หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 85 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 85 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 85
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดขณะที่เรากําลังเจริญสติอยู่นี้ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติ สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็งเอาไปใช้การใช้งานได้ เอาไปอบรมใจของเราได้
เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งยึด สารพัดอย่าง ความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ความเกิด ทีนี้เขาเกิดอยู่ใน 2 ระดับ เกิดมาทางกายเนื้อ ทางด้านมนุษย์เขาเรียกว่า ภพมนุษย์ ซึ่งมีลมหายใจอยู่นี่แหละเขาเรียกว่า ภพมนุษย์ ขณะอยู่ในกายของเราวิญญาณในกายของเรายังเกิดต่ออีก นั่นแหละความเกิดอีก ความเกิดส่งออกไปภายนอกที่ท่านเรียกว่า สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์
ใจเกิดส่งออกไปภายนอก ทั้งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เราไม่มีสติที่จะเข้าไปควบคุม เข้าไปอบรม เข้าไปดูแล ก็เลยไปตามอำนาจของกรรม ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมก็มาร่วมปรุงแต่งไปกับใจ รวมกันไป บางครั้งบางคราวก็รวมกันไปทั้งสติปัญญา ทั้งวิญญาณในกาย ทั้งความคิดซึ่งมีอยู่ ความคิดตรงนี้มีอยู่แต่เดิม ท่านถึงให้เจริญสติให้เข้มแข็งเอาไปอบรมใจ ไปปรับปรุงสภาพใจของตัวเรา แก้ไขใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น
การเกิดของใจเป็นอย่างไรบ้าง ความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง ละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลส ที่เกิดจากตัวใจของเรา หมั่นอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละเขาเรียกว่า ตนตัวแรก ตนตัวที่สอง คือใจ เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะว่าเราไม่ยึด ถ้าเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง
กําลังสติของเราถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ เราพยายามเจริญสติปัญญาเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ แยกแยะให้ได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร นี่ทวารทั้งหกหรือว่า หู ตา จมูก ลิ้น กาย ของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามทำความเข้าใจภาษาโลกภาษาธรรม
ภาษาโลก คือสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ความคิดต่างๆ นี่แหละ เราพยายามทำความเข้าใจ ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร เราถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต การบริหารสมมติวิมุตติ ท่านจึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่เวลานี้ ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย เป็นทาสของกิเลสด้วย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีอยู่ในใจของเราหมด พยายามเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไข มีแต่เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนมากก็มองตั้งแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น ท่านให้สนใจเรื่องของเรา
คำว่าการเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มันเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร กองวิญญาณ กองรูป กองนาม กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เขาเกิดอย่างไร นี่เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรในการเจริญสติ ในการเจริญสติเอาไปอบรมใจของเรา จนเห็นเหตุเห็นผลหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ ท่านถึงเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เพียงแค่เริ่มต้น
ถ้าเราแยกแยะได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจได้ เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ถ้าเราแยกแยะได้ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็น เราก็จะรู้ความจริงว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเรา หรือว่าสติก็จะพุ่งเร็วไวขึ้น ตามดูตามรู้ตามเห็น ตามทำความเข้าใจจนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกาย รอบรู้ในสมมติ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกไปได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ ก็ต้องพยายาม พยายามทำความเข้าใจ ไม่เหลือวิสัย
เราอย่าไปปิดกั้นตัวของเรา จงเปิดโอกาสให้ตัวเรา แล้วก็ดำเนินประพฤติปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านชี้แนะแนวทางอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ จนเกิดผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย ท่านให้เชื่อด้วยสติ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็พยายามทำ
วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ขณะนี้เรายังอยู่ในภพของมนุษย์ มีร่างกายมีขันธ์ห้า ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ ขณะที่ยังมีกําลังกายอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามพิจารณา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จนไม่มีอะไรที่จะไปละ จนไม่มีอะไรที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ มีตั้งแต่ดูก็รู้ ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้ดู ผู้รู้ ธาตุรู้กับผู้รู้เขาทำหน้าที่พร้อมกัน แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องมาขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้ได้
แม้แต่ระดับของสมมติเราก็พยายามทำความเข้าใจ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ต้องจําแนกแจกแจงให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ภาษาโลกเป็นอย่างไร เราก็ต้องศึกษาค้นคว้า ถ้าเราไม่ศึกษาตัวเรา ไม่มีใครจะศึกษาตัวเราให้ได้ พระพุทธองค์ท่านก็เป็นคนองค์ค้นพบ แล้วก็มาจําแนกแจกแจง พวกเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามก็ไม่เข้าถึงคําสอนของท่าน ไม่เข้าถึงแก่นแท้ในดวงใจของเรา ก็ต้องพยายามนะ พยายาม
เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่ามีความเกิดก็มีความตาย ไม่อยากตายก็ต้องดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด กายเนื้อจากดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงละไม่ได้หมดในสิ่งที่พวกเราทำ ก็จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ไม่หลุดพ้นในภพมนุษย์ก็ต้องไปหลุดพ้นในภพข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน เพราะว่าภพนี้มีภพหน้ามี สวรรค์นิพพานมี นรกมี เราก็ต้องพยายามแก้ไขให้ได้ขณะที่ยังมีกายเนื้ออยู่ กายเนื้อแตกดับ ก็เหลือแต่เรื่องบุญเรื่องบาป สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ละทั้งบุญละทั้งบาปไม่ยึดติด ใจของเราก็อยู่กับบุญตลอดเวลา หลายสิ่งหลายอย่าง เราเกิดมาเพื่อพัฒนาตัวเอง แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
ตื่นขึ้นมาการเกิดของใจ อาการของใจเป็นอย่างไรบ้าง ความเกิดความดับเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับได้อย่างไร ต้องดูต้องรู้ต้องเห็น รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับ เขาเรียกว่า ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเดินบ้าง ทำความเข้าใจบ่อยๆ อบรมใจของเราบ่อยๆ ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่น มองโลกในทางที่ไม่ดี เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงให้มองโลกในทางที่ดี มองย้อนลงไปถึงต้นเหตุ ต้นเหตุตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่การเกิดของใจของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดของสติปัญญาเขาไปทำหน้าที่แทนเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำกายให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดขณะที่เรากําลังเจริญสติอยู่นี้ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติ สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเข้มแข็งเอาไปใช้การใช้งานได้ เอาไปอบรมใจของเราได้
เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งยึด สารพัดอย่าง ความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ความเกิด ทีนี้เขาเกิดอยู่ใน 2 ระดับ เกิดมาทางกายเนื้อ ทางด้านมนุษย์เขาเรียกว่า ภพมนุษย์ ซึ่งมีลมหายใจอยู่นี่แหละเขาเรียกว่า ภพมนุษย์ ขณะอยู่ในกายของเราวิญญาณในกายของเรายังเกิดต่ออีก นั่นแหละความเกิดอีก ความเกิดส่งออกไปภายนอกที่ท่านเรียกว่า สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์
ใจเกิดส่งออกไปภายนอก ทั้งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เราไม่มีสติที่จะเข้าไปควบคุม เข้าไปอบรม เข้าไปดูแล ก็เลยไปตามอำนาจของกรรม ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมก็มาร่วมปรุงแต่งไปกับใจ รวมกันไป บางครั้งบางคราวก็รวมกันไปทั้งสติปัญญา ทั้งวิญญาณในกาย ทั้งความคิดซึ่งมีอยู่ ความคิดตรงนี้มีอยู่แต่เดิม ท่านถึงให้เจริญสติให้เข้มแข็งเอาไปอบรมใจ ไปปรับปรุงสภาพใจของตัวเรา แก้ไขใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น
การเกิดของใจเป็นอย่างไรบ้าง ความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง ละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลส ที่เกิดจากตัวใจของเรา หมั่นอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละเขาเรียกว่า ตนตัวแรก ตนตัวที่สอง คือใจ เวลานี้เขาทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะว่าเราไม่ยึด ถ้าเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนามได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง
กําลังสติของเราถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ เราพยายามเจริญสติปัญญาเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ แยกแยะให้ได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร นี่ทวารทั้งหกหรือว่า หู ตา จมูก ลิ้น กาย ของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามทำความเข้าใจภาษาโลกภาษาธรรม
ภาษาโลก คือสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ความคิดต่างๆ นี่แหละ เราพยายามทำความเข้าใจ ใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไร เราถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต การบริหารสมมติวิมุตติ ท่านจึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่เวลานี้ ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย ยึดด้วย เป็นทาสของกิเลสด้วย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีอยู่ในใจของเราหมด พยายามเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไข มีแต่เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ส่วนมากก็มองตั้งแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น ท่านให้สนใจเรื่องของเรา
คำว่าการเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มันเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร กองวิญญาณ กองรูป กองนาม กองความคิด กองอารมณ์ต่างๆ เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง เขาเกิดอย่างไร นี่เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรในการเจริญสติ ในการเจริญสติเอาไปอบรมใจของเรา จนเห็นเหตุเห็นผลหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ ท่านถึงเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เพียงแค่เริ่มต้น
ถ้าเราแยกแยะได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจได้ เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ถ้าเราแยกแยะได้ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็น เราก็จะรู้ความจริงว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเรา หรือว่าสติก็จะพุ่งเร็วไวขึ้น ตามดูตามรู้ตามเห็น ตามทำความเข้าใจจนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกาย รอบรู้ในสมมติ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกไปได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ ก็ต้องพยายาม พยายามทำความเข้าใจ ไม่เหลือวิสัย
เราอย่าไปปิดกั้นตัวของเรา จงเปิดโอกาสให้ตัวเรา แล้วก็ดำเนินประพฤติปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านชี้แนะแนวทางอย่างนี้ ให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ จนเกิดผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย ท่านให้เชื่อด้วยสติ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็พยายามทำ
วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ขณะนี้เรายังอยู่ในภพของมนุษย์ มีร่างกายมีขันธ์ห้า ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ ขณะที่ยังมีกําลังกายอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามพิจารณา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จนไม่มีอะไรที่จะไปละ จนไม่มีอะไรที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ มีตั้งแต่ดูก็รู้ ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้ดู ผู้รู้ ธาตุรู้กับผู้รู้เขาทำหน้าที่พร้อมกัน แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด เราต้องมาขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้ได้
แม้แต่ระดับของสมมติเราก็พยายามทำความเข้าใจ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ต้องจําแนกแจกแจงให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ภาษาโลกเป็นอย่างไร เราก็ต้องศึกษาค้นคว้า ถ้าเราไม่ศึกษาตัวเรา ไม่มีใครจะศึกษาตัวเราให้ได้ พระพุทธองค์ท่านก็เป็นคนองค์ค้นพบ แล้วก็มาจําแนกแจกแจง พวกเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามก็ไม่เข้าถึงคําสอนของท่าน ไม่เข้าถึงแก่นแท้ในดวงใจของเรา ก็ต้องพยายามนะ พยายาม
เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่ามีความเกิดก็มีความตาย ไม่อยากตายก็ต้องดับความเกิด ละกิเลสให้หมดจด กายเนื้อจากดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงละไม่ได้หมดในสิ่งที่พวกเราทำ ก็จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ไม่หลุดพ้นในภพมนุษย์ก็ต้องไปหลุดพ้นในภพข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน เพราะว่าภพนี้มีภพหน้ามี สวรรค์นิพพานมี นรกมี เราก็ต้องพยายามแก้ไขให้ได้ขณะที่ยังมีกายเนื้ออยู่ กายเนื้อแตกดับ ก็เหลือแต่เรื่องบุญเรื่องบาป สูงขึ้นไปก็สร้างบุญ ละทั้งบุญละทั้งบาปไม่ยึดติด ใจของเราก็อยู่กับบุญตลอดเวลา หลายสิ่งหลายอย่าง เราเกิดมาเพื่อพัฒนาตัวเอง แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
ตื่นขึ้นมาการเกิดของใจ อาการของใจเป็นอย่างไรบ้าง ความเกิดความดับเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับได้อย่างไร ต้องดูต้องรู้ต้องเห็น รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักดับ เขาเรียกว่า ใช้สมถะเข้าไปดับ อยู่กับลมหายใจบ้าง อยู่กับการเดินบ้าง ทำความเข้าใจบ่อยๆ อบรมใจของเราบ่อยๆ ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ละความตระหนี่เหนียวแน่น มองโลกในทางที่ไม่ดี เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงให้มองโลกในทางที่ดี มองย้อนลงไปถึงต้นเหตุ ต้นเหตุตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่การเกิดของใจของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดของสติปัญญาเขาไปทำหน้าที่แทนเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำกายให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ