หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 87
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 87
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 87
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 สิงหาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรื่องทุกเรื่อง ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดเอาไว้ พันธะภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ทุกคนก็หยุดเอาไว้ น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาทำบุญถวายทาน แล้วก็เจริญสติ
ตามความเป็นจริง เราก็ต้องเจริญสติทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่มีวันหยุด จนเป็นอัตโนมัติจนไม่ได้ฝึก จนเห็นเหตุเห็นผล สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เข้าไปทำความเข้าใจกับตัวใจ การเกิดการดับของใจ การก่อตัวของขันธ์ห้า ใจกับขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร ใจเกิดกิเลส เกิดทิฏฐิเกิดมานะ เรารู้จักละรู้จักดับรู้จักหยุด รู้จักหาวิธีแก้ไขให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน 'ตน' ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ 'ตน' ตัวที่สองก็คือตัวใจ เวลานี้ใจของเราขาดที่พึ่ง มายึดติดขันธ์ห้า มาพึ่งร่างกาย อันนี้พึ่งได้อยู่ในระดับของสมมติ เราอาจจะไม่รู้เพราะว่าเรามาหลงมายึดแล้วก็ไปพึ่งสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้างสารพัดอย่าง ที่เราสวดเราท่องในภาษาบาลีกันมานั่นแหละ เพราะว่าขาดสติเป็นที่พึ่งของใจ ขาดการอบรมใจ มีตั้งแต่ใจวิ่งไปอบรม อบรมโน่นอบรมนี่ เกิดส่งออกไปภายนอกหาที่พึ่งภายนอก ใจก็เลยไม่สงบ ความเกิดของใจนั่นแหละ เวลาใจเกิดใจก็เลยไม่สงบ อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดี เราก็พยายามทำความเข้าใจอบรมใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม หงายขึ้นมา ตามดูเห็นขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รู้ เห็น อาการของอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ ในกายของเรา ใจก็ว่างรับรู้อยู่ ใจเขาเป็นนามธรรมไม่มีตัวไม่มีตน แต่ความรู้สึกรับรู้มีอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ หาวิธีแก้ไข รู้จักสร้างกำลังใจขึ้นมา ชี้เหตุชี้ผล เพียงแค่คลายขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามให้ได้ ตัวอื่นก็คลายได้หมด
ทีนี้เราจะมาละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ส่วนมากก็มีตั้งแต่กิเลสละเอียดน่ะ กิเลสหยาบๆ นานๆ ทีถึงจะเกิด กับความหลง ถ้าคลายความหลงได้ แยกรูปแยกนามได้ก็มาเรื่องของกิเลส มาเรื่องของความเกิด การก่อตัวของใจส่งออกไปภายนอกเรียกว่าอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดที่เราไม่ตั้งใจภายในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา ส่วนรูปก็นั่งอยู่นี่แหละ ส่วนวิญญาณก็ส่วนความคิดอารมณ์ต่างๆ
เราพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักลักษณะของสติเป็นอย่างนี้ รู้จักลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ เวลาใจเกิดเราควบคุมใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเหตุ หรือว่ากลางเหตุ หรือว่าปลายเหตุ หรือว่าส่งออกมาทางวาจา เราดับภายในไม่ได้ เราก็มาหยุดทางวาจา เราหยุดทางวาจาไม่ได้ เราก็ต้องมาใช้ปัญญาหลบหลีกหาวิธีแก้ไข
แต่ละวันๆ ใจเกิดสักกี่เที่ยว เหตุจากภายนอกทำให้เกิด เกิดจากภายใน กิเลสเกิดที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง รู้จักลักษณะ
สติปัญญาทางโลกีย์ มีเท่าไหร่ก็อย่าเพิ่งเอามาคิด ไม่ใช่แนวทางดับทุกข์ เรามาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทัน ทำความเข้าใจว่า อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละเขาเรียกว่า 'ปัจจุบันธรรม' ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต ใจเป็นเอกเป็นหนึ่ง รับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาไปแก้ไข แต่เวลานี้เขารวมกันไปหมด อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง ยังหลงอยู่ตราบใดที่ใจยังเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง เกิดแล้วก็มายึดมาติด แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก เราก็ค่อยมาขัดเกลา
ใจมีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการให้ด้วยการบริจาคด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบ เราก็สร้างความรับผิดชอบขึ้นมา รับผิดชอบต่อตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ก็จะล้นออกไปสู่หมู่คณะ
ส่วนมากก็จะวิ่งออกไปรับผิดชอบตั้งแต่สมมติ รับผิดชอบตั้งแต่ภายนอกกัน ให้รับผิดชอบตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ไอ้เรื่องข้างนอกนั้นเราก็เป็นการอนุเคราะห์เป็นการช่วยเหลือด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร ด้วยใจที่ไม่เกิด
เราต้องแก้ไขภายในให้จบ เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น กิเลสก็ของเรา กิเลสมากกิเลสน้อยก็ของเรา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ปัญญาก็จัดการกับมันทันที หาอุบายหาวิธีการแนวทางที่จะเข้าไปแก้ไข ตั้งแต่ความเกิดแม้แต่นิดเดียวเพียงแค่ความเกิด ความเกิดของใจ ใจไม่เกิดแล้วกิเลสจะมีมาที่ไหน
ในเมื่อเขามาสร้างกิเลส มาสร้างกายขึ้นมาแล้ว เราก็มาจำแนกแจกแจง มาแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผลแล้วก็ไปละแล้วก็ดับความเกิด ละกิเลสที่ใจ มีเรื่องเดียวนี่แหละไม่มีเรื่องอื่น
ถ้าเรารู้จักต้นเหตุแล้วก็ปลายเหตุมันก็ไม่มีปัญหา ดับตั้งแต่ต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านถึงชี้ลงที่เหตุ ดับภายในดับไม่ได้เราก็ทั้งภายนอกภายใน เหตุจากภายนอกก็ละภายนอก แก้ไขภายนอกแล้วมาดับภายใน แล้วก็อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น มีความพอใจ ความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ไม่หลงไม่ยึด ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม บางคนบางท่านก็ฝึกหัดปฏิบัติมาดี บางคนบางท่านก็สมมติไม่พร้อม บางคนบางท่านสมมติก็ล้น เราต้องมาศึกษาทำความเข้าใจ จะมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมาถ้าอบรมใจได้ควบคุมใจได้ ชี้เหตุชี้ผลจนรู้เท่ารู้ทัน จนแยกจนคลาย
สติ-สมาธิ-ปัญญา ต้องเสมอภาพกัน ถ้าใจเกิดวิ่งอย่างเดียวก็มีแต่ความทุกข์ ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นทาสของกิเลส ถ้าสติปัญญาคิดไม่หยุด สมองก็ไม่ได้พัก เราพยายาม ใจก็หยุด สติปัญญาทำหน้าที่แทน ทีนี้สติปัญญาของเรา อะไรเป็นประโยชน์เราก็คิด ทำ อะไรไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่คิด อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็ไม่คิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่คิด การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด ยังประโยชน์
ต้องศึกษาเราให้กระจ่าง วางใจของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด วางใจวางกายให้เป็นธรรมชาติ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่กับถ่าย ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เรารู้ต้นตอ ต้นเหตุ สาเหตุแล้ว ก็ไปจัดการ จัดการที่ต้นเหตุ แล้วก็บริหารรับผิดชอบด้วยปัญญา จะทำมากทำน้อยมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา
พระใหม่พระเก่าก็ต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด 'ผู้ใหม่' ใหม่ในการรู้ในการตื่นในการเบิกบาน ตื่นจากกิเลส ตื่นจากความยึดมั่นถือมั่น มีความรับรู้อยู่ในความบริสุทธิ์หรือซึ่งเรียกว่า 'วิหารธรรม' คือความบริสุทธิ์ความว่าง ความว่าง ความเย็นหรือว่าปีติ วิหารธรรมของใจ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด อันนี้หลวงพ่อพูดปลายเหตุ ต้นเหตุเราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ใจเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับ ดับแล้วก็วาง ใจหลงขันธ์ห้า เมื่อไหร่สังเกตทันเขาก็แยก ตามดูให้ได้เสียก่อน ตามดูรู้ความเป็นจริงภายในกายของเราให้ได้
เราก็มาสร้างสะสมบุญบารมี ละกิเลสละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความเห็นผิด ถ้าแยกได้ความเห็นผิดก็หายไปความเห็นถูกก็ปรากฏ ซึ่งเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก' เห็นถูกไม่ใช่ว่า สมมติเราอาจจะเห็นถูกในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ใช่ตัวใจ เราต้องพยายาม ใจคลายออกจากขันธ์ห้าแล้วก็เห็นถูก แต่ใจยังมีกิเลสอีกมากมาย
ยิ่งฝึกเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ มันอัดแน่นมานาน เป็นทาสของกิเลสมานาน ความเกิดมีมานานแล้วก็เป็นทาสของกิเลสเพราะว่ามันหลงมาตั้งนาน เราต้องพยายามคลายออกทุกอย่าง ให้ใจของเรากลับสู่สภาวะเดิมคือความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ก็พยายาม ให้พยายามด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา อย่าพยายามด้วยความทะเยอทะยานอยากของกิเลสของใจ ทั้งความอยากทั้งความหวังนั่นแหละ มันผิดหมดนั่นแหละ ทั้งอยากทั้งหวัง ท่านให้ละทั้งอยากละทั้งหวัง แล้วการสังเกตการวิเคราะห์การดับ รู้ไม่ทัน เราก็พยายามทำความเข้าใจใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็พยายามหาวิธีดับหาวิธีหยุด
ไม่ใช่ว่าฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ฝึกแล้วก็ต้องรู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ รู้เหตุรู้ผล จนกำลังสติของเราค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ใจยอมรับความเป็นจริงหมด เขาก็ปล่อยเขาก็วางโดยปริยาย สติปัญญาสมาธิเขาก็จะรักษาเรา
ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็พยายามทำ ฝึกใช้สมถะควบคุมใจให้สงบ ปัญญายังไม่เกิด ถ้าเราเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ปัญญาเห็นถูกก็เปิดทาง กำลังสติมันช้าก็ต้องเริ่มใหม่ เพียงแค่ประคับประคองสติให้ได้ตรงนี้ก็ยังลำบาก เพียงแค่สร้าง ทำให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ยังลำบาก มันจะเอาไปใช้การใช้งานได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับสมมติ ภาษาสมมติ ศีลเป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ปกติระดับไหน ระดับกาย วาจา ลึกลงไปก็ระดับใจ ใจที่ไม่เกิด ความปกติของใจ ความบริสุทธิ์ของใจ ความหลุดพ้นของใจ หลุดพ้นด้วยปัญญา ละกิเลสด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าแบบหินทับหญ้า เราก็ต้องพยายามขัดเกลาเอาออก ให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส สักวันหนึ่งในวันข้างหน้าเราอาจจะดับความเกิดได้หมดจดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ละกิเลสไม่ได้หมด ก็จะไปหมดเอาวันข้างหน้า ไม่หมดวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ปีหน้า ไม่หมดจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจยังเกิดอยู่ ถ้าใจยังเกิดเราก็ต้องพยายามแก้ไข
หมั่นน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่สูญหายไปไหน ทรัพย์ อริยทรัพย์ ความจริงอันประเสริฐนั้นมีอยู่ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือการกระทำ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้รู้จักหาวิธีอุบาย
อยู่กับสมมติ เคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติ มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ดูแลรักษากายของเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ ส่วนการเกิดของใจ เราละเราดับตั้งแต่ยังอยู่ในกาย ชี้เหตุชี้ผล เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 สิงหาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรื่องทุกเรื่อง ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดเอาไว้ พันธะภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ทุกคนก็หยุดเอาไว้ น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาทำบุญถวายทาน แล้วก็เจริญสติ
ตามความเป็นจริง เราก็ต้องเจริญสติทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่มีวันหยุด จนเป็นอัตโนมัติจนไม่ได้ฝึก จนเห็นเหตุเห็นผล สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เข้าไปทำความเข้าใจกับตัวใจ การเกิดการดับของใจ การก่อตัวของขันธ์ห้า ใจกับขันธ์ห้า ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขารวมกันได้อย่างไร ใจเกิดกิเลส เกิดทิฏฐิเกิดมานะ เรารู้จักละรู้จักดับรู้จักหยุด รู้จักหาวิธีแก้ไขให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ท่านถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน 'ตน' ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ 'ตน' ตัวที่สองก็คือตัวใจ เวลานี้ใจของเราขาดที่พึ่ง มายึดติดขันธ์ห้า มาพึ่งร่างกาย อันนี้พึ่งได้อยู่ในระดับของสมมติ เราอาจจะไม่รู้เพราะว่าเรามาหลงมายึดแล้วก็ไปพึ่งสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้างสารพัดอย่าง ที่เราสวดเราท่องในภาษาบาลีกันมานั่นแหละ เพราะว่าขาดสติเป็นที่พึ่งของใจ ขาดการอบรมใจ มีตั้งแต่ใจวิ่งไปอบรม อบรมโน่นอบรมนี่ เกิดส่งออกไปภายนอกหาที่พึ่งภายนอก ใจก็เลยไม่สงบ ความเกิดของใจนั่นแหละ เวลาใจเกิดใจก็เลยไม่สงบ อาจจะเกิดอยู่ในคุณงามความดี เราก็พยายามทำความเข้าใจอบรมใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม หงายขึ้นมา ตามดูเห็นขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รู้ เห็น อาการของอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ ในกายของเรา ใจก็ว่างรับรู้อยู่ ใจเขาเป็นนามธรรมไม่มีตัวไม่มีตน แต่ความรู้สึกรับรู้มีอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ หาวิธีแก้ไข รู้จักสร้างกำลังใจขึ้นมา ชี้เหตุชี้ผล เพียงแค่คลายขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามให้ได้ ตัวอื่นก็คลายได้หมด
ทีนี้เราจะมาละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ส่วนมากก็มีตั้งแต่กิเลสละเอียดน่ะ กิเลสหยาบๆ นานๆ ทีถึงจะเกิด กับความหลง ถ้าคลายความหลงได้ แยกรูปแยกนามได้ก็มาเรื่องของกิเลส มาเรื่องของความเกิด การก่อตัวของใจส่งออกไปภายนอกเรียกว่าอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดที่เราไม่ตั้งใจภายในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา ส่วนรูปก็นั่งอยู่นี่แหละ ส่วนวิญญาณก็ส่วนความคิดอารมณ์ต่างๆ
เราพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักลักษณะของสติเป็นอย่างนี้ รู้จักลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ เวลาใจเกิดเราควบคุมใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเหตุ หรือว่ากลางเหตุ หรือว่าปลายเหตุ หรือว่าส่งออกมาทางวาจา เราดับภายในไม่ได้ เราก็มาหยุดทางวาจา เราหยุดทางวาจาไม่ได้ เราก็ต้องมาใช้ปัญญาหลบหลีกหาวิธีแก้ไข
แต่ละวันๆ ใจเกิดสักกี่เที่ยว เหตุจากภายนอกทำให้เกิด เกิดจากภายใน กิเลสเกิดที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง รู้จักลักษณะ
สติปัญญาทางโลกีย์ มีเท่าไหร่ก็อย่าเพิ่งเอามาคิด ไม่ใช่แนวทางดับทุกข์ เรามาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทัน ทำความเข้าใจว่า อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละเขาเรียกว่า 'ปัจจุบันธรรม' ต่อไปข้างหน้าก็ทุกขณะจิต ใจเป็นเอกเป็นหนึ่ง รับรู้อยู่ภายใน ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาไปแก้ไข แต่เวลานี้เขารวมกันไปหมด อาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติแต่ในหลักธรรมแล้วยัง ยังหลงอยู่ตราบใดที่ใจยังเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง เกิดแล้วก็มายึดมาติด แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก เราก็ค่อยมาขัดเกลา
ใจมีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการให้ด้วยการบริจาคด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็พยายามดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบ เราก็สร้างความรับผิดชอบขึ้นมา รับผิดชอบต่อตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ก็จะล้นออกไปสู่หมู่คณะ
ส่วนมากก็จะวิ่งออกไปรับผิดชอบตั้งแต่สมมติ รับผิดชอบตั้งแต่ภายนอกกัน ให้รับผิดชอบตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ไอ้เรื่องข้างนอกนั้นเราก็เป็นการอนุเคราะห์เป็นการช่วยเหลือด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร ด้วยใจที่ไม่เกิด
เราต้องแก้ไขภายในให้จบ เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น กิเลสก็ของเรา กิเลสมากกิเลสน้อยก็ของเรา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ปัญญาก็จัดการกับมันทันที หาอุบายหาวิธีการแนวทางที่จะเข้าไปแก้ไข ตั้งแต่ความเกิดแม้แต่นิดเดียวเพียงแค่ความเกิด ความเกิดของใจ ใจไม่เกิดแล้วกิเลสจะมีมาที่ไหน
ในเมื่อเขามาสร้างกิเลส มาสร้างกายขึ้นมาแล้ว เราก็มาจำแนกแจกแจง มาแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผลแล้วก็ไปละแล้วก็ดับความเกิด ละกิเลสที่ใจ มีเรื่องเดียวนี่แหละไม่มีเรื่องอื่น
ถ้าเรารู้จักต้นเหตุแล้วก็ปลายเหตุมันก็ไม่มีปัญหา ดับตั้งแต่ต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านถึงชี้ลงที่เหตุ ดับภายในดับไม่ได้เราก็ทั้งภายนอกภายใน เหตุจากภายนอกก็ละภายนอก แก้ไขภายนอกแล้วมาดับภายใน แล้วก็อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น มีความพอใจ ความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ไม่หลงไม่ยึด ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม บางคนบางท่านก็ฝึกหัดปฏิบัติมาดี บางคนบางท่านก็สมมติไม่พร้อม บางคนบางท่านสมมติก็ล้น เราต้องมาศึกษาทำความเข้าใจ จะมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมาถ้าอบรมใจได้ควบคุมใจได้ ชี้เหตุชี้ผลจนรู้เท่ารู้ทัน จนแยกจนคลาย
สติ-สมาธิ-ปัญญา ต้องเสมอภาพกัน ถ้าใจเกิดวิ่งอย่างเดียวก็มีแต่ความทุกข์ ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นทาสของกิเลส ถ้าสติปัญญาคิดไม่หยุด สมองก็ไม่ได้พัก เราพยายาม ใจก็หยุด สติปัญญาทำหน้าที่แทน ทีนี้สติปัญญาของเรา อะไรเป็นประโยชน์เราก็คิด ทำ อะไรไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่คิด อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็ไม่คิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่คิด การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด ยังประโยชน์
ต้องศึกษาเราให้กระจ่าง วางใจของเราให้เป็นธรรมชาติที่สุด วางใจวางกายให้เป็นธรรมชาติ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่กับถ่าย ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เรารู้ต้นตอ ต้นเหตุ สาเหตุแล้ว ก็ไปจัดการ จัดการที่ต้นเหตุ แล้วก็บริหารรับผิดชอบด้วยปัญญา จะทำมากทำน้อยมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา
พระใหม่พระเก่าก็ต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด 'ผู้ใหม่' ใหม่ในการรู้ในการตื่นในการเบิกบาน ตื่นจากกิเลส ตื่นจากความยึดมั่นถือมั่น มีความรับรู้อยู่ในความบริสุทธิ์หรือซึ่งเรียกว่า 'วิหารธรรม' คือความบริสุทธิ์ความว่าง ความว่าง ความเย็นหรือว่าปีติ วิหารธรรมของใจ ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด อันนี้หลวงพ่อพูดปลายเหตุ ต้นเหตุเราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ใจเกิดเมื่อไหร่เราก็ดับ ดับแล้วก็วาง ใจหลงขันธ์ห้า เมื่อไหร่สังเกตทันเขาก็แยก ตามดูให้ได้เสียก่อน ตามดูรู้ความเป็นจริงภายในกายของเราให้ได้
เราก็มาสร้างสะสมบุญบารมี ละกิเลสละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความเห็นผิด ถ้าแยกได้ความเห็นผิดก็หายไปความเห็นถูกก็ปรากฏ ซึ่งเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นถูก' เห็นถูกไม่ใช่ว่า สมมติเราอาจจะเห็นถูกในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ใช่ตัวใจ เราต้องพยายาม ใจคลายออกจากขันธ์ห้าแล้วก็เห็นถูก แต่ใจยังมีกิเลสอีกมากมาย
ยิ่งฝึกเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ มันอัดแน่นมานาน เป็นทาสของกิเลสมานาน ความเกิดมีมานานแล้วก็เป็นทาสของกิเลสเพราะว่ามันหลงมาตั้งนาน เราต้องพยายามคลายออกทุกอย่าง ให้ใจของเรากลับสู่สภาวะเดิมคือความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน กายเนื้อแตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ก็พยายาม ให้พยายามด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา อย่าพยายามด้วยความทะเยอทะยานอยากของกิเลสของใจ ทั้งความอยากทั้งความหวังนั่นแหละ มันผิดหมดนั่นแหละ ทั้งอยากทั้งหวัง ท่านให้ละทั้งอยากละทั้งหวัง แล้วการสังเกตการวิเคราะห์การดับ รู้ไม่ทัน เราก็พยายามทำความเข้าใจใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็พยายามหาวิธีดับหาวิธีหยุด
ไม่ใช่ว่าฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ฝึกแล้วก็ต้องรู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ รู้เหตุรู้ผล จนกำลังสติของเราค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ใจยอมรับความเป็นจริงหมด เขาก็ปล่อยเขาก็วางโดยปริยาย สติปัญญาสมาธิเขาก็จะรักษาเรา
ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจไม่สงบเราก็พยายามทำ ฝึกใช้สมถะควบคุมใจให้สงบ ปัญญายังไม่เกิด ถ้าเราเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ปัญญาเห็นถูกก็เปิดทาง กำลังสติมันช้าก็ต้องเริ่มใหม่ เพียงแค่ประคับประคองสติให้ได้ตรงนี้ก็ยังลำบาก เพียงแค่สร้าง ทำให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ยังลำบาก มันจะเอาไปใช้การใช้งานได้อย่างไร
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับสมมติ ภาษาสมมติ ศีลเป็นอย่างไร ความปกติเป็นอย่างไร ปกติระดับไหน ระดับกาย วาจา ลึกลงไปก็ระดับใจ ใจที่ไม่เกิด ความปกติของใจ ความบริสุทธิ์ของใจ ความหลุดพ้นของใจ หลุดพ้นด้วยปัญญา ละกิเลสด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าแบบหินทับหญ้า เราก็ต้องพยายามขัดเกลาเอาออก ให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส สักวันหนึ่งในวันข้างหน้าเราอาจจะดับความเกิดได้หมดจดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ละกิเลสไม่ได้หมด ก็จะไปหมดเอาวันข้างหน้า ไม่หมดวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ปีหน้า ไม่หมดจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจยังเกิดอยู่ ถ้าใจยังเกิดเราก็ต้องพยายามแก้ไข
หมั่นน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่สูญหายไปไหน ทรัพย์ อริยทรัพย์ ความจริงอันประเสริฐนั้นมีอยู่ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือการกระทำ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้รู้จักหาวิธีอุบาย
อยู่กับสมมติ เคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติ มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น ดูแลรักษากายของเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ ส่วนการเกิดของใจ เราละเราดับตั้งแต่ยังอยู่ในกาย ชี้เหตุชี้ผล เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ