หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 32 วันที่ 8 เมษายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 32 วันที่ 8 เมษายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 32
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 เมษายน 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย วิธีการสร้างความรู้ตัวซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ รู้ให้ต่อเนื่องเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ปล่อยให้เป็นการหายใจแบบธรรมชาติ หายใจยาวก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจสั้นก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เป็นแค่เพียงการเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของตัวเรา
เราจงพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บก็รู้สัมผัสของลมหายใจปั๊บ รู้ให้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอก ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ บางทีก็อาการของความคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วก็ปรุงแต่งส่งไปด้วยกันนั่นแหละ ใจรวมร่วมกับขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมนั่นแหละคือความหลง ความหลงในระดับหนึ่ง ความหลงระดับละเอียดลงไปเรื่อยๆๆ
การเกิดของใจนั่นคือความหลงอันลุ่มลึก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจหลงมาเกิดมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปอีก แล้วก็เป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบความโลภความโกรธ กิเลสละเอียดพวกมลทินพวกนิวรณธรรมต่างๆ มองโลกในทางอคติเพ่งโทษ ยกตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ ทุกอย่างสารพัด ถ้ากำลังความรู้ตัวของเรามีเราก็จะเห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็พยายามทำความเข้าใจ อันนี้ส่วนปัญญา แต่กำลังสติของเรายังไม่ต่อเนื่อง ยังเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ยังไม่ใช่ปัญญา เพียงแค่ผู้รู้ สร้างผู้รู้เข้าไปเห็นการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าไปดู รู้ เห็นการแยกการคลายซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม รู้ไม่ทันเราก็เริ่มใหม่ เอาใหม่
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงตรงนี้ก็ทำไม่ค่อยจะได้กัน ทีจะเข้าไปเห็นการเกิดการแยกการคลาย เข้าไปดู รู้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จัดระบบระเบียบของจิตใจของเราว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินตรงนี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีความเพียรอย่างยิ่งยวด จงพยายามแก้ไขเรา มองดูรู้เห็นใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในหลักธรรม เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรคือความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา อะไรคือความเกิดความดับของอาการของใจ ใจเกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราละได้แล้วหรือยัง จนไม่เหลือที่จิตที่ใจของเรา ก็จงพยายาม พยายาม อย่าไปทิ้ง
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่ ค่อยสร้างสะสมบารมีของเราไป สะสมบารมีของเราวันละเล็กวันละน้อย สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าถึงธรรม อย่าพากันมองข้าม อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง บุญสมมติก็ทำให้เต็มเปี่ยม อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ แต่ตัววิมุตตินี่ก็รู้กันอยู่ แต่การละกิเลสไม่ค่อยได้การดับความเกิดไม่ค่อยได้ ก็เลยไม่เหมารวมกันทั้งก้อน อันนี้ใจ อันนี้อาการของขันธ์ห้า อันนี้ของปัญญา รวมกันไปหมดทั้งก้อน
เราต้องสร้างความรู้ตัวส่วนบนส่วนสมองเข้าไปดู รู้การเกิดการดับอยู่ที่กลางใจของเรามีกันทุกคน แต่ละวันแต่ละเวลาบางทีก็มีเยอะเอาเสียจริงๆ ถ้าเราเจริญสติให้เข้มแข็งไปดูรู้ให้เท่าทันเราก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็พยายามทำความเข้าใจ รู้ความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละทีละเล็กละน้อย มาอบรมใจ เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา
การเกิดเป็นทุกข์เราก็พยายามดับความเกิด การเป็นทาสของกิเลสพยายามขัดเกลากิเลส เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา แต่หน้าตาอาการเขาเป็นอย่างไรตรงนั้นเราเข้าไม่ถึงเลย แถมกลับส่งเสริมไปเลย กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจเราไปร่วมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจปรุงแต่งไป มีกันหมดทุกคน อยู่ในกายของเรานี่แหละ
พยายามเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้การใช้งาน กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ละเราก็ดับ เราต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าเราก็จะเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจในเรื่องวิบากของกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมใหม่ถ้าเราทำความเข้าใจได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิริยาของกายของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทางประโยชน์ของสมมติเราก็ทำหน้าที่อันนี้คือโลกธรรม อันนี้ปัจจัยสี่ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เราต้องจัดระบบระเบียบภายในของเราให้เรียบร้อย
การเกิดของใจเราก็ไม่ให้เกิด ใจเป็นทาสของกิเลสเราก็ขัดเกลากิเลสทำในสิ่งตรงกันข้ามเขา ช่วงใหม่ๆ ก็น่าเบื่อหน่าย ถ้าเราเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็น กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ต่อไปข้างหน้าใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากกิเลส วิเวกจากขันธ์ห้า จะมีตั้งแต่ความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเราเริ่มใหม่ พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุด เหตุผลทางด้านสมมติก็มี เหตุผลทางด้านวิมุตติ การเกิดการดับ การแยกการคลาย ทำใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราเข้าถึงเราจะรู้ทันทีว่าพระพุทธองค์มีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง ท่านตรัสรู้เรื่องของชีวิต หลักอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยการขัดเกลากิเลส ท่านชี้แนะบอกแนวทางเอาไว้ให้หมดทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายหรือไม่ จุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตอยู่ที่ไหน เราก็ต้องดู
ทั้งพระทั้งชีก็ปรารถนาที่จะมาหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ทำความเข้าใจกับสมมติ อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านเราก็พยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยน อยู่ในความหนักแน่น กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็พยายามละ ไม่มีอะไรมากเลย
กายของเรานี้แหละสนามรบเป็นอย่างดี ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เราพยายามรบกับกิเลส ขัดเกลากิเลสให้มันหมดจด เราก็อยู่ด้วยปัญญาจะลุก จะก้าว จะเดิน ทำอะไรเราก็อยู่ด้วยปัญญาอยู่ด้วยบุญ ตัวใจนั้นแหละคือตัวบุญ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลง ทั้งหลงทั้งเกิดสารพัดอย่าง ใจก็เลยมืดมิดด้วยอำนาจของกิเลส
เราพยายามหมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมขัดเกลาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราไม่อบรมเรา ไม่มีใครจะอบรมให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา จงพยายามแก้ไขตัวเรา
คำสอนนั้นครูบาอาจารย์พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน เราพยายามน้อมนำมาปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด เราก็จะอยู่กับบุญ อยู่กับจิตที่สะอาดบริสุทธ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
การพูดง่าย การลงมือการกระทำเราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ จะเอาตั้งแต่ปัญญาเก่าความคิดเก่า ปัญญาของกิเลสโลกๆ เขามาตัดสินเข้ามาแก้ไข อย่างนั้นมันไม่ใช่ เราต้องพยายามพลิกใจของเราให้อยู่ในกระแสธรรม ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมด อยู่ด้วยปัญญา มองเห็นความจริงทั้งทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายใน สนุกสร้างขึ้นมา
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 เมษายน 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย วิธีการสร้างความรู้ตัวซึ่งเรียกว่า ‘สติ’ รู้ให้ต่อเนื่องเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ปล่อยให้เป็นการหายใจแบบธรรมชาติ หายใจยาวก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจสั้นก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เป็นแค่เพียงการเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของตัวเรา
เราจงพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บก็รู้สัมผัสของลมหายใจปั๊บ รู้ให้ต่อเนื่อง ใจจะเกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอก ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ บางทีก็อาการของความคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วก็ปรุงแต่งส่งไปด้วยกันนั่นแหละ ใจรวมร่วมกับขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมนั่นแหละคือความหลง ความหลงในระดับหนึ่ง ความหลงระดับละเอียดลงไปเรื่อยๆๆ
การเกิดของใจนั่นคือความหลงอันลุ่มลึก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจหลงมาเกิดมาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปอีก แล้วก็เป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบความโลภความโกรธ กิเลสละเอียดพวกมลทินพวกนิวรณธรรมต่างๆ มองโลกในทางอคติเพ่งโทษ ยกตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ ทุกอย่างสารพัด ถ้ากำลังความรู้ตัวของเรามีเราก็จะเห็น ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็พยายามทำความเข้าใจ อันนี้ส่วนปัญญา แต่กำลังสติของเรายังไม่ต่อเนื่อง ยังเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ยังไม่ใช่ปัญญา เพียงแค่ผู้รู้ สร้างผู้รู้เข้าไปเห็นการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าไปดู รู้ เห็นการแยกการคลายซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม รู้ไม่ทันเราก็เริ่มใหม่ เอาใหม่
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงตรงนี้ก็ทำไม่ค่อยจะได้กัน ทีจะเข้าไปเห็นการเกิดการแยกการคลาย เข้าไปดู รู้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จัดระบบระเบียบของจิตใจของเราว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินตรงนี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียร มีความเพียรอย่างยิ่งยวด จงพยายามแก้ไขเรา มองดูรู้เห็นใจของเราจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็จะเข้าใจในหลักธรรม เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรคือความเกิดความดับของวิญญาณในกายของเรา อะไรคือความเกิดความดับของอาการของใจ ใจเกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเราละได้แล้วหรือยัง จนไม่เหลือที่จิตที่ใจของเรา ก็จงพยายาม พยายาม อย่าไปทิ้ง
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่ ค่อยสร้างสะสมบารมีของเราไป สะสมบารมีของเราวันละเล็กวันละน้อย สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าถึงธรรม อย่าพากันมองข้าม อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง บุญสมมติก็ทำให้เต็มเปี่ยม อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ แต่ตัววิมุตตินี่ก็รู้กันอยู่ แต่การละกิเลสไม่ค่อยได้การดับความเกิดไม่ค่อยได้ ก็เลยไม่เหมารวมกันทั้งก้อน อันนี้ใจ อันนี้อาการของขันธ์ห้า อันนี้ของปัญญา รวมกันไปหมดทั้งก้อน
เราต้องสร้างความรู้ตัวส่วนบนส่วนสมองเข้าไปดู รู้การเกิดการดับอยู่ที่กลางใจของเรามีกันทุกคน แต่ละวันแต่ละเวลาบางทีก็มีเยอะเอาเสียจริงๆ ถ้าเราเจริญสติให้เข้มแข็งไปดูรู้ให้เท่าทันเราก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็พยายามทำความเข้าใจ รู้ความเป็นจริงแล้วก็ค่อยละทีละเล็กละน้อย มาอบรมใจ เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา
การเกิดเป็นทุกข์เราก็พยายามดับความเกิด การเป็นทาสของกิเลสพยายามขัดเกลากิเลส เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา แต่หน้าตาอาการเขาเป็นอย่างไรตรงนั้นเราเข้าไม่ถึงเลย แถมกลับส่งเสริมไปเลย กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจเราไปร่วมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจปรุงแต่งไป มีกันหมดทุกคน อยู่ในกายของเรานี่แหละ
พยายามเจริญสติ เอาสติปัญญาไปใช้การใช้งาน กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ละเราก็ดับ เราต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าเราก็จะเข้าใจในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจในเรื่องวิบากของกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมใหม่ถ้าเราทำความเข้าใจได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิริยาของกายของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทางประโยชน์ของสมมติเราก็ทำหน้าที่อันนี้คือโลกธรรม อันนี้ปัจจัยสี่ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เราต้องจัดระบบระเบียบภายในของเราให้เรียบร้อย
การเกิดของใจเราก็ไม่ให้เกิด ใจเป็นทาสของกิเลสเราก็ขัดเกลากิเลสทำในสิ่งตรงกันข้ามเขา ช่วงใหม่ๆ ก็น่าเบื่อหน่าย ถ้าเราเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็น กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ต่อไปข้างหน้าใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากกิเลส วิเวกจากขันธ์ห้า จะมีตั้งแต่ความสุข เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเราเริ่มใหม่ พลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนเริ่มใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุด เหตุผลทางด้านสมมติก็มี เหตุผลทางด้านวิมุตติ การเกิดการดับ การแยกการคลาย ทำใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราเข้าถึงเราจะรู้ทันทีว่าพระพุทธองค์มีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง ท่านตรัสรู้เรื่องของชีวิต หลักอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยการขัดเกลากิเลส ท่านชี้แนะบอกแนวทางเอาไว้ให้หมดทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายหรือไม่ จุดมุ่งหมายปลายทางของชีวิตอยู่ที่ไหน เราก็ต้องดู
ทั้งพระทั้งชีก็ปรารถนาที่จะมาหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ทำความเข้าใจกับสมมติ อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านเราก็พยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยน อยู่ในความหนักแน่น กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็พยายามละ ไม่มีอะไรมากเลย
กายของเรานี้แหละสนามรบเป็นอย่างดี ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย เราพยายามรบกับกิเลส ขัดเกลากิเลสให้มันหมดจด เราก็อยู่ด้วยปัญญาจะลุก จะก้าว จะเดิน ทำอะไรเราก็อยู่ด้วยปัญญาอยู่ด้วยบุญ ตัวใจนั้นแหละคือตัวบุญ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลง ทั้งหลงทั้งเกิดสารพัดอย่าง ใจก็เลยมืดมิดด้วยอำนาจของกิเลส
เราพยายามหมั่นเจริญสติเข้าไปอบรมขัดเกลาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราไม่อบรมเรา ไม่มีใครจะอบรมให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา จงพยายามแก้ไขตัวเรา
คำสอนนั้นครูบาอาจารย์พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน เราพยายามน้อมนำมาปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด เราก็จะอยู่กับบุญ อยู่กับจิตที่สะอาดบริสุทธ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
การพูดง่าย การลงมือการกระทำเราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ จะเอาตั้งแต่ปัญญาเก่าความคิดเก่า ปัญญาของกิเลสโลกๆ เขามาตัดสินเข้ามาแก้ไข อย่างนั้นมันไม่ใช่ เราต้องพยายามพลิกใจของเราให้อยู่ในกระแสธรรม ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมด อยู่ด้วยปัญญา มองเห็นความจริงทั้งทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายใน สนุกสร้างขึ้นมา
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ