หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 28

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 28
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 28
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 28
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 20 มีนาคม 2562

มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันพระใหญ่ ญาติโยมเข้ามาทำบุญกันเยอะชีก็เยอะพระก็เยอะสามเณรก็เยอะ มาด้วยอำนาจแห่งบุญ ทุกคนก็ปรารถนาอยากจะมาสร้างบุญให้กับตัวเอง อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มาร่วมกัน เป็นบุญเป็นอานิสงส์ เคยสร้างบุญมาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านก็พยายามรักสมัครสมานสามัคคี ขยันหมั่นเพียรในการสร้างประโยชน์ ในการสร้างคุณงามความดี พยายามแก้ไข อะไรที่ไม่ดีก็พยายามแก้ไข

มาอยู่ด้วยกันหลายคนปัญหาก็มากขึ้น เรื่องขยะก็ตามมา ที่พักที่อาศัยก็ตามมา ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็ต้องพยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะได้จากความลำบากก็จะลดลงเหลือเบาบาง ถ้ามีใจรักในการฝึกหัดปฏิบัติ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข สมัยก่อนยิ่งลำบาก ที่พักที่อาศัยก็ลำบาก การอยู่การขบการฉันก็ลำบาก ทุกวันนี้ไม่ถึงกับลำบากหรืออาจจะสบายมากเกินไป

เราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ฝึกหัดให้เป็นคนมีระเบียบ ระเบียบ..ความเป็นระเบียบนั่นแหละคือวินัย ระเบียบทั้งภายนอกภายใน ระเบียบทั้งสมมติ ระเบียบทางด้านจิตใจ ก็จัดระบบระเบียบความคิดอารมณ์ต่างๆ ไม่ให้ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา

สมมติเราพึ่งกันได้ ช่วยเหลือกันได้ในระดับหนึ่ง แต่กิเลสภายในก็ต้องแก้ไขของแต่ละบุคคลไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งให้คนโน้นเขาแก้ไขให้คนนี้เขาแก้ไขให้ เราต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เป็นบุคคลที่ตื่น เป็นบุคคลที่ฝักใฝ่ในการสร้างบุญสร้างบารมี

แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ มีความอดทน ขันติ วิริยะ บารมี สิ่งพวกนี้แหละที่จะดำเนินให้ไปสู่จุดที่สูงคือความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจ ถ้ามาฝึกสติก็ไม่ได้เจริญกิเลสก็ไม่ได้ละ ก็มีตั้งแต่จะหมักหมมด้วยอำนาจของกิเลส เราก็พยายามคอยฝึก คอยขัดคอยเกลา คอยเอาออก ปัญหาต่างๆ มีไว้แก้ไข ปัญหาไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตามมา ถ้าเรารู้จักต้นเหตุปัญหาก็รู้จักแก้ไขปัญหา จากแต่ก่อนไม่มีปัญหา ก็เริ่มต้นมีปัญหา ก็รู้จักแก้ไข มองดูที่ต้นเหตุ ต้นเหตุไปอย่างไรมาอย่างไร เพียงแค่สมมติ ต้นเหตุของสมมติ

เห็นว่าเมื่อวาน เมื่อวานหรือวันก่อนที่มีเด็กมา พ่อแม่เอาเด็กมาไว้ที่วัด คงจะเป็นเด็กเหลือขอล่ะมั้ง มาแล้วก็อาละวาดหมู่คณะเพื่อนฝูง ปลดเต็นท์สามเณร กลางค่ำกลางคืนก็หลบหนี แล้วก็พ่อแม่ก็มาโทษว่าวัดไม่ดีอย่างงั้นวัดไม่ดีอย่างนี้ เขาเป็นลูกคนมีตระกูลมีเงินมีทองไม่ได้ลำบากอย่างงั้นอย่างงี้ แทนที่จะเอาลูกให้มาฝึกมาขัดมาเกลา แถมกลับมาพามาวัดแล้วก็มาอคติทางวัดว่าสอนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เพียงแค่ให้ช่วยกันทำความสะอาดก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา จะเอาตั้งแต่ธรรมอยากได้ตั้งแต่ธรรม ความเสียสละไม่มี ความสะอาดไม่มี ความเป็นระเบียบไม่มี มันจะไปได้อะไรล่ะ

จะไปโทษตั้งแต่คนโน้นคนนี้ ไม่โทษพ่อโทษแม่ที่ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเด็ก แถมไปโทษที่นู่นไปโทษที่นี่ ทำให้เสียหาย กลางค่ำกลางคืนก็ไปละลาน โกรธคนนู้นโกรธคนนี้ ไปดึงไปทึ้งจนเสียหายหมด แล้วก็มาโทษครูบาอาจารย์อบรมไม่ดี แทนที่จะโทษตัวเองแก้ไขตัวเอง สอนลูกสอนหลาน พาประพฤติพาปฏิบัติให้มีความรับผิดชอบ ให้มีความขยัน ให้รู้จักขวนขวาย รู้จักทำการทำงาน การงานก็ไม่เอาบอกก็ไม่เชื่อฟัง มันจะไปใช้การใช้งานอะไรได้ โตขึ้นไปก็มีตั้งแต่จะเป็นโจรเป็นขโมยขโจรเกะกะระราน ถ้าเราไม่ฝึกหัดปฏิบัติ มีความเชื่อฟัง มีความกตัญญู มีความเสียสละ บอกง่ายใช้ได้

ครูบาอาจารย์ก็หวังดีกันทุกคน ชี้แนะแนวทาง พาฝึกพาอบรม อะไรก็ทำไม่เป็น อะไรก็ทำไม่เป็นก็จะไปโทษคนโน้น โทษคนนี้ โตขึ้นไปก็ยิ่งจะลำบาก พระพุทธองค์ท่านถึงสอนให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอนที่อยู่ที่กิน ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร ถ้าไม่ดีก็รีบแก้ไข ถ้าสมมติไม่ลำบากก็ส่งผลถึงวิมุตติทางด้านจิตใจ ไปได้เร็วได้ไว สมมติก็เกียจคร้านการงานก็เกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ ใช้ตัวเองก็ไม่เป็นโตขึ้นไปแล้วจะไปหวังอะไรละ ก็ต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็กๆ


ไม่ต้องไปกลัวลูกจะลำบาก ให้มีความรับผิดชอบ ให้มีการขวนขวายช่วยเหลืออนุเคราะห์ เป็นผู้ให้ผู้ให้ผู้อภัย ลึกลงไปแม้แต่คำพูดคำจาความคิด ความคิดก็คิดในทางที่ดีพูดก็พูดในทางที่ดีอะไรที่จะเป็นอกุศลก็ละอะไรที่เป็นกุศลก็เจริญ ไม่ใช่วาจาก็ไม่รู้จักรักษา ความคิดก็ไม่รู้จักรักษาใจก็ไม่รู้จักรักษา การกระทำทางสมมติก็มีตั้งแต่ความเสื่อม มันจะไปเจริญได้อย่างไร

ก็ต้องพยายามไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมาแต่เหตุ ทางวัดก็มีโอกาสที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือให้ ความปกติทางวัดก็ทำกันเป็นกันปกติ ความปกติเหตุมาก็ค่อยแก้ไขกันไป วัดของเราก็เป็นปกติอยู่อย่างนี้แหละ ใครไปใครมาก็บางครั้งก็มีเรื่องมีราวเรื่องโน้นเรื่องนี้มา บางครั้งก็มาทำลายบางครั้งก็มาช่วย วิบากกรรม พญามารต่างๆ เราก็นั่งอยู่อย่างนี้เราก็ทำอยู่อย่างนี้ มาตั้ง 20-30 ปี ใครเขาก็มาก่อความวุ่นวายแล้วก็ไป มาสร้างเหตุแล้วก็ไป

เหตุก็มาจากภายนอก ทั้งภายนอกภายใน เหตุภายในเราก็กำจัดเหตุภายในของเรา แก้ไขมองดูพื้นฐานตั้งแต่เหตุทางด้านจิตวิญญาณ ทางด้านสมมติเราก็พยายามทำเหตุให้ดี มันก็จะส่งผลให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ถ้าใครมาสร้างความวุ่นวายจะมองเห็นทันที สร้างความไม่ถูกต้องมันก็จะมองเห็นทันที เพราะว่าเหตุภายในเราก็ดูอยู่ตลอด ทางด้านจิตใจ


เหตุทางด้านสมมติอะไรที่ไม่ดีเราก็รีบแก้ไข ถ้าจะมาในทางที่ไม่ดีมันก็มองเห็นชัดเจน ก็ต้องรีบแก้ไข คนทั่วไปเหตุสมมติก็ยังไม่รู้จักแก้ไข ทางด้านจิตวิญญาณก็ยิ่งห่างไกล มันจะเข้าถึงความเป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องพยายามทั้งพระทั้งชีนั่นแหละ ถ้าใครบอกไม่เชื่อฟัง อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้พูดหลายครั้งก็ให้พิจารณาตัวเองได้ทันที เพราะว่าจะสร้างปัญหาเพราะว่าเรามองเห็นเหตุอยู่ตลอดเวลา


……………………………

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบายวางกายให้สบายวางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยวไป อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาวให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจยาวสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเราปั๊บทันที

หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘มีสติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จะลุกจะก้าวจะเดินเราก็เปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่การเดิน จะเข้าห้องส้วม ห้องน้ำก็รู้ว่าในภาพรวมใจปกติ จะทำโน่นทำนี่ใจปกติ สติปัญญาพากายไปให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจเป็นตัวบงการ ไม่ให้ใจเป็นตัวสั่งงาน

ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติกำลังสติของเรามีมาก เราก็เอาสติปัญญาของเราเข้าไปอบรมใจของเรา ไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ตั้งแต่ใจก่อตัว ตั้งแต่ใจเริ่มเกิด นั่นแหละต้นเหตุของความทุกข์ก็คือความเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ทุกข์ ใจของเราเกิด เกิดมาเขามาสร้างภพมนุษย์ เขามาสร้างขันธ์ห้าก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก พระพุทธองค์ท่านถึงให้ค้นลงที่กายก้อนนี้ว่ามีอะไรบ้างอะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ค้นดูส่วนที่เป็นนามธรรม การเกิดการดับตัวใจตัววิญญาณเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เขาเริ่มเกิดอย่างไร นั่นแหละเราก็จะเห็นต้นเหตุ เราก็ดับเหตุตรงนั้นเสีย

แต่เวลานี้เขาสร้างเหตุ เขาสร้างเหตุคือสร้างร่างกายของเราขึ้นมาแล้ว แล้วก็เขาก็เกิดต่อคิดต่ออาการของขันธ์ห้าก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตปรุงแต่งใจ รวมกันไปทั้งใจทั้งขันธ์ห้า รวมกันไปทั้งปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน เขาเรียกว่า ‘หลง’ หลงไปทั้งก้อน ทั้งที่รู้ๆ คิดก็รู้อยู่ ทำก็รู้อยู่ แต่ความเกิดความหลง เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ ถ้าเราเจริญสติไม่เข้มแข็ง สร้างตบะบารมีของเราไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ หมั่นขัดเกลากิเลสจนเห็นเหตุเห็นผลภายใน รู้จักควบคุม รู้ไม่ทันต้นเหตุก็รู้จักควบคุม ใช้สมถะเข้าไปควบคุม ความสงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็หาเหตุหาผล เราก็รู้จักสร้างตบะบารมีควบคู่กันไปกับกิเลส

ใจเกิดความโลภเราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธเราก็รู้จักดับความโกรธด้วยการให้อภัย อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นหรือเกิดความอิจฉาริษยา เราก็พยายามหาทางแก้ไขขัดเกลาเอาออกจนไม่ให้เหลือที่จิตใจของเรา นั่นแหละที่ท่านว่า ‘ให้แก้ไขที่ต้นเหตุ’

เหตุที่เกิดจากใจโดยตรง คนทั่วไปก็ดับเหตุตรงนี้ไม่ได้ ใจเกิดอยู่ตลอดเวลา ก็ส่งออกมาทางกายทางวาจา วาจาก็ไม่รู้จักควบคุม ใจก็ไม่รู้จักควบคุมส่งออกไปทางกระทำ ก็เลยเกิดปัญหามากมายวุ่นวายกันอยู่ตลอดเวลา หาเหตุไม่เจอ เหตุภายในเหตุทางด้านจิตใจก็หาไม่เจอ เหตุทางด้านสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวในโลกธรรม ในปัจจัยสี่ อะไรที่จะเป็นอกุศลหรือว่ากุศล ส่วนมากก็อกุศลก็สร้างปัญหามากขึ้นๆ เป็นดินพอกหางหมู แทนที่จะยังเป็นฝ่ายกุศล เจริญกุศลให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชนท่านประโยชน์สุงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี อนาคตก็จะมาถึงเอง

วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี เราพยายามดำเนินวันนี้ให้ดี อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ละเสียอะไรที่จะเป็นกุศลเราก็เจริญ ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับจนกระทั่งหมดลมหายใจ


ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องของคนโน่นเป็นเรื่องของคนนี้ เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของตัวเราเองทั้งนั้น ที่จะต้องแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา คนเราไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเองก็ไปวิ่งให้คนโน้นคนนี้ วิ่งให้ไปสถานที่นั่นที่นี่ให้ช่วยเหลือให้อนุเคราะห์ เราก็อนุเคราะห์กันได้ในระดับของสมมติ แต่ทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจเราก็ต้องแก้ไขปรับปรุงอะไรขาดตกบกพร่อง รู้จักช่วยเหลือตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ตั้งแต่ตื่นขึ้น ความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร ที่พักที่อาศัยของเราเป็นอย่างไร ห้องส้วมห้องน้ำ ที่อยู่ที่กินของเราเป็นอย่างไร ลำบากหรือไม่ เราควรกระทำให้สมบูรณ์แบบ

หลวงพ่อก็พยายามอนุเคราะห์ให้ทุกอย่าง ที่พักไม่มีก็ทำให้มี ที่อาศัยไม่มีก็ทำให้มี ห้องส้วมห้องน้ำไม่มีก็ทำให้มี ที่กราบที่ไหว้ให้เป็นสิริมงคลไม่มี ก็ทำให้มี ที่เผาไม่มี ก็ทำให้มี ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ไม่ให้ลำบากทางสมมติ อาหารตาไม่มี ก็ทำให้มี อาหารใจไม่มี ก็พยายามชี้แนะให้ พวกท่านก็จงพยายามพิจารณาความเป็นอยู่ สมมติมันไม่มี ก็อุตส่าห์ทำมาให้


จากความไม่มีก็ทำให้มันมี ได้อาศัยทางสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ยังจะพากันมาปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มันจะไปได้อะไร จะไปสร้างตบะสร้างบารมีอะไรกัน หนักเอาเบาสู้ ปัญหามีไว้ให้แก้ไข แก้ไขปัญหาภายนอกปัญหาภายใน ทำความเข้าใจให้มันถูกต้องเห็นความเกิดความดับ เห็นประโยชน์ ประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายใน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ถ้าเราเข้าใจก็จะมีตั้งแต่ประโยชน์

อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เราก็ละเสีย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราละความเกียจคร้าน ละนิวรณธรรมต่างๆ ละมลทินต่างๆ สมมติภายนอกเราก็ทำประโยชน์ทั้งกลางวันกลางคืน มีความสุขในการให้ในการช่วยเหลือในการอนุเคราะห์ มองเห็นหนทางเดินตัวเราว่าจะไปอย่างไรมาอย่างไร ว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

กิเลสของเราอะไรมันยังเหลืออยู่ อะไรยังไม่เหลือ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดภายในหรือเกิดที่กายใจส่งเสริมหรือไม่หรือเกิดที่ใจ หรือเหตุจากภายนอกทำให้เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาแต่เหตุทั้งนั้น แต่พวกเรามองไม่เห็นเหตุ ตั้งแต่ต้นเหตุ ก็เลยสร้างตั้งแต่เหตุมาทับถมดวงใจของตัวเรา ก็เลยทับถมทั้งภายนอกภายในเป็นดินพอกหางหมู พอกพูนมากขึ้นๆ จะเข้าถึงความบริสุทธ์หลุดพ้นได้อย่างไร ก็ต้องพยายามกัน พากันเอาไปวิเคราะห์ไปพิจารณาด้วยสติด้วยปัญญาไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ก็ต้องพยายามกัน ทั้งลูกพระลูกชีลูกเณรก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง