หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 39 วันที่ 10 มิถุนายน 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 39 วันที่ 10 มิถุนายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 39
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยการเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหายไป ก็จะหยุดไป ความรู้สึกที่ลมกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ความรู้ตัว พยายามสร้างความรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องเราก็จะได้มองเห็น เราก็จะได้รู้ รู้ว่าตั้งแต่ก่อนที่ผ่านมาความรู้ตัวตรงนี้ไม่มีเลย ถึงมีก็กระท่อนกระแท่น เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดนั้นมีอยู่เดิม เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็งแล้วก็ให้รู้ทันการก่อตัวการเกิดของใจ รู้ไม่ทันเราก็พยายามดับเอาไว้ ในกายของเรานี้มีอะไรเยอะ มีความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เห็นความเกิดความดับ เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนว่าเรื่องอะไร คำว่าอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร
เราต้องมาสร้างผู้รู้ คือมาสร้างสติ ใจของเรานั่นแหละคือรู้ ธาตุรู้กับผู้รู้ ผู้รู้คือสติ ตัวใจนั้นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ทั้งเกิด ทั้งหลงทั้งยึด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม นั่นท่านถึงเรียกว่า ความเห็นถูกปรากฏ เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้นี่ความเห็นผิด ก็ความเห็นถูกก็ไม่ปรากฎ แต่อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมยังผิดอยู่ เพราะว่าใจยังหลงยังเกิดอยู่
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์แก้ไข รู้เท่าทัน รู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็พยายามอดทนอดกลั้น เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ นี้กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ ใจ การเกิดของใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ การเกิดของขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรม ชี้เหตุชี้ผล รู้ไม่ทันต้นเหตุดับเอาไว้ก่อน ทำบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เห็นแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าอัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ การขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ เข้าสู่วิปัสสนาญาณ
คำว่า วิปัสสนา คือความรู้แจ้ง รู้แจ้งเห็นจริง เห็นใจของเรา ใจคลายออกจากความคิด เราขัดเกลากิเลสได้ ตัวไหนยังเหลืออยู่เราก็พยายามขัดเกลาเอาออกอยู่อย่างนั่นแหละ จนไม่เหลือกิเลสที่จะให้ขัดเกลา จนทำหน้าที่ อันนี้หน้าที่สมมติ อันนี้หน้าที่วิมุตติ ใจของเราว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส เรามองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง แต่สมมตินั้นมีอยู่ กายของเรานั้นเป็นก้อนสมมติ ดูแลเขาไปจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็พยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง กายวิเวก ก็ให้เต็มที่ ใจวิเวกจากกิเลสเป็นอย่างไร ละกิเลสเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยการเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหายไป ก็จะหยุดไป ความรู้สึกที่ลมกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ความรู้ตัว พยายามสร้างความรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องเราก็จะได้มองเห็น เราก็จะได้รู้ รู้ว่าตั้งแต่ก่อนที่ผ่านมาความรู้ตัวตรงนี้ไม่มีเลย ถึงมีก็กระท่อนกระแท่น เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดนั้นมีอยู่เดิม เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็งแล้วก็ให้รู้ทันการก่อตัวการเกิดของใจ รู้ไม่ทันเราก็พยายามดับเอาไว้ ในกายของเรานี้มีอะไรเยอะ มีความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เห็นความเกิดความดับ เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนว่าเรื่องอะไร คำว่าอัตตา อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร
เราต้องมาสร้างผู้รู้ คือมาสร้างสติ ใจของเรานั่นแหละคือรู้ ธาตุรู้กับผู้รู้ ผู้รู้คือสติ ตัวใจนั้นธาตุรู้ แต่เขาทั้งรู้ทั้งเกิด ทั้งหลงทั้งยึด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากความคิด แยกรูปแยกนาม นั่นท่านถึงเรียกว่า ความเห็นถูกปรากฏ เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้นี่ความเห็นผิด ก็ความเห็นถูกก็ไม่ปรากฎ แต่อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมยังผิดอยู่ เพราะว่าใจยังหลงยังเกิดอยู่
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์แก้ไข รู้เท่าทัน รู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็พยายามอดทนอดกลั้น เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ นี้กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ ใจ การเกิดของใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ การเกิดของขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรม ชี้เหตุชี้ผล รู้ไม่ทันต้นเหตุดับเอาไว้ก่อน ทำบ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เห็นแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าอัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ การขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ เข้าสู่วิปัสสนาญาณ
คำว่า วิปัสสนา คือความรู้แจ้ง รู้แจ้งเห็นจริง เห็นใจของเรา ใจคลายออกจากความคิด เราขัดเกลากิเลสได้ ตัวไหนยังเหลืออยู่เราก็พยายามขัดเกลาเอาออกอยู่อย่างนั่นแหละ จนไม่เหลือกิเลสที่จะให้ขัดเกลา จนทำหน้าที่ อันนี้หน้าที่สมมติ อันนี้หน้าที่วิมุตติ ใจของเราว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส เรามองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง แต่สมมตินั้นมีอยู่ กายของเรานั้นเป็นก้อนสมมติ ดูแลเขาไปจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็พยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง กายวิเวก ก็ให้เต็มที่ ใจวิเวกจากกิเลสเป็นอย่างไร ละกิเลสเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ