หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 49 วันที่ 21 กรกฏาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 49 วันที่ 21 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 49
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จากหนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที ความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นเขามีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า อันนั้นเขามีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นการรวมของใจกับขันธ์ห้ารวมกัน แล้วส่งออกไปภายนอก เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เห็นโรงละครโรงใหญ่เลย เห็นผู้แสดงทั้งเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ทั้งอยู่ในกองบุญบ้างอยู่ในกองอกุศลบ้าง สารพัดอย่างที่เขาจะแสดงให้เราเห็น
ถ้าเรามีความรู้ตัวหรือว่ามาเจริญสติเจริญปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจพลิกหงายขึ้นมา ใจว่าง กายโล่ง ใจโปร่ง เบาสบาย ความรู้ตัวของเราก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าของเรา คือความเกิดของความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ
ในหลักธรรมท่านว่าความไม่เที่ยง ท่านว่าเป็นทุกข์ เพราะว่าความไม่ได้ตั้งอยู่ ความไม่ได้อยู่ถาวร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความคิดของเรานั่นแหละ บางทีก็เกิดจากตัวใจบ้าง บางทีก็เกิดจากอาการของขันธ์ห้า มารวมปรุงแต่งไปด้วยกันกับใจ บางทีก็รวมกันไปทั้งสติปัญญาเป็นก้อน เป็นวงกลมหมุนกันไป อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ
แต่ในหลักธรรมแล้ว พระพุทธองค์ให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาไปควบคุมใจ ควบคุมกาย ควบคุมวาจา แล้วก็เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง จนใจของเราปล่อยวางได้นั่นแหละ ความสุขที่ถาวรก็จะเกิดขึ้น ความสุขที่ใจปราศจากกิเลส ใจปราศจากการเกิด ใจปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งทุกอย่าง
ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาสร้างภพมนุษย์ คือมาสร้างร่างกายของเรา ซึ่งพระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติลงจําแนกแจกแจงลงที่กายของเราจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะปรากฏหรือว่าสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกในหลักธรรม ตามเห็นความเกิดความดับ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา รู้การละกิเลสที่ใจของเรา
เราละกิเลสด้วยการสร้างตบะสร้างความเพียร ใจของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจของเรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจมีความโกรธเราก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ใจมีความโลภความทะเยอทะยานอยาก เราก็พยายามละ ละความโลภ พยายามละการเกิด ดับการเกิดของใจ ออกจากใจ ละกิเลสออกจากใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ภาษาธรรมภาษาโลก สมมติวิมุตติ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราจงพยายามจําแนกแจกแจงให้เห็นชัดเจน ไม่เหลือวิสัยเพราะว่าทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีศรัทธา แต่ขอให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง แต่เวลานี้เป็นศรัทธาที่อยู่ในบุญ ยังอยู่ในบุญ แต่การเดินปัญญายังไม่ทะลุปรุโปร่ง เราก็ค่อยพยายามเอา ทำไปทีละเล็กทีละน้อย
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เราละความเห็นแก่ตัว เรามีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเองหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หนักแน่น มองโลกในทางที่ดีหรือไม่ เราก็พยายามค่อยๆ แก้ไขไป ไม่เข้าใจวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าวันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี เราเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ ภพสัตว์เดรัจฉาน ภพมนุษย์ แล้วก็สวรรค์ พรหม นิพพาน มีหมดๆ เราอย่าไปมองข้าม ถ้าเรามาปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธองค์ ให้เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นที่จะไปแก้ไข อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราก็พยายามละ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็พยายามสร้าง พยายามทำให้มีให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ในปัจจุบันนี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง สักนาทีสองนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ใจให้ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูกของเรา อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จากหนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที ความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นเขามีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า อันนั้นเขามีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นการรวมของใจกับขันธ์ห้ารวมกัน แล้วส่งออกไปภายนอก เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุเราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็นอะไรดีๆ เยอะอยู่ในกายของเรา เห็นโรงละครโรงใหญ่เลย เห็นผู้แสดงทั้งเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ทั้งอยู่ในกองบุญบ้างอยู่ในกองอกุศลบ้าง สารพัดอย่างที่เขาจะแสดงให้เราเห็น
ถ้าเรามีความรู้ตัวหรือว่ามาเจริญสติเจริญปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจพลิกหงายขึ้นมา ใจว่าง กายโล่ง ใจโปร่ง เบาสบาย ความรู้ตัวของเราก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าของเรา คือความเกิดของความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ
ในหลักธรรมท่านว่าความไม่เที่ยง ท่านว่าเป็นทุกข์ เพราะว่าความไม่ได้ตั้งอยู่ ความไม่ได้อยู่ถาวร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความคิดของเรานั่นแหละ บางทีก็เกิดจากตัวใจบ้าง บางทีก็เกิดจากอาการของขันธ์ห้า มารวมปรุงแต่งไปด้วยกันกับใจ บางทีก็รวมกันไปทั้งสติปัญญาเป็นก้อน เป็นวงกลมหมุนกันไป อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ
แต่ในหลักธรรมแล้ว พระพุทธองค์ให้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เอาไปควบคุมใจ ควบคุมกาย ควบคุมวาจา แล้วก็เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง จนใจของเราปล่อยวางได้นั่นแหละ ความสุขที่ถาวรก็จะเกิดขึ้น ความสุขที่ใจปราศจากกิเลส ใจปราศจากการเกิด ใจปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่งทุกอย่าง
ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาสร้างภพมนุษย์ คือมาสร้างร่างกายของเรา ซึ่งพระพุทธองค์ท่านให้เจริญสติลงจําแนกแจกแจงลงที่กายของเราจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะปรากฏหรือว่าสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกในหลักธรรม ตามเห็นความเกิดความดับ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา รู้การละกิเลสที่ใจของเรา
เราละกิเลสด้วยการสร้างตบะสร้างความเพียร ใจของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภ ใจของเรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจมีความโกรธเราก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ใจมีความโลภความทะเยอทะยานอยาก เราก็พยายามละ ละความโลภ พยายามละการเกิด ดับการเกิดของใจ ออกจากใจ ละกิเลสออกจากใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ภาษาธรรมภาษาโลก สมมติวิมุตติ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราจงพยายามจําแนกแจกแจงให้เห็นชัดเจน ไม่เหลือวิสัยเพราะว่าทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีศรัทธา แต่ขอให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนารู้แจ้งเห็นจริง แต่เวลานี้เป็นศรัทธาที่อยู่ในบุญ ยังอยู่ในบุญ แต่การเดินปัญญายังไม่ทะลุปรุโปร่ง เราก็ค่อยพยายามเอา ทำไปทีละเล็กทีละน้อย
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เราละความเห็นแก่ตัว เรามีสัจจะ มีความจริงใจต่อตัวเองหรือไม่ จิตใจของเรามีความอ่อนโยน หนักแน่น มองโลกในทางที่ดีหรือไม่ เราก็พยายามค่อยๆ แก้ไขไป ไม่เข้าใจวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่าวันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี เราเกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ ภพสัตว์เดรัจฉาน ภพมนุษย์ แล้วก็สวรรค์ พรหม นิพพาน มีหมดๆ เราอย่าไปมองข้าม ถ้าเรามาปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธองค์ ให้เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นที่จะไปแก้ไข อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราก็พยายามละ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็พยายามสร้าง พยายามทำให้มีให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ในปัจจุบันนี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง สักนาทีสองนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ใจให้ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าสัมผัสของลมหายใจกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ