หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 82 วันที่ 30 ตุลาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 82 วันที่ 30 ตุลาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 82
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 ตุลาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบีบบังคับลมหายใจ อย่าไปกลั้นลมหายใจ ปล่อยให้ลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด บางครั้งบางคราว เวลาจะรู้ เวลาจะสังเกตลมหายใจ ทำไมกายถึงอึดอัด ทำไมถึงแน่นท้อง สารพัดอย่างที่กิเลสต่างๆ เขาไม่อยากจะให้เราได้ทำความเข้าใจ เราก็ต้องพยายาม
ลักษณะของการเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา เพื่อที่จะไปขัดเกลากิเลสซึ่งเกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเรานี้เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกายซึ่งมีขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า เป็นกองเป็นขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย ลึกลงไปก็รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ละกิเลสออกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่แยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ความเห็นถูกก็ไม่ปรากฏขึ้น ถ้าเราแยกได้ ใจหงายออก แยกออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวของเราก็จะมองเห็นลักษณะอัตตากับอนัตตา รู้ลักษณะความว่างเปล่า
ถ้าความรู้ตัวของเราตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ ซึ่งใจของเราก็ไปหลงเข้าไปรวม ทำให้กายก็หนัก ใจก็หนัก กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน จนทำความเข้าใจได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นความเป็นจริงในร่างกายของเรา แล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ซึ่งท่านเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละ ตนตัวที่สองคือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งเป็นทาสกิเลส สารพัดอย่าง กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้จนกว่ากําลังกุศลหรือว่ากําลังฝ่ายสติ กําลังฝ่ายกุศลจะมีพลังมีกําลังมากเขาถึงจะยอม เขาถึงจะคลาย
การฝึกหัดปฏิบัติธรรม ก็คือปฏิบัติกายวาจาใจของเราให้ถูกต้อง ไม่ปล่อยปละละเลย จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ข้อวัตรปฏิบัติ รักษาศีล เจริญภาวนา ความหมายจุดหมายปลายทางก็คือคลายความหลง แล้วก็ละกิเลส ละกิเลสให้ใจของเราเบาบางจากกิเลสจนกิเลสไม่มี จนใจไม่เกิดกิเลส จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ความว่าง
ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในวิหารธรรมคือเครื่องอยู่ ความว่างคือเครื่องอยู่ของใจ แต่เวลานี้ทั้งเกิด ทั้งหลงทั้งยึด ยึด ยึดในกายยังไม่พอ เป็นทาสกิเลสอีกด้วย ยึดในโลกธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยหนัก กายก็หนัก ใจก็หนัก เรามาศึกษาทำความเข้าใจ ถ้าเราเกียจคร้านเราก็ไม่เข้าใจทุกอิริยาบถ ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ตากระทบรูป ใจเป็น ใจไม่เกิดเป็นอย่างนี้ หูกระทบเสียง สารพัดอย่าง ท่านถึงบอกว่าให้แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจ ทวารทั้งหกเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราไปห้ามไม่ได้ เรามีสติปัญญาไปห้ามใจ ไปขัดกิเลสออกจากใจของเรา จนใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์
อาศัยอยู่ในกายนี้ กายแตกดับเมื่อไรก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความเกิดไม่มีหรือว่าเรียกว่า นิพพาน นิพพานคือความสงบเย็น การเกิดไม่มี ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ตราบใดที่เรายังละกิเลสไม่หมด ละกิเลสยังไม่ได้ ก็ขอให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล หมั่นทำคุณงามความดีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา สูงขึ้นไปก็ยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือกรรมต่างๆ มองเห็นหนทางเดินทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน
ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด มีวิญญาณมาครองเหมือนกันหมด แต่จะมีกิเลสมากกิเลสน้อยก็ขึ้นอยู่กับการขัดเกลาการเอาออก ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งให้คนโน่นเอากิเลสออกให้ คนนี้เอากิเลสออกให้ เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น อยู่คนเดียวเราก็ดูใจเรา อยู่หลายคนเราก็ดูใจเรา ขณะนี้ใจปกติ ใจสงบ ใจไม่มีกิเลส จะลุกจะก้าวจะเดิน จนสติปัญญาทำความเข้าใจ รักษาเราได้ ช่วงใหม่ๆ สติปัญญาเราต้องสร้าง สร้างขึ้นมา แล้วก็ไปทำความเข้าใจ ขัดเกลากิเลสออก ก็ต้องพยายามกันนะ
อันนี้ก็ใกล้ ใกล้วันงานกฐิน วันงานกฐินก็วันที่ 11 ที่จะถึง ก็เหลืออีกสัก 10 วัน 11 วัน งานกฐินของเราก็เชิญพี่น้องของเรามาร่วมกัน มาร่วมอนุโมทนากฐินด้วยกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด เราพยายามทำ ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เราทำลงไปแล้วอานิสงส์ก็ตกถึงเรา ไม่ได้ลําบาก ไม่ว่าจะตกอยู่ในที่ไหนก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 ตุลาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องประนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบีบบังคับลมหายใจ อย่าไปกลั้นลมหายใจ ปล่อยให้ลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด บางครั้งบางคราว เวลาจะรู้ เวลาจะสังเกตลมหายใจ ทำไมกายถึงอึดอัด ทำไมถึงแน่นท้อง สารพัดอย่างที่กิเลสต่างๆ เขาไม่อยากจะให้เราได้ทำความเข้าใจ เราก็ต้องพยายาม
ลักษณะของการเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา เพื่อที่จะไปขัดเกลากิเลสซึ่งเกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเรานี้เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างอัตภาพร่างกายซึ่งมีขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า เป็นกองเป็นขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กาย ลึกลงไปก็รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ละกิเลสออกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่แยกรูปแยกนามซึ่งเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ความเห็นถูกก็ไม่ปรากฏขึ้น ถ้าเราแยกได้ ใจหงายออก แยกออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวของเราก็จะมองเห็นลักษณะอัตตากับอนัตตา รู้ลักษณะความว่างเปล่า
ถ้าความรู้ตัวของเราตามเห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ ซึ่งใจของเราก็ไปหลงเข้าไปรวม ทำให้กายก็หนัก ใจก็หนัก กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน จนทำความเข้าใจได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นความเป็นจริงในร่างกายของเรา แล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ซึ่งท่านเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี้แหละ ตนตัวที่สองคือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งเป็นทาสกิเลส สารพัดอย่าง กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้จนกว่ากําลังกุศลหรือว่ากําลังฝ่ายสติ กําลังฝ่ายกุศลจะมีพลังมีกําลังมากเขาถึงจะยอม เขาถึงจะคลาย
การฝึกหัดปฏิบัติธรรม ก็คือปฏิบัติกายวาจาใจของเราให้ถูกต้อง ไม่ปล่อยปละละเลย จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ จะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ข้อวัตรปฏิบัติ รักษาศีล เจริญภาวนา ความหมายจุดหมายปลายทางก็คือคลายความหลง แล้วก็ละกิเลส ละกิเลสให้ใจของเราเบาบางจากกิเลสจนกิเลสไม่มี จนใจไม่เกิดกิเลส จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ความว่าง
ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในวิหารธรรมคือเครื่องอยู่ ความว่างคือเครื่องอยู่ของใจ แต่เวลานี้ทั้งเกิด ทั้งหลงทั้งยึด ยึด ยึดในกายยังไม่พอ เป็นทาสกิเลสอีกด้วย ยึดในโลกธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยหนัก กายก็หนัก ใจก็หนัก เรามาศึกษาทำความเข้าใจ ถ้าเราเกียจคร้านเราก็ไม่เข้าใจทุกอิริยาบถ ลักษณะของการเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ตากระทบรูป ใจเป็น ใจไม่เกิดเป็นอย่างนี้ หูกระทบเสียง สารพัดอย่าง ท่านถึงบอกว่าให้แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจ ทวารทั้งหกเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราไปห้ามไม่ได้ เรามีสติปัญญาไปห้ามใจ ไปขัดกิเลสออกจากใจของเรา จนใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์
อาศัยอยู่ในกายนี้ กายแตกดับเมื่อไรก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความเกิดไม่มีหรือว่าเรียกว่า นิพพาน นิพพานคือความสงบเย็น การเกิดไม่มี ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ตราบใดที่เรายังละกิเลสไม่หมด ละกิเลสยังไม่ได้ ก็ขอให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล หมั่นทำคุณงามความดีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา สูงขึ้นไปก็ยกระดับใจของเราให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือกรรมต่างๆ มองเห็นหนทางเดินทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน
ทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี มีขันธ์ห้าเหมือนกันหมด มีวิญญาณมาครองเหมือนกันหมด แต่จะมีกิเลสมากกิเลสน้อยก็ขึ้นอยู่กับการขัดเกลาการเอาออก ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งให้คนโน่นเอากิเลสออกให้ คนนี้เอากิเลสออกให้ เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น อยู่คนเดียวเราก็ดูใจเรา อยู่หลายคนเราก็ดูใจเรา ขณะนี้ใจปกติ ใจสงบ ใจไม่มีกิเลส จะลุกจะก้าวจะเดิน จนสติปัญญาทำความเข้าใจ รักษาเราได้ ช่วงใหม่ๆ สติปัญญาเราต้องสร้าง สร้างขึ้นมา แล้วก็ไปทำความเข้าใจ ขัดเกลากิเลสออก ก็ต้องพยายามกันนะ
อันนี้ก็ใกล้ ใกล้วันงานกฐิน วันงานกฐินก็วันที่ 11 ที่จะถึง ก็เหลืออีกสัก 10 วัน 11 วัน งานกฐินของเราก็เชิญพี่น้องของเรามาร่วมกัน มาร่วมอนุโมทนากฐินด้วยกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด เราพยายามทำ ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เราทำลงไปแล้วอานิสงส์ก็ตกถึงเรา ไม่ได้ลําบาก ไม่ว่าจะตกอยู่ในที่ไหนก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ