หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 52 วันที่ 4 มิถุนายน 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 52 วันที่ 4 มิถุนายน 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 52 วันที่ 4 มิถุนายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 52
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 มิถุนายน 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบายวางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นเราได้สร้างความรู้ตัวรู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าหรือว่าอาการของใจแล้วหรือยัง

เพียงแค่การเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ตรงนี้ก็ขาดการทำความเพียร ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ คิดก็รู้ ทำก็รู้ การเกิดของใจ การเกิดอาการของใจนั้นเพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ แต่ก็ยังหลงอยู่หลงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจนี่หลงมาเกิดสร้างภพมนุษย์มาสร้างขันธ์ห้า ซึ่งมีส่วนรูปส่วนนาม แล้วก็มายึดแล้วก็เป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเยอะแยะมากมาย

ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเรา สร้างความรู้ตัวลงที่กายของเราให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันใจ หรือว่าจิตรู้เท่าทันการเกิดการดับ รู้เท่าทันการเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของขันธ์ห้า ถ้าความรู้ตัวของเรารู้เท่ารู้ทัน ใจก็จะคลายออก ภาษาธรรมท่านเรียกว่า แยกรูปแยกนาม นี่แหละใจคลายจากขันธ์ห้าได้เมื่อไรเขาเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูก เห็นการเคลื่อน เห็นการคลาย เห็นการแยก ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเราเห็นอนิจจัง รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องต่างๆ จบไป อนัตตาความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ แต่ใจของเราไปหลงไปรวมหมดทุกอย่าง ไปเป็นกลุ่มเป็นก้อน มองด้วยตาเนื้อก็มองเห็นว่าเป็นตัวตน เป็นของของเรา

แต่ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้เจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทำความเข้าใจ แล้วก็ขัดเกลากิเลส ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราให้หมดจด จนกระทั่งถึงความเกิด ดับความเกิดของใจ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริง ใจถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้

เพียงแค่การเกิดของใจก็ปิดกั้นตัวเอง เราต้องจําแนกแจกแจงให้ชัดเจน ว่าส่วนไหนส่วนสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนไหนส่วนใจ ส่วนในอาการของใจ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในดวงวิญญาณในขันธ์ห้าของตัวเรา รอบรู้ในโลกธรรมแปด รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างภายในใจของเรา อันนี้จิตหรือว่าใจแต่ละดวงนั้นปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น การทำบุญให้ทาน การขัดเกลากิเลสอันนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปดูเข้าไปเห็นจริงๆ ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรอย่างยิ่งยวด มีความเพียรอย่างเป็นเลิศถึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ถึงเราควบคุมใจแยกแยะได้ ถ้าขาดการตามดูตามรูปตามเห็น เขาก็จะรวมเข้าหากันเหมือนเดิม ก็ต้องพยายาม

อยู่คนเดียวเราก็รู้กายรู้ใจของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้กายรู้ใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรม กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ใจทำหน้าที่อย่างไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน แต่เวลานี้จิตใจของเรายังร่วมกันไปหมดรวมกันไปหมด อาจจะอยู่ในการสร้างคุณงามความดี แต่การเจริญสติเราต้องพยายามสร้างขึ้นมา

สติคือผู้รู้ ใจคือธาตุรู้ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งรู้ เราอาจจะว่าเราไม่หลง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปแยกได้ เห็นได้ตามดูได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ว่าอะไรเป็นอะไร เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ก็ต้องพยายามกัน ทำให้ดีตั้งตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ปัญญาทางโลกีย์ปัญญาในทางโลกมีเท่าไรก็อย่าเพิ่งเอามาใช้ เรามาเจริญสติเข้าไปแยกแยะ ตามดูตามรู้ตามเห็น พลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม คลายใจออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง ให้อยู่ในความบริสุทธิ์ รับรู้ผิดถูกชั่วดี สติปัญญาไปแก้ไข อย่าปิดกั้นตัวเรา จงขยันหมั่นเพียร ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่แก้ไขใหม่ อะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรละควรเจริญ ก็อยู่ที่ตัวของเราหมด ธรรมก็อยู่ที่ตัวของเรา ใจก็อยู่ที่ตัวของเรา เว้นเสียแต่ว่าเราจะจําแนกแจกแจงให้ถึงจุดหมายปลายทางได้หรือไม่เท่านั้นเอง

การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจเป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม การขัดเกลา การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ นิวรณ์ธรรม มลทินเป็นอย่างนี้ ถ้าเราดำเนินตามคําสอนของพระพุทธองค์เราก็จะเข้าถึงเข้าใจ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าปิดกั้นตัวเรา จงเปิดทางให้ตัวเราแล้วก็พยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้ก็เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่เราก็พยายามสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น

ในการหายใจของเราแต่ละวัน จิตใจของเราเป็นอย่างไร ใจเรามีความสงบ ใจของเรามีความปกติ ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน ก็รู้จักเจริญสติเจริญปัญญาเข้าไปแก้ไขอบรมใจอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งใจของเราก็จะถึงความบริสุทธิ์ถึงความถึงความหลุดพ้น ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ขอให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง