หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 40
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 40
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 40
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวเสียก่อน ถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดขณะที่กำลังนั่ง
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกันกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรู้ตัว รู้กาย เวลาหายใจเข้าลมกระทบปลายจมูกของเรา สัมผัสตรงนั้นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย มีความรู้ตัวเวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ สัมปชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ รู้ตัวรู้กายรู้ความปกติของใจ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันการเกิดของใจ เราก็รู้ รู้ลักษณะของใจ ใจเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ตรงนี้แหละที่สังเกตไม่ทันกัน ส่วนมากคิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็เลยหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่เพราะเราไปหมั่นหมายเอาความคิดเก่าๆ ว่าเป็นปัญญาที่แท้จริง นั่นก็เป็นปัญญาอยู่ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติทางด้านจิตใจเราต้องเจริญสติเข้าไปดับความเกิด ละกิเลส คลายความหลง หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา หนุนกำลังสติปัญญาของเราไปใช้ ไปทำหน้าที่แทน
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนา ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มีโอกาสสร้างบุญสร้างบารมี ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข อยู่ในระดับของสมมติ แต่ความเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลาทางด้านจิตวิญญาณทางด้านนามธรรม ตรงนี้เรารู้ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไหร่นอกจากบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นทำความเข้าใจ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ทั้งสมมติวิมุตติภายนอกภายใน เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรารู้จักขวนขวาย อันนี้ลักษณะของการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร เราจะเพิ่มกำลังสติของเราได้อย่างไร ใจเกิดกิเลส ใจมีกิเลสเราละได้แล้วหรือยัง เราควบคุมใจของเราอยู่ในระดับตั้งแต่ต้นเหตุ หรือว่าส่งออกมาทางกาย ออกมาทางวาจา เราก็พยายามควบคุมอบรมจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ถ้าใจคลายออกเมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ในใจของเรา ก็โล่งโปร่ง กายของเราก็เบาสบาย มองเห็นกฏของไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขังอนัตตา ความเกิดๆ ดับๆ อยู่ในกายของเรามีกันทุกคน จะมีมากมีน้อย กิเลสมาก กิเลสน้อย กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีกันหมดทุกคน
ยิ่งเจริญสติเข้าไปต่อเนื่องเห็นเหตุเห็นผล แยกได้คลายได้ ตามดูได้ทุกเรื่องเรายิ่งจะเห็นเยอะยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ เราก็รู้จักแก้ไข หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเราใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากเสีย ใจเกิดความโลภ เราก็ละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี เลือกเอาเฉพาะส่วนที่ดีๆ มาแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา เราขาดตกบกพร่องตรงไหน
เรื่องการฝึกหัดปฏิบัติใจ หรือว่าปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทำงานภายในจบ งานภายนอกเราก็ยังประโยชน์ เราก็อาศัยกันอยู่สมมติวิมุตติอาศัยกันอยู่ จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ เกื้อหนุนกันอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ ถึงวาระเวลาโน่นแหละ กายถึง ใจถึงจะได้พรากจากกายจริงๆ เมื่อกายหมดสภาพหมดลมหายใจ
ทีนี้เราก็พยายามละกิเลส ดับความเกิด ตราบใดที่ใจยังเกิดเขาก็ต้องไปเกิดต่อ เราดับความเกิดไม่ได้ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ จะได้ไม่ได้ลำบากในวันข้างหน้า สร้างบุญสร้างกุศลไม่ว่าโอกาสที่ไหนเปิดเรารีบทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ จนกว่าใจของเราจะดับความเกิด ละกิเลสทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงดับความเกิดได้เราก็พยายามสร้างอานิสงส์บุญให้เต็มเปี่ยมล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม สู่สมมติให้อยู่ดีมีความสุข มีความสุขทั้งสมมติมีความสุขทั้งวิมุตติ ไปที่ไหนเราก็จะไม่ได้ลำบาก
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันพาไปกันสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวเสียก่อน ถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดขณะที่กำลังนั่ง
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกันกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรู้ตัว รู้กาย เวลาหายใจเข้าลมกระทบปลายจมูกของเรา สัมผัสตรงนั้นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย มีความรู้ตัวเวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ สัมปชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ รู้ตัวรู้กายรู้ความปกติของใจ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันการเกิดของใจ เราก็รู้ รู้ลักษณะของใจ ใจเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ตรงนี้แหละที่สังเกตไม่ทันกัน ส่วนมากคิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็เลยหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่เพราะเราไปหมั่นหมายเอาความคิดเก่าๆ ว่าเป็นปัญญาที่แท้จริง นั่นก็เป็นปัญญาอยู่ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติทางด้านจิตใจเราต้องเจริญสติเข้าไปดับความเกิด ละกิเลส คลายความหลง หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา หนุนกำลังสติปัญญาของเราไปใช้ ไปทำหน้าที่แทน
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนา ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มีโอกาสสร้างบุญสร้างบารมี ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข อยู่ในระดับของสมมติ แต่ความเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลาทางด้านจิตวิญญาณทางด้านนามธรรม ตรงนี้เรารู้ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไหร่นอกจากบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นทำความเข้าใจ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ทั้งสมมติวิมุตติภายนอกภายใน เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า เรารู้จักขวนขวาย อันนี้ลักษณะของการเจริญสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร เราจะเพิ่มกำลังสติของเราได้อย่างไร ใจเกิดกิเลส ใจมีกิเลสเราละได้แล้วหรือยัง เราควบคุมใจของเราอยู่ในระดับตั้งแต่ต้นเหตุ หรือว่าส่งออกมาทางกาย ออกมาทางวาจา เราก็พยายามควบคุมอบรมจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ถ้าใจคลายออกเมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ในใจของเรา ก็โล่งโปร่ง กายของเราก็เบาสบาย มองเห็นกฏของไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขังอนัตตา ความเกิดๆ ดับๆ อยู่ในกายของเรามีกันทุกคน จะมีมากมีน้อย กิเลสมาก กิเลสน้อย กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีกันหมดทุกคน
ยิ่งเจริญสติเข้าไปต่อเนื่องเห็นเหตุเห็นผล แยกได้คลายได้ ตามดูได้ทุกเรื่องเรายิ่งจะเห็นเยอะยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ เราก็รู้จักแก้ไข หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเราใจเกิดความอยาก เราก็ละความอยากเสีย ใจเกิดความโลภ เราก็ละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ดี เลือกเอาเฉพาะส่วนที่ดีๆ มาแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา เราขาดตกบกพร่องตรงไหน
เรื่องการฝึกหัดปฏิบัติใจ หรือว่าปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ทำงานภายในจบ งานภายนอกเราก็ยังประโยชน์ เราก็อาศัยกันอยู่สมมติวิมุตติอาศัยกันอยู่ จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ เกื้อหนุนกันอยู่ เราต้องทำความเข้าใจ ถึงวาระเวลาโน่นแหละ กายถึง ใจถึงจะได้พรากจากกายจริงๆ เมื่อกายหมดสภาพหมดลมหายใจ
ทีนี้เราก็พยายามละกิเลส ดับความเกิด ตราบใดที่ใจยังเกิดเขาก็ต้องไปเกิดต่อ เราดับความเกิดไม่ได้ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ จะได้ไม่ได้ลำบากในวันข้างหน้า สร้างบุญสร้างกุศลไม่ว่าโอกาสที่ไหนเปิดเรารีบทำ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ จนกว่าใจของเราจะดับความเกิด ละกิเลสทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงดับความเกิดได้เราก็พยายามสร้างอานิสงส์บุญให้เต็มเปี่ยมล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม สู่สมมติให้อยู่ดีมีความสุข มีความสุขทั้งสมมติมีความสุขทั้งวิมุตติ ไปที่ไหนเราก็จะไม่ได้ลำบาก
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันพาไปกันสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ