
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 66
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 66
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 66
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายและก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวสร้างความรู้สึกรับรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ นี่แหละเป็นการเจริญสติรู้กาย..เรามองข้าม เราอาจจะไปนึกเอาไปคิดเอา ไปแก้ปัญหาด้วยการคิดปรุงแต่ง ยิ่งปัญหายิ่งเยอะเพราะว่าเรา ใจของเรายังไม่สงบนิ่ง ใจของเรายังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า ใจของเรายังไม่ได้แยกออกจากความคิดออกจากอารมณ์ หรือว่าแยกรูปแยกนาม ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ความเกิดปิดบังตัวใจเอาไว้ ร่างกายขันธ์ห้าปิดบังตัวใจเอาไว้ กิเลสก็มาปิดบังตัวใจเอาไว้ ท่านถึงให้เจริญสติ มาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็งจนเอาไปใช้การใช้งานได้อบรมใจได้ บอกตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่ ทุกคนก็มีอานิสงส์ มีบุญมีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้พบคำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งท่านได้ค้นพบตั้งหลายร้อยหลายพันปี ความจริงสัจธรรมก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่พวกเราจะดำเนินตามแนวทางคำสอนของท่านหรือไม่เท่านั้นเอง
ศรัทธาความเชื่อของทุกคนนั้นมีกัน ความเสียสละ การฝักใฝ่ การสนใจ ในการสร้างบุญสร้างบารมี อันนั้นมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้มีความต่อเนื่อง มีความเข้มแข็ง มีสัมปชัญญะที่จะเอาไปใช้เอาไปอบรมใจ เราควบคุมใจตั้งแต่ต้นเหตุไม่ได้ เราก็พยายามหาอุบายหาวิธี อย่างเช่นการสร้างความรู้ตัวอยู่กับลมหายใจเข้าออกหรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ
หายใจเข้า..สัมผัสลมหายใจที่กระทบปลายจมูก เราก็ระลึกว่า ‘พุทธ’ ออก..ก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘โธ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ขณะที่เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม เราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นการเกิดของขันธ์ห้า เห็นใจกับขันธ์ห้าเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เรารู้เท่าทันตั้งแต่การเกิด ใจก็จะแยกดีดออกจากขันธ์ห้า ดีดออกจากความคิด นี่แหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’
เพียงแค่คลาย เพียงแค่เริ่มต้นของการเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกในหลักธรรม เห็นความเกิดความดับของจิตวิญญาณ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรื่องอะไร บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ ถ้าเราหัดสังเกตดูอยู่บ่อยๆ ตามดูเห็นเหตุเห็นผล เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ถ้าใจคลายจากขันธ์ห้า เราก็จะรู้เรื่องคำว่าอัตตากับอนัตตา
‘อัตตา’ คือตัวตน ‘อนัตตา’ คือความว่างเปล่า เห็นความเกิดความดับ ความตั้งอยู่ของความคิดของอารมณ์ ของขันธ์ห้า ที่ท่านว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในกายของเราทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปอบรมใจของตัวเราได้หรือไม่เท่านั้นเอง ท่านบอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเป็นทาสรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด
เราอาจจะว่าเราไม่หลง ตราบใดที่ยังเดินปัญญาแยกแยะไม่ได้เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะมองเห็นความเป็นจริงอยู่ในระดับของสมมติ มีความถูกต้องอยู่ แต่ก็ยังหลงยังผิดอยู่ เพราะว่ายังใจยังไม่ได้แยกได้คลายส่วนนามธรรมในร่างกายของเราถ้าแยกได้เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้น สติปัญญาของเราเป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ ของสมมติ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปละกิเลสที่ใจ ดับทุกข์ที่ใจ ชี้เหตุชี้ผลที่ใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างคุณงามความดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตใจของเรามีความปกติหรือไม่ จิตใจของเรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอ่อนโยน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา หรือว่าจิตใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติเคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ สมมติคือร่างกายของเรานี้แหละ เป็นก้อนสมมติ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้เลย นอกจากจะรู้ แยกแยะด้วยปัญญาปล่อยวางด้วยปัญญา อยู่กับสมมติ ถึงเวลาเขาแตกดับคืนสู่สภาพเดิมนั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติ ขาดจากสมมติจริงๆ
แต่เวลานี้ เราแยกแยะด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะว่าความเป็นจริงทุกคนเกิดมา ความมีความเกิดก็มีความตาย ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ถ้าถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ไม่อยู่ให้พวกเราทำความเข้าใจ ตายเฉพาะกายเนื้อ แต่จิตวิญญาณไม่ตาย เขายังไปเกิดต่อ ตราบใดเขายังเกิดอยู่ ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญแห่งกุศล ทำมาก บุญมากบุญน้อย บุญน้อยเราก็ทำ บุญมากเราก็ทำ บุญใหญ่เราก็ทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญ เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
แต่ส่วนมากการเจริญสติจะไม่ค่อยได้เอาสติไปใช้การใช้งาน แล้วก็ทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไหร่ เพราะความคิดเก่าปัญญาเก่า เขาเร็วเขาไว กิเลสอำนาจต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้ตั้งแต่ตัวใจก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมานาน เราต้องสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างกำลังสติให้เข้มแข็ง กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้แล้วชี้อีก เห็นแล้วเห็นอีก ทำความเข้าใจจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ จนใจปล่อยวางได้ เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริงได้เขาถึงจะปล่อยวางได้
กิเลสก็มีอยู่เยอะ อยู่ในใจของเราทั้งหยาบทั้งละเอียด เราต้องพยายามค่อยขุดค่อยเกลา ค่อยเลาะออกทีละเล็กละน้อย ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภด้วยการเอาออกด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็อยู่กับกองทุกข์ ทุกคนเกิดมาก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ พยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน วิบากกรรมนำมาแต่ละบุคคลแต่ละท่าน อาจจะสร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็มีกิเลสเบาบาง บางคนก็มีกิเลสหนา ให้เรามาขัดเกลาขณะยังมีลมหายใจอยู่
แนวทางคำสอนของพระพุทธองค์ท่านมีเพียบพร้อม ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยจำแนกแจกแจงไล่ไปดูตั้งแต่ต้นเหตุของกิเลส ของการเกิดของใจ ใจเกิด ความเกิดทางด้านรูปธรรม ความเกิดทางด้านนามธรรม ทางด้านรูปก็คือร่างกายของพวกเรานี้ได้เกิดมาแล้ว ซึ่งท่านว่าธาตุสี่ขันธ์ห้ามีวิญญาณคือตัวใจมาครอบครอง
ส่วนความเกิดความดับของใจ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ นั่นแหละ เรามาทำความเข้าใจกับความเกิดคือภพมนุษย์ ว่าธาตุสี่ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง รู้ความจริงตรงนี้แล้วก็ไปดับความเกิดที่ตัววิญญาณ ที่ตัวใจ ไม่ให้ไปเกิดที่ไหน ไม่ให้ไปก่อร่างสร้างภพอีกต่อไป เราดับ กายเนื้อแตกดับ ภพมนุษย์แตกดับ ใจก็เข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิด การตายมีการเกิดไม่มี นั่นแหละเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งทุกลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละเขาเรียกกันว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง ทุกคนก็มีการพลั้งเผลอ มีการผิดพลาดก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ว่าจะได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นหรือว่าพลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้นรีบตักตวงขวนขวายหากำไรชีวิต ในทางบุญทางกุศลให้เต็มเปี่ยม เราก็จะได้ไม่ลำบากในวันข้างหน้า
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายและก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวสร้างความรู้สึกรับรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ นี่แหละเป็นการเจริญสติรู้กาย..เรามองข้าม เราอาจจะไปนึกเอาไปคิดเอา ไปแก้ปัญหาด้วยการคิดปรุงแต่ง ยิ่งปัญหายิ่งเยอะเพราะว่าเรา ใจของเรายังไม่สงบนิ่ง ใจของเรายังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า ใจของเรายังไม่ได้แยกออกจากความคิดออกจากอารมณ์ หรือว่าแยกรูปแยกนาม ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ความเกิดปิดบังตัวใจเอาไว้ ร่างกายขันธ์ห้าปิดบังตัวใจเอาไว้ กิเลสก็มาปิดบังตัวใจเอาไว้ ท่านถึงให้เจริญสติ มาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็งจนเอาไปใช้การใช้งานได้อบรมใจได้ บอกตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาที่ยังมีลมหายใจอยู่ ทุกคนก็มีอานิสงส์ มีบุญมีวาสนาที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้พบคำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งท่านได้ค้นพบตั้งหลายร้อยหลายพันปี ความจริงสัจธรรมก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่พวกเราจะดำเนินตามแนวทางคำสอนของท่านหรือไม่เท่านั้นเอง
ศรัทธาความเชื่อของทุกคนนั้นมีกัน ความเสียสละ การฝักใฝ่ การสนใจ ในการสร้างบุญสร้างบารมี อันนั้นมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้มีความต่อเนื่อง มีความเข้มแข็ง มีสัมปชัญญะที่จะเอาไปใช้เอาไปอบรมใจ เราควบคุมใจตั้งแต่ต้นเหตุไม่ได้ เราก็พยายามหาอุบายหาวิธี อย่างเช่นการสร้างความรู้ตัวอยู่กับลมหายใจเข้าออกหรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ
หายใจเข้า..สัมผัสลมหายใจที่กระทบปลายจมูก เราก็ระลึกว่า ‘พุทธ’ ออก..ก็มีความรู้สึกรับรู้ว่า ‘โธ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ขณะที่เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม เราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นการเกิดของขันธ์ห้า เห็นใจกับขันธ์ห้าเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เรารู้เท่าทันตั้งแต่การเกิด ใจก็จะแยกดีดออกจากขันธ์ห้า ดีดออกจากความคิด นี่แหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’
เพียงแค่คลาย เพียงแค่เริ่มต้นของการเห็นถูก หรือว่าสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกในหลักธรรม เห็นความเกิดความดับของจิตวิญญาณ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรื่องอะไร บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ ถ้าเราหัดสังเกตดูอยู่บ่อยๆ ตามดูเห็นเหตุเห็นผล เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ถ้าใจคลายจากขันธ์ห้า เราก็จะรู้เรื่องคำว่าอัตตากับอนัตตา
‘อัตตา’ คือตัวตน ‘อนัตตา’ คือความว่างเปล่า เห็นความเกิดความดับ ความตั้งอยู่ของความคิดของอารมณ์ ของขันธ์ห้า ที่ท่านว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในกายของเราทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปอบรมใจของตัวเราได้หรือไม่เท่านั้นเอง ท่านบอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ตนตัวที่สองก็คือใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเป็นทาสรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด
เราอาจจะว่าเราไม่หลง ตราบใดที่ยังเดินปัญญาแยกแยะไม่ได้เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะมองเห็นความเป็นจริงอยู่ในระดับของสมมติ มีความถูกต้องอยู่ แต่ก็ยังหลงยังผิดอยู่ เพราะว่ายังใจยังไม่ได้แยกได้คลายส่วนนามธรรมในร่างกายของเราถ้าแยกได้เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่าเราหลง ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่เราถึงจะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานั้น สติปัญญาของเราเป็นแค่เพียงสติปัญญาของโลกีย์ ของสมมติ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปละกิเลสที่ใจ ดับทุกข์ที่ใจ ชี้เหตุชี้ผลที่ใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างคุณงามความดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตใจของเรามีความปกติหรือไม่ จิตใจของเรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอ่อนโยน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา หรือว่าจิตใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อยู่กับสมมติเคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ สมมติคือร่างกายของเรานี้แหละ เป็นก้อนสมมติ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้เลย นอกจากจะรู้ แยกแยะด้วยปัญญาปล่อยวางด้วยปัญญา อยู่กับสมมติ ถึงเวลาเขาแตกดับคืนสู่สภาพเดิมนั่นแหละ เราถึงจะได้วางสมมติ ขาดจากสมมติจริงๆ
แต่เวลานี้ เราแยกแยะด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะว่าความเป็นจริงทุกคนเกิดมา ความมีความเกิดก็มีความตาย ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ตาย ถ้าถึงเวลาแล้วจะเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ไม่อยู่ให้พวกเราทำความเข้าใจ ตายเฉพาะกายเนื้อ แต่จิตวิญญาณไม่ตาย เขายังไปเกิดต่อ ตราบใดเขายังเกิดอยู่ ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญแห่งกุศล ทำมาก บุญมากบุญน้อย บุญน้อยเราก็ทำ บุญมากเราก็ทำ บุญใหญ่เราก็ทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญ เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
แต่ส่วนมากการเจริญสติจะไม่ค่อยได้เอาสติไปใช้การใช้งาน แล้วก็ทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไหร่ เพราะความคิดเก่าปัญญาเก่า เขาเร็วเขาไว กิเลสอำนาจต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้ตั้งแต่ตัวใจก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน ขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมานาน เราต้องสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างกำลังสติให้เข้มแข็ง กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้แล้วชี้อีก เห็นแล้วเห็นอีก ทำความเข้าใจจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ จนใจปล่อยวางได้ เห็นเหตุเห็นผลที่แท้จริงได้เขาถึงจะปล่อยวางได้
กิเลสก็มีอยู่เยอะ อยู่ในใจของเราทั้งหยาบทั้งละเอียด เราต้องพยายามค่อยขุดค่อยเกลา ค่อยเลาะออกทีละเล็กละน้อย ใจเกิดความโลภก็พยายามละความโลภด้วยการเอาออกด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็อยู่กับกองทุกข์ ทุกคนเกิดมาก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ พยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน วิบากกรรมนำมาแต่ละบุคคลแต่ละท่าน อาจจะสร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็มีกิเลสเบาบาง บางคนก็มีกิเลสหนา ให้เรามาขัดเกลาขณะยังมีลมหายใจอยู่
แนวทางคำสอนของพระพุทธองค์ท่านมีเพียบพร้อม ท่านค้นพบเอามาเปิดเผยจำแนกแจกแจงไล่ไปดูตั้งแต่ต้นเหตุของกิเลส ของการเกิดของใจ ใจเกิด ความเกิดทางด้านรูปธรรม ความเกิดทางด้านนามธรรม ทางด้านรูปก็คือร่างกายของพวกเรานี้ได้เกิดมาแล้ว ซึ่งท่านว่าธาตุสี่ขันธ์ห้ามีวิญญาณคือตัวใจมาครอบครอง
ส่วนความเกิดความดับของใจ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆ นั่นแหละ เรามาทำความเข้าใจกับความเกิดคือภพมนุษย์ ว่าธาตุสี่ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง รู้ความจริงตรงนี้แล้วก็ไปดับความเกิดที่ตัววิญญาณ ที่ตัวใจ ไม่ให้ไปเกิดที่ไหน ไม่ให้ไปก่อร่างสร้างภพอีกต่อไป เราดับ กายเนื้อแตกดับ ภพมนุษย์แตกดับ ใจก็เข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิด การตายมีการเกิดไม่มี นั่นแหละเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งทุกลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละเขาเรียกกันว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง ทุกคนก็มีการพลั้งเผลอ มีการผิดพลาดก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ว่าจะได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นหรือว่าพลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้นรีบตักตวงขวนขวายหากำไรชีวิต ในทางบุญทางกุศลให้เต็มเปี่ยม เราก็จะได้ไม่ลำบากในวันข้างหน้า
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ