หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 1
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 1
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 1
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 มกราคม 2562
มีความสุขกันทุกคน เห็นแล้วก็ภูมิใจมีความสุข ญาติโยมที่เกิดมาในประเทศไทยของเรามีพระพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องพยายามค้นคว้าให้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ และก็ประกาศให้สัตว์โลก ก็คือพวกเรานี่แหละได้ประพฤติปฏิบัติตาม มีศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีการทำบุญมีการให้ทาน
ทาน… ท่านถึงวางเอาไว้เป็นพื้นฐาน ถ้าใครทานเป็น ก็เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ได้ทานด้วยความอยาก ไม่ได้ทานด้วยความโลภ ความหมายของการให้ทานก็เพื่อที่จะละกิเลสขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ทานจนไม่มีอะไรเหลือจากจิตจากใจของเรา ส่วนที่เหลือคือความบริสุทธิ์ ความอยาก ใหม่ๆ ก็อยากให้ทานอยากทำบุญ สูงขึ้นไปเมื่อเราทำบุญเต็มเปี่ยมเต็มอิ่ม ใจของเราอิ่มแล้ว แต่การให้ทานของเราก็ยังอยู่ ทานด้วยสติ ทานด้วยปัญญาทานด้วยเหตุด้วยผล ใจก็จะปล่อยวางได้เร็วได้ไว ท่านถึงวางรากฐานของการทำบุญให้ทาน… ทาน ศีล ภาวนา
ศีล ความปกติ ความปกตินี่ก็มีหลายระดับ ปกติระดับกายระดับวาจา วาจาของเราก็ไม่ได้ไปพูดในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ได้ไปอคติไม่ได้เพ่งโทษไม่ได้มีมลทินกับใคร รู้จักควบคุมวาจาลึกลงไปก็ควบคุมใจ ศีลปกติปกติที่ใจ ใจปกติ อะไรควรคิด อะไรไม่ควรคิด อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ท่านถึงวางเอาไว้ทาน ศีล ภาวนาและก็ปัญญา ปัญญาวิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริง ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงเราก็ต้องมาทำความเข้าใจ
คำว่า ‘สติระลึกรู้ตัวปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร ปัจจุบันในทางธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าทุกขณะลมหายใจออกซึ่งเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก นี่แหละตรงนี้แหละเราต้องมาสร้างความเพียร
มาสร้างมาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวลงที่กายของเรา หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาเราก็หายใจ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ก็เลยปล่อยลมหายใจทิ้ง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากได้บุญ อยากทำบุญมีศรัทธามีความเชื่อมั่น เชื่อบุญเชื่อบาป บุญมากบุญน้อยก็มีโอกาสทำ แต่การเจริญสติ การทำความเข้าใจ อาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่มีไม่ต่อเนื่อง ไม่เชื่อมโยง แล้วก็เลยรู้ไม่ถึง รู้ลึกไม่ถึงฐานของใจ
การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าในกายของเราเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ตรงนี้แหละ เรามองเห็นเฉพาะในภาพรวม คิดก็รู้ ทำก็รู้ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังหลงอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นสิ่งที่ผ่านมาว่า สติความรู้ตัวที่ต่อเนื่องปัจจุบันธรรมตรงนี้มีไม่มาก มีกะปริดกะปรอย มีไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนเข้มแข็ง ส่วนการเกิดของใจ การเกิดของอาการของขันธ์ห้านี้มีกันทุกคน
ความคิดของเรานั่นแหละ ความคิดที่เกิดจากใจบ้างความคิดที่เกิดจากการไม่ได้ตั้งใจบ้าง ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมที่พระพุทธองค์ท่านแบ่งเอาไว้ ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ตัววิญญาณเขาเรียกว่า ‘กองของวิญญาณ’ ตัวอาการของความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดก็เป็นกองสังขารบ้าง ก็เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง นี่แหละท่านถึงให้เจริญสติ
ส่วนสติ ส่วนบนส่วนสมอง สร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทัน ตามทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนั้นแหละที่เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกต้องในหลักธรรม เห็นถูกแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ เห็นการเกิดการดับของใจ เข้าใจในเรื่องหลักของอริยสัจ
ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาหลายร้อยหลายพันปี ก็ยังเป็นความจริงอยู่ตลอด เราก็จะมีความเชื่อมั่น ถ้าเราเห็นในสิ่งพวกนี้เราก็จะเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าพระพุทธเจ้านั้นมีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านคงไม่ประกาศ ไม่ประกาศในเรื่องพวกนี้ แล้วก็ชี้แนะแนวทางให้
การสร้างตบะสร้างบารมี… แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีพรหมวิหาร เรามีความเมตตา หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่าเรามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็ต้องมาสำรวจมาแก้ไขตัวเรา แต่ละวันๆ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องคนอื่น
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องของเรา วิธีการดำเนินชีวิตจากความไม่มี จากความไม่มีเราก็ทำให้มีจากมันมีแล้วเราก็เจริญสติมองเห็นความเป็นจริง คือไม่ให้มีเหมือนเดิม คือหลักของอนัตตา แต่ทางสมมตินั้นมีอยู่ สมมติว่าเป็นกายของเราอยู่ สมมติว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ให้ทุกคนพยายามพากันวิเคราะห์พิจารณา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
อย่าไปเสียดายกับกิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราพยายามมองหาทรัพย์อันยิ่งใหญ่ คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น พยายามสร้างเอาขณะที่เรามีกำลังอยู่ ขณะที่เรามีลมหายใจอยู่ทำเอาสร้างเอาสติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ใจของเรามีความตระหนี่ เราก็ละความตระหนี่ด้วยการให้ ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ให้โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ในหลักธรรมแล้วกิเลสทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ถ้ามีการเกิดของใจนั่นก็เป็นความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี่หลง หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์และก็มายึดในร่างกายนี้แล้วก็เกิดต่ออีก เกิดต่ออีกยังไม่พอเราก็ไปหลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก หลายสิ่งสลับซับซ้อน
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติจำแนกแจกแจงชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรเป็นอะไรก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามกัน ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้นก็อย่าไปทิ้งบุญ พยายามหมั่นสร้างบุญบารมีของเรา ไม่ถึงวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงปีหน้าก็ไปถึงเอาภพหน้า ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำมานี่ไม่สูญหายไปไหน ก็จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนทำบุญกับตัวของเรา ทำบุญกับใจของเรา ล้นออกไปสู่พี่สู่น้องสู่หมู่สู่คณะสู่สังคมไม่ให้มีความเห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเสียสละ มีตั้งแต่การเป็นผู้ให้ เราให้เราก็จะได้ในสิ่งที่เราให้ เราให้พรหมวิหารให้ความเมตตา ให้ความอนุเคราะห์ สิ่งต่างๆ ก็จะย้อนกลับมาหาเรา มีบริวาร มีหมู่คณะ มีมิตร มีทุกอย่าง ขอให้เราดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สัจธรรมความจริงยังอยู่ และก็เป็นศาสนาที่สอนสูงกว่าทุกศาสนาศาสนาอื่นนั้นสอนอยู่ในหลักของพรหมวิหาร ในความเมตตา ดีทุกศาสนา ศาสนาพุทธท่านสอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ไม่ต้องกลับมาเกิด ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดในเมื่อเราดับความเกิดได้แล้ว อะไรที่จะเกิดอีกก็ไม่มี มันก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ แต่เวลานี้เขาเกิดในภพมนุษย์คือร่างกายของเรา เราก็ต้องมาพยายามค้นคว้า นี่แหละเป็นสนามรบอย่างดี เป็นหนังสือเล่มใหญ่ สนามรบเล่มใหญ่
เรามาเจริญสติ ดูว่ากายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร เขามีหมด เขามีหมด ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ ท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์แต่เวลานี้เรามองเห็นทั้งกอง กองรูป กองร่างกายของเรานี่คือ อัตตาตัวตนของเรานี่เต็มเปี่ยมไปหมด ใจมายึดตรงนี้ เขาก็ยึดข้างนอกไปหมด ยึดสารพัดอย่าง ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เขาก็วางทุกอย่าง ที่นี่เราก็มาละกิเลสให้มันหมดจด ก็ต้องพยายามกันนะ
ปีใหม่ก็ขอให้ทุกคนจงพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งตั้งใจรับพรกัน ขอให้ทุกคนทุกท่านจงไหว้พระพร้อมๆ กัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 มกราคม 2562
มีความสุขกันทุกคน เห็นแล้วก็ภูมิใจมีความสุข ญาติโยมที่เกิดมาในประเทศไทยของเรามีพระพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องพยายามค้นคว้าให้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ และก็ประกาศให้สัตว์โลก ก็คือพวกเรานี่แหละได้ประพฤติปฏิบัติตาม มีศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย มีการทำบุญมีการให้ทาน
ทาน… ท่านถึงวางเอาไว้เป็นพื้นฐาน ถ้าใครทานเป็น ก็เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ได้ทานด้วยความอยาก ไม่ได้ทานด้วยความโลภ ความหมายของการให้ทานก็เพื่อที่จะละกิเลสขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ทานจนไม่มีอะไรเหลือจากจิตจากใจของเรา ส่วนที่เหลือคือความบริสุทธิ์ ความอยาก ใหม่ๆ ก็อยากให้ทานอยากทำบุญ สูงขึ้นไปเมื่อเราทำบุญเต็มเปี่ยมเต็มอิ่ม ใจของเราอิ่มแล้ว แต่การให้ทานของเราก็ยังอยู่ ทานด้วยสติ ทานด้วยปัญญาทานด้วยเหตุด้วยผล ใจก็จะปล่อยวางได้เร็วได้ไว ท่านถึงวางรากฐานของการทำบุญให้ทาน… ทาน ศีล ภาวนา
ศีล ความปกติ ความปกตินี่ก็มีหลายระดับ ปกติระดับกายระดับวาจา วาจาของเราก็ไม่ได้ไปพูดในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ได้ไปอคติไม่ได้เพ่งโทษไม่ได้มีมลทินกับใคร รู้จักควบคุมวาจาลึกลงไปก็ควบคุมใจ ศีลปกติปกติที่ใจ ใจปกติ อะไรควรคิด อะไรไม่ควรคิด อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ก็จะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ท่านถึงวางเอาไว้ทาน ศีล ภาวนาและก็ปัญญา ปัญญาวิปัสสนาความรู้แจ้งเห็นจริง ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงเราก็ต้องมาทำความเข้าใจ
คำว่า ‘สติระลึกรู้ตัวปัจจุบัน’ เป็นอย่างไร ปัจจุบันในทางธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าทุกขณะลมหายใจออกซึ่งเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก นี่แหละตรงนี้แหละเราต้องมาสร้างความเพียร
มาสร้างมาเจริญสติมาสร้างความรู้ตัวลงที่กายของเรา หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาเราก็หายใจ แต่เราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ก็เลยปล่อยลมหายใจทิ้ง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากได้บุญ อยากทำบุญมีศรัทธามีความเชื่อมั่น เชื่อบุญเชื่อบาป บุญมากบุญน้อยก็มีโอกาสทำ แต่การเจริญสติ การทำความเข้าใจ อาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่มีไม่ต่อเนื่อง ไม่เชื่อมโยง แล้วก็เลยรู้ไม่ถึง รู้ลึกไม่ถึงฐานของใจ
การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าในกายของเราเป็นอย่างไร อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ตรงนี้แหละ เรามองเห็นเฉพาะในภาพรวม คิดก็รู้ ทำก็รู้ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็ยังหลงอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นสิ่งที่ผ่านมาว่า สติความรู้ตัวที่ต่อเนื่องปัจจุบันธรรมตรงนี้มีไม่มาก มีกะปริดกะปรอย มีไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนเข้มแข็ง ส่วนการเกิดของใจ การเกิดของอาการของขันธ์ห้านี้มีกันทุกคน
ความคิดของเรานั่นแหละ ความคิดที่เกิดจากใจบ้างความคิดที่เกิดจากการไม่ได้ตั้งใจบ้าง ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมที่พระพุทธองค์ท่านแบ่งเอาไว้ ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ตัววิญญาณเขาเรียกว่า ‘กองของวิญญาณ’ ตัวอาการของความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดก็เป็นกองสังขารบ้าง ก็เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง นี่แหละท่านถึงให้เจริญสติ
ส่วนสติ ส่วนบนส่วนสมอง สร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทัน ตามทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนั้นแหละที่เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกต้องในหลักธรรม เห็นถูกแล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ เห็นการเกิดการดับของใจ เข้าใจในเรื่องหลักของอริยสัจ
ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาหลายร้อยหลายพันปี ก็ยังเป็นความจริงอยู่ตลอด เราก็จะมีความเชื่อมั่น ถ้าเราเห็นในสิ่งพวกนี้เราก็จะเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าพระพุทธเจ้านั้นมีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านคงไม่ประกาศ ไม่ประกาศในเรื่องพวกนี้ แล้วก็ชี้แนะแนวทางให้
การสร้างตบะสร้างบารมี… แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีพรหมวิหาร เรามีความเมตตา หรือว่าเรามีความเห็นแก่ตัว หรือว่าเรามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็ต้องมาสำรวจมาแก้ไขตัวเรา แต่ละวันๆ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องคนอื่น
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องของเรา วิธีการดำเนินชีวิตจากความไม่มี จากความไม่มีเราก็ทำให้มีจากมันมีแล้วเราก็เจริญสติมองเห็นความเป็นจริง คือไม่ให้มีเหมือนเดิม คือหลักของอนัตตา แต่ทางสมมตินั้นมีอยู่ สมมติว่าเป็นกายของเราอยู่ สมมติว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ให้ทุกคนพยายามพากันวิเคราะห์พิจารณา อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
อย่าไปเสียดายกับกิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราพยายามมองหาทรัพย์อันยิ่งใหญ่ คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น พยายามสร้างเอาขณะที่เรามีกำลังอยู่ ขณะที่เรามีลมหายใจอยู่ทำเอาสร้างเอาสติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ใจของเรามีความตระหนี่ เราก็ละความตระหนี่ด้วยการให้ ด้วยการเอาออกด้วยการบริจาค ให้โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ในหลักธรรมแล้วกิเลสทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ถ้ามีการเกิดของใจนั่นก็เป็นความหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี่หลง หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์และก็มายึดในร่างกายนี้แล้วก็เกิดต่ออีก เกิดต่ออีกยังไม่พอเราก็ไปหลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก หลายสิ่งสลับซับซ้อน
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติจำแนกแจกแจงชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรเป็นอะไรก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามกัน ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้นก็อย่าไปทิ้งบุญ พยายามหมั่นสร้างบุญบารมีของเรา ไม่ถึงวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงปีหน้าก็ไปถึงเอาภพหน้า ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าสิ่งที่พวกเราทำมานี่ไม่สูญหายไปไหน ก็จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนทำบุญกับตัวของเรา ทำบุญกับใจของเรา ล้นออกไปสู่พี่สู่น้องสู่หมู่สู่คณะสู่สังคมไม่ให้มีความเห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเสียสละ มีตั้งแต่การเป็นผู้ให้ เราให้เราก็จะได้ในสิ่งที่เราให้ เราให้พรหมวิหารให้ความเมตตา ให้ความอนุเคราะห์ สิ่งต่างๆ ก็จะย้อนกลับมาหาเรา มีบริวาร มีหมู่คณะ มีมิตร มีทุกอย่าง ขอให้เราดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สัจธรรมความจริงยังอยู่ และก็เป็นศาสนาที่สอนสูงกว่าทุกศาสนาศาสนาอื่นนั้นสอนอยู่ในหลักของพรหมวิหาร ในความเมตตา ดีทุกศาสนา ศาสนาพุทธท่านสอนถึงเรื่องหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ไม่ต้องกลับมาเกิด ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดในเมื่อเราดับความเกิดได้แล้ว อะไรที่จะเกิดอีกก็ไม่มี มันก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ แต่เวลานี้เขาเกิดในภพมนุษย์คือร่างกายของเรา เราก็ต้องมาพยายามค้นคว้า นี่แหละเป็นสนามรบอย่างดี เป็นหนังสือเล่มใหญ่ สนามรบเล่มใหญ่
เรามาเจริญสติ ดูว่ากายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร เขามีหมด เขามีหมด ถ้าเราจำแนกแจกแจงได้ ท่านถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์แต่เวลานี้เรามองเห็นทั้งกอง กองรูป กองร่างกายของเรานี่คือ อัตตาตัวตนของเรานี่เต็มเปี่ยมไปหมด ใจมายึดตรงนี้ เขาก็ยึดข้างนอกไปหมด ยึดสารพัดอย่าง ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน เขาก็วางทุกอย่าง ที่นี่เราก็มาละกิเลสให้มันหมดจด ก็ต้องพยายามกันนะ
ปีใหม่ก็ขอให้ทุกคนจงพยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งตั้งใจรับพรกัน ขอให้ทุกคนทุกท่านจงไหว้พระพร้อมๆ กัน