ดับความอยาก ดับความเกิดของใจให้ได้ แล้วก็หนุนกําลังปัญญาไปใช้ ให้ใจรับรู้ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง กายมันหิว ใจมันบอก อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันบอกว่าอย่างนั้น เราก็พยายามดับ พยายามหยุดความเกิดของใจ หยุดไม่ได้ก็นั่งดูให้มันเกิดจนหยุดของมันเอง จนมันดับของมันเอง ค่อยเอา ค่อยวิเคราะห์ ทำบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นกายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร ส่วนมากไม่ค่อยจะเจริญสติเข้าไปจําแนกแจกแจงเข้าไปแยกแยะ มีตั้งแต่ทำตามกิเลส ใจเป็นตัวสั่ง ขันธ์ห้ากับใจรวมกันได้อย่างไร ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปอบรมกายอบรมใจ จัดระบบระเบียบของใจ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ให้รู้ด้วย เห็นด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องชีวิตสอนเรื่องการดำนินชีวิต สอนเรื่องการแยกแยะให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนรูปธรรมส่วนนามธรรม เห็นความเกิดความดับ

เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านจิตวิญญาณ เราก็ต้องระลึกดู รู้ให้ลึก ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่หลงเป็นอย่างไร ใจปล่อยวางความคิด ใจปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ก็วางอัตตาตัวตนได้ กายสมมติของเราก็ยังมีอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจดูแลรักษาเขาไปจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ หมั่นพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น

เมื่อคืนญาติโยมก็พากันมาเวียนเทียนกันเยอะ เห็นแล้วก็น่าภูมิใจ แต่อย่าให้อยู่เพียงแค่ศรัทธา ในการทำบุญเราต้องพยายามเจริญสติอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น หมั่นอบรมใจของเราอยู่บ่อยๆ ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก แต่เวลานี้กําลังสติที่เราสร้างมาไม่ค่อยจะแข็งแรง ไม่ค่อยจะต่อเนื่อง หรือไม่สนใจเลย ก็เลยพลาดโอกาสที่จะเข้าไปถึงความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นของใจ เราต้องพยายามทำ พยายามดำเนิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของความรู้สึกตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร

เราสอนเราไม่ได้ ก็ไม่มีใครจะสอนเราได้หรอก นอกจากตัวเรา คําสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมาตั้งนาน ธรรมะก็มีอยู่แล้ว แต่ความไม่เข้าใจ ความหลง ทำให้จิตทำให้วิญญาณในกายของเรานี่เกิด เขาหลงเกิดมาหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งถึงเวลามาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ซึ่งมีกายเนื้อ มีวิญญาณมาอาศัยอยู่ มาสร้างขันธ์ห้าขึ้นปิดกั้นตัวเอง อันนี้หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มาสร้างขันธ์ห้า เขาก็หลงเกิดในภพน้อยภพใหญ่ หลงในชั้นละเอียด หลงเกิดแล้วก็หลงมายึด มาสร้างกาย มาสร้างขันธ์ห้า อันนี้อีกเปาะหนึ่ง ทีนี้ก็หลงขณะอยู่ในกายก็เป็นทาสของกิเลสอีก เป็นทาสของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก หลงเกิดแล้วก็กลับมาอยู่ในกายใหม่ หลงเป็นทาสของกิเลส หลงยึดในธาตุในขันธ์

แต่ในหลักธรรม ท่านให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ไปสังเกตวิเคราะห์ใจ จนใจของเราคลายออกจากความคิดให้ได้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ หมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมีให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส สักวันหนึ่งใจก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ คือความสะอาด ใจไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจคลายจากขันธ์ห้าได้เขาก็คลายความหลง ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม มีกันทุกคน จะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญของแต่ละบุคคลที่จะขัดเกลาเอาออกได้จากใจของเราให้หมดจดหรือไม่

แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา ความเกิดอันละเอียด คือใจปรุงแต่ง ใจปรุงแต่งความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ต้องหัดวิเคราะห์บ่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะเห็น เห็นแล้วทำความเข้าใจได้แล้ว ท่านถึงบอกให้เชื่อ ในหลักของการปฏิบัติธรรม ก็ปฏิบัติกายปฏิบัติใจของเรานั่นแหละ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือสมมติวิมุตติ

ทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน อันนี้ก็เป็นบุญอยู่ในระดับของสมมติ ถ้าใจคลายจากขันธ์ห้าได้ แยกรูปแยกนามได้ อันนั้นก็เป็นการเริ่มต้นที่ถูก เพียงแค่เริ่มต้น เหมือนเราจะก้าวขึ้นตัวเรือนเราก็ต้องอาศัยบันไดขั้นแรก แล้วก็ขั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายก้าวถึงตัวเรือน ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

การปฏิบัติใจ ปฏิบัติกายของตัวเรา ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เพียรจนรู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจยอมรับความเป็นจริง เพียงแค่การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด แต่เวลานี้ล่ะ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งผลักไส ทั้งดึงเข้ามา สารพัดอย่าง มาปิดกั้นตัวเอง แม้แต่ตัวใจมันก็ยังหาเรื่องปิดกั้นตัวเอง เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ขันธ์ห้าอาการของความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดก็มารวมกันกับใจ ขนาดเราแยกแยะได้แล้ว ถ้าเผลอเมื่อไหร่เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างหมดทุกเรื่อง แล้วก็พยายามละกิเลสออกจากใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น

การพูดง่าย แต่การลงมือจริงๆ นี่ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร สร้างสะสมบุญบารมีให้เต็มเปี่ยม ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมแล้วหรือยัง กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราเป็นลักษณะอย่างไร มลทินเป็นลักษณะอย่างไร เหมือนกับการขุดสันดอนสันดานออกจากใจของเรา เราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะได้หมดทุกอย่าง

เราอย่ามีเพียงแค่ศรัทธา ศรัทธาต้องให้เกิดปัญญารู้แจ้งด้วย ส่วนมากเราก็ดำเนินอยู่ในขั้นทาน ศีล ภาวนาเล็กน้อย แต่กําลังสติปัญญายังไม่ถึงจุดหมาย การทำบุญให้ทานก็มีกันตั้งแต่รุ่นพ่อ ปู่ย่า ตายาย ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเรามีโอกาสได้สร้างบุญ ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล อยู่ใกล้เราก็ได้ทำ อยู่ไกลเราก็น้อมเข้าสู่ใจของเราอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็จะมีส่วนแห่งบุญ

โอกาสได้สร้างบุญตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่า ทุกเวลานี่มีคุณค่า คําว่าอัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติ คือไม่ได้สร้างไม่ได้ทำ ทำจนเป็นอัตโนมัติ ขัดเกลากิเลสออกจนไม่เหลือในใจของเรา ใจไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง เขาก็บริสุทธิ์ รู้จักทรงรู้จักรักษาความว่าง ใจที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ นั่นแหละคือเครื่องอยู่ของใจ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน

ความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ ความเกิดทางกายเนื้อ เกิดกายเนื้อนี่ทุกคนก็เกิดมาจนอายุถึงปูนนี้ แต่ความเกิดของจิตวิญญาณนั้น แต่ละนาทีมันไปสักกี่เรื่อง ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาเขาไปรวมกันได้อย่างไร นี่แหละ เราพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญบารมีของเรา ให้ทาน ไม่รู้วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่รู้พรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่รู้จริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญเอาไว้ก็ยังดี ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีโอกาส โอกาสเปิด ทำได้ทุกที่ไม่ว่าที่ไหนในประเทศของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การเจริญภาวนาเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร การสร้างอานิสงส์ให้กับโลกให้กับสังคมเป็นอย่างไร เราละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเรา ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็จะมีตั้งแต่ความสุข เดินไปทางไหนเราก็ดูใจของเรา แก้ไขใจของเรา กายทำหน้าที่อย่างไร ใจทำหน้าที่อย่างไร เรารู้จักวิธีการแล้ว เรารู้จักแนวทางแล้ว ก็พากันไปทำ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทำจนไม่มีอะไรที่จะเหลืออยู่ที่ใจของเรา ก็จะเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ก็ต้องพยายามกัน

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง