หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 40 วันที่ 23 เมษายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 40 วันที่ 23 เมษายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 40
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 เมษายน 2560
คนเรากว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็สร้างบุญมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีโอกาสแล้วก็มาสะสางทำความเข้าใจกับใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเขาจะแตกดับตามกาลตามเวลา
บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติเราก็ทำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ทิ้ง ตื่นขึ้นมาก็รีบสํารวจใจของตัวเราก่อน รู้กายรู้ใจของเราก่อน ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงหลง ความเกิดนั่นแหละคือความหลง แล้วก็เกิดหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง
ขณะยังมีกายอยู่ใจยังไปต่อ ยังเกิดต่อ ความคิดของเรานั่นแหละก็ยังเกิดต่อ อันหนึ่งเป็นส่วนรูปอันหนึ่งเป็นส่วนนาม ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะรู้ทราบอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ ว่าอันนี้ของเรา อันนี้กายของเรา อันนี้ใจของเรา อันนี้ของของเรา แต่ในหลักธรรมแล้ว ท่านมาให้เจริญสติ แยกแยะภายใน แยกรูปแยกนาม ชําระสะสางกิเลส มองเห็นตามความเป็นจริง ว่าอะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือสมมติวิมุตติ การเดินทางการสร้างบารมี สร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ที่ใจของเราได้อย่างไร ทำใจของเราให้อ่อนโยน อ่อนน้อมหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งถึงความตายก็ไม่หวั่นไหว
ถ้าเรามาศึกษาค้นคว้า มาสํารวจ มาทำความเข้าใจแล้วก็เราก็เห็นได้ชัด ชัดเจน ของดีมีอยู่ในกายของเรา ถ้าเราค้นคว้าดูดีๆ เราก็จะเห็นเยอะแยะ เห็นความบริสุทธิ์ของใจ เห็นความเสียสละ มีความเมตตา มีพรหมวิหารว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร มีใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การขัดเกลากิเลส กิเลสเป็นหน้าตาอาการอย่างไร เราพยายามศึกษาดู
แม้แต่บางครั้งบางคราว กิเลสตัวละเอียดคือความเกิดของใจเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาแล้วเขาถึงเกิด เกิดมาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้ายังไม่พอ เขายังปรุงแต่งเกิดต่ออีก ธาตุขันธ์แตกดับเมื่อไร เขาก็ไปตามวิบากของกรรมของเขา ถ้าเราไม่เข้าถึงตรงนั้น บางทีบางครั้งบางคราว ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นของดีอยู่ในกายของเรา พยายามรีบทำ รีบสร้าง รีบขวนขวายให้มีให้เกิดขึ้น
ใจของเรามีความสะอาดหรือเปล่า ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือเปล่า หรือว่ามีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ก็ปิดกั้นใจของเราเอาไว้หมด คนเราทุกคนเกิดมาเท่าไรก็เข้าสู่หลักของอนัตตา คือความว่างเปล่า หมดลมหายใจเมื่อไรก็เข้าสู่หลักของความเป็นจริง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย
แต่หลักธรรมแล้วท่านให้ดู ให้รู้ความเกิดความดับทางด้านจิตวิญญาณ ทั้งนามธรรมให้รู้เรื่องอีก แต่ทางด้านนามธรรมนี้ทุกคนถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละเป็นเลิศ จึงจะรู้ความเกิดความดับของตัววิญญาณในกายของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูปกองนาม แล้วก็มีกิเลส ใจของเราถึงเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก บุคคลที่มีความเสียสละหมั่นขัดเกลา กิเลสก็จะเบาบาง ออกจากใจของเราไปเรื่อยๆ จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง ความบริสุทธิ์ของใจ
ถ้าคนมีปัญญา มีบุญมีอานิสงส์ก็จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทรัพย์ภายในก็สร้างให้ถึงความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความหนักแน่น แม้แต่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป มองเห็นหนทางเดิน น้อมใจให้อยู่ในกองบุญ สูงขึ้นไปก็สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญบุญก็คือความสุข ความสุขของใจ ความสุขของระดับสมมติ ระดับวิมุตติ มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะศึกษาค้นคว้าขัดเกลาให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราหรือไม่
บางคนก็ถึงเร็ว บางคนก็ถึงช้า ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกจากขันธ์ห้า ใจวิเวกจากการเกิด ใจวิเวกจากกิเลส มีหมด ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม แยกรูปแยกนามนี่เป็นแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิความเห็นถูก ถ้าตามดูตามรู้ตามเห็นแล้วก็ค่อยขัดเกลา เขาก็เรียกว่า วิปัสสนา ใจของเราเบาบางจากกิเลสลงไปเรื่อยๆ ก็จะไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ โสดาบัน อนาคามี สกิทาคามี อรหัตมรรค อรหัตผล จนกระทั่งหน่วงเหนี่ยวเอานิพพานหรือว่าความว่างเป็นอารมณ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
มีหมด มีอยู่ในกายของเรา ไม่ใช่ว่าไม่มี วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี พ่อแม่พี่น้องมี ภพนี้มี ภพหน้ามี ภพนี้ก็คือภพปัจจุบัน คือภพมนุษย์ของเรา ทีนี้ใจของเราไปก่อร่างสร้างภพอีกหรือเปล่า ขณะที่ยังอยู่ในกายก็ยังไปยึดโน่นยึดนี่ ในหลักธรรมเขาเรียกว่าภพเรียกว่าชาติ เรียกว่า ภพ ยังไม่เป็นชาติ ถ้าเป็นชาติก็คือมนุษย์ ภพของมนุษย์ ชาติของมนุษย์ วิญญาณยังมาอาศัยกายตรงนี้อยู่ ถ้าหมดจากภพมนุษย์เขาก็ไปตามวิบากของกรรมที่สร้างเอาไว้
คนมีปัญญาก็ไม่ยึดไม่ติดอยู่เหนือกรรม ละกิเลสไม่ต้องกลับมาเกิด กายเนื้อแตกดับ วิญญาณไม่เกิดเข้าสู่ความสงบความสุข ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนั้นก็ต้องสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีขัดเกลากิเลสทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ในการทำความเข้าใจ บุญน้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม บุญน้อยก็เป็นของเรา บุญใหญ่ก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีความสุขแห่งบุญ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 23 เมษายน 2560
คนเรากว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็สร้างบุญมาดี ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีโอกาสแล้วก็มาสะสางทำความเข้าใจกับใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเขาจะแตกดับตามกาลตามเวลา
บุญสมมติเราก็ทำ บุญวิมุตติเราก็ทำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ทิ้ง ตื่นขึ้นมาก็รีบสํารวจใจของตัวเราก่อน รู้กายรู้ใจของเราก่อน ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงหลง ความเกิดนั่นแหละคือความหลง แล้วก็เกิดหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง
ขณะยังมีกายอยู่ใจยังไปต่อ ยังเกิดต่อ ความคิดของเรานั่นแหละก็ยังเกิดต่อ อันหนึ่งเป็นส่วนรูปอันหนึ่งเป็นส่วนนาม ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะรู้ทราบอยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ ว่าอันนี้ของเรา อันนี้กายของเรา อันนี้ใจของเรา อันนี้ของของเรา แต่ในหลักธรรมแล้ว ท่านมาให้เจริญสติ แยกแยะภายใน แยกรูปแยกนาม ชําระสะสางกิเลส มองเห็นตามความเป็นจริง ว่าอะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือสมมติวิมุตติ การเดินทางการสร้างบารมี สร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ที่ใจของเราได้อย่างไร ทำใจของเราให้อ่อนโยน อ่อนน้อมหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งถึงความตายก็ไม่หวั่นไหว
ถ้าเรามาศึกษาค้นคว้า มาสํารวจ มาทำความเข้าใจแล้วก็เราก็เห็นได้ชัด ชัดเจน ของดีมีอยู่ในกายของเรา ถ้าเราค้นคว้าดูดีๆ เราก็จะเห็นเยอะแยะ เห็นความบริสุทธิ์ของใจ เห็นความเสียสละ มีความเมตตา มีพรหมวิหารว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร มีใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การขัดเกลากิเลส กิเลสเป็นหน้าตาอาการอย่างไร เราพยายามศึกษาดู
แม้แต่บางครั้งบางคราว กิเลสตัวละเอียดคือความเกิดของใจเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาแล้วเขาถึงเกิด เกิดมาสร้างกายเนื้อมาสร้างขันธ์ห้ายังไม่พอ เขายังปรุงแต่งเกิดต่ออีก ธาตุขันธ์แตกดับเมื่อไร เขาก็ไปตามวิบากของกรรมของเขา ถ้าเราไม่เข้าถึงตรงนั้น บางทีบางครั้งบางคราว ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นของดีอยู่ในกายของเรา พยายามรีบทำ รีบสร้าง รีบขวนขวายให้มีให้เกิดขึ้น
ใจของเรามีความสะอาดหรือเปล่า ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือเปล่า หรือว่ามีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ก็ปิดกั้นใจของเราเอาไว้หมด คนเราทุกคนเกิดมาเท่าไรก็เข้าสู่หลักของอนัตตา คือความว่างเปล่า หมดลมหายใจเมื่อไรก็เข้าสู่หลักของความเป็นจริง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย
แต่หลักธรรมแล้วท่านให้ดู ให้รู้ความเกิดความดับทางด้านจิตวิญญาณ ทั้งนามธรรมให้รู้เรื่องอีก แต่ทางด้านนามธรรมนี้ทุกคนถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละเป็นเลิศ จึงจะรู้ความเกิดความดับของตัววิญญาณในกายของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูปกองนาม แล้วก็มีกิเลส ใจของเราถึงเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก บุคคลที่มีความเสียสละหมั่นขัดเกลา กิเลสก็จะเบาบาง ออกจากใจของเราไปเรื่อยๆ จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ ความว่าง ความโล่ง ความโปร่ง ความบริสุทธิ์ของใจ
ถ้าคนมีปัญญา มีบุญมีอานิสงส์ก็จะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทรัพย์ภายในก็สร้างให้ถึงความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความหนักแน่น แม้แต่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป มองเห็นหนทางเดิน น้อมใจให้อยู่ในกองบุญ สูงขึ้นไปก็สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญบุญก็คือความสุข ความสุขของใจ ความสุขของระดับสมมติ ระดับวิมุตติ มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะศึกษาค้นคว้าขัดเกลาให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราหรือไม่
บางคนก็ถึงเร็ว บางคนก็ถึงช้า ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกจากขันธ์ห้า ใจวิเวกจากการเกิด ใจวิเวกจากกิเลส มีหมด ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม แยกรูปแยกนามนี่เป็นแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิความเห็นถูก ถ้าตามดูตามรู้ตามเห็นแล้วก็ค่อยขัดเกลา เขาก็เรียกว่า วิปัสสนา ใจของเราเบาบางจากกิเลสลงไปเรื่อยๆ ก็จะไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ โสดาบัน อนาคามี สกิทาคามี อรหัตมรรค อรหัตผล จนกระทั่งหน่วงเหนี่ยวเอานิพพานหรือว่าความว่างเป็นอารมณ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
มีหมด มีอยู่ในกายของเรา ไม่ใช่ว่าไม่มี วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี พ่อแม่พี่น้องมี ภพนี้มี ภพหน้ามี ภพนี้ก็คือภพปัจจุบัน คือภพมนุษย์ของเรา ทีนี้ใจของเราไปก่อร่างสร้างภพอีกหรือเปล่า ขณะที่ยังอยู่ในกายก็ยังไปยึดโน่นยึดนี่ ในหลักธรรมเขาเรียกว่าภพเรียกว่าชาติ เรียกว่า ภพ ยังไม่เป็นชาติ ถ้าเป็นชาติก็คือมนุษย์ ภพของมนุษย์ ชาติของมนุษย์ วิญญาณยังมาอาศัยกายตรงนี้อยู่ ถ้าหมดจากภพมนุษย์เขาก็ไปตามวิบากของกรรมที่สร้างเอาไว้
คนมีปัญญาก็ไม่ยึดไม่ติดอยู่เหนือกรรม ละกิเลสไม่ต้องกลับมาเกิด กายเนื้อแตกดับ วิญญาณไม่เกิดเข้าสู่ความสงบความสุข ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนั้นก็ต้องสร้างอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีขัดเกลากิเลสทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งหมดลมหายใจ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้ในการทำความเข้าใจ บุญน้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม บุญน้อยก็เป็นของเรา บุญใหญ่ก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีความสุขแห่งบุญ