หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 123

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 123
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 123
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 123
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 ธันวาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิดแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เพียงแค่การเจริญให้มีให้เกิดขึ้น ตรงนี้ก็ยังทำกันลำบากอยู่ ส่วนที่จะเอากำลังสติไปใช้วิเคราะห์ ไปอบรมใจนั้นก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ถ้าเราไม่สนใจจริงๆ ก็ยิ่งยากที่จะเข้าใจในชีวิตของเรา ก็เลยปล่อยเลยตามเลยไปตามยถากรรม บางทีก็เป็นกุศลกรรมบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลกรรมบ้าง

ความเกิด ความเกิดของใจของเราเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เกิดความโลภ บางครั้งก็เกิดความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ความคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต สารพัดเรื่อง บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ มาเจริญสติเข้าไปอบรม มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็จะเห็น เห็นความเกิดซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เช้าไม่รู้ว่าคิดไปสักกี่เรื่อง ไม่รู้ว่าความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง นอกจากบุคคลที่เจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ แล้วก็รู้จักสร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีระดับไหน ความเสียสละของเรามีระดับไหน การวิเคราะห์การสังเกตของเราต่อเนื่องเชื่อมโยงหรือเปล่า

บุคคลที่มีความเพียร มีสติ มีปัญญา ก็ย่อมจะควบคุมใจของตัวเรา แล้วก็รู้จักแก้ไขใจของเรา จนเห็นเหตุเห็นผล ใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าเห็นตรงนี้ปุ๊บ สัมมาทิฏฐิก็จะเปิดทางให้ ใจก็จะเบา ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในกายของเรา รู้เห็นอาการนะ ทั้งรู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ใจรับรู้ได้ด้วย เขาก็จะเป็นชั้นๆ ชั้นๆ ไปเรื่อยๆ

กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เพียงแค่ระดับชีวิตของสมมติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ว่าอะไรเราขาดตกบกพร่อง เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบ การกระทำของเราถึงพร้อมหรือเปล่า เราต้องพยายามวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดกำลังแล้วก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาปเท่านั้นแหละ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็สร้างบุญละบาป วางหมดทุกอย่าง วางทั้งบุญทั้งบาปแต่อยู่กับบุญ สร้างบุญเพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน

การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศเลยทีเดียว เราอาจจะขยันหมั่นเพียรอยู่ในระดับหนึ่ง ก็อาจจะได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่อย่าไปทิ้งบุญ น้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ กายวาจาใจของเราพยายามให้อยู่ในกองบุญ ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

ถ้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางวันนี้วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า ให้พากันขยันเอานะ อย่าพากันเกียจคร้าน เพราะว่าคนเราเกิดมาไม่เท่าไหร่ก็ตายหมดนั่นแหละ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เห็นมารับเอาโลงศพทุกวันเลย วันละ 2 โลงบ้าง 3 โลงบ้าง วันนี้ก็จะได้สั่งโลงเข้ามาอีกอยู่ 40 โลง โลงหมด นั่นแหละความตาย หมดไป 2,000 กว่าโลง เห็นกันตลอด ถ้าไม่ได้จดบันทึกเอาไว้ เราก็ไม่รู้ว่าใครตายบ้าง ก็จดบันทึกเอาไว้ถึงได้รู้ว่าคนเรานี้ตายแต่ละวันๆ มีการพลัดพรากจากกันทั้งตอนเป็น พลัดพรากจากกันทั้งตอนตาย

อีกสักหน่อยพวกเราก็จะได้ไปเหมือนกัน อย่าไปน้อยใจ ก่อนที่จะได้ไปก็ขอให้ได้สร้างประโยชน์ ก็ขอให้ได้สร้างบุญสร้างกุศล สร้างคุณงามความดีให้เต็มที่ พยายามตักตวงเอากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เราก็จะนำใจของเราเข้าไปสู่ความสุขในวันข้างหน้า ขอให้ใจของเรามีความสุขขณะอยู่ปัจจุบันนี้ให้ได้เสียก่อน อนาคตก็จะออกมาเหมือนกับปัจจุบัน เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี

ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกันหมด หายใจเป็นเหมือนกันหมด แต่จะหายใจเป็น จะรู้หรือเปล่าว่าลมเข้าลมออกเป็นอย่างไร ลมหยาบลมละเอียดเป็นอย่างไร ก็หายใจแต่ขาดการสังเกต

ถ้าบุคคลมาสังเกตการหายใจเข้าหายใจออกที่เชื่อมโยงกันเป็นอย่างนี้นะ การต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะ รู้ไม่ทันเริ่มใหม่ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ สติในทางโลก ปัญญาในทางโลกนั้นมีกันเต็มเปี่ยม ปัญญาในทางธรรมเราก็ต้องสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมา ทำความเข้าใจกับของเก่า ของเก่าก็คือใจของเรานี่แหละ มันคิด ความคิดเก่าๆ ว่ามันเกิดอย่างไร มันไปหลงไปรวมกันได้อย่างไร ทำไมถึงเกิดกิเลส เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก

ใจเกิดความโลภ ก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ก็พยายามดับความโกรธ ให้อภัยอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้าน เราก็สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามขัดเกลา ละความตระหนี่เหนียวแน่น ด้วยการเอาออกด้วยการให้ ทำบ่อยๆ เราไม่มีพรหมวิหาร เราไม่มีความเมตตา เราก็พยายามสร้างขึ้นมา ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความหนักแน่น อ่อนโยน อ่อนน้อม รู้จักแก้ไขตัวเรา เห็นการเกิดการดับ

ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐสี่ ใจส่งไปภายนอกได้อย่างไร ขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มันเป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร เรามองเห็นเป็นก้อนๆ ก้อนทั้งร่างกายของเรานี่แหละ เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเรานี่แหละ แต่ตาปัญญาของพระพุทธองค์บอกว่ามันไม่มีอะไรเลย มีตั้งแต่ความว่างเปล่า แต่เราก็มองเห็นเป็นก้อน ทำอย่างไรเราถึงจะมองเห็นเป็นความว่างเปล่าเหมือนกับพระพุทธองค์มอง

ท่านถึงให้เจริญสติ มาเจริญสติลงในกายของเราให้ได้เสียก่อน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง แล้วก็เห็น อันนี้กองรูปนะ อันนี้กองนาม ตัวจิตวิญญาณซึ่งเป็นกองนามเรียกว่า ‘ความคิด’ มันเกิดอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ที่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวลาดับไปแล้วอนัตตาความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ ทำไมใจถึงมายึดจนเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก

เราก็มาวิเคราะห์มาสังเกต ที่ท่านว่าเป็นกอง ร่างกายนี้เป็นกองของรูป ตัววิญญาณเป็นกองของนาม กองของนามนี่ก็ยังซอยละเอียดลงไปอีกว่า กองอดีต กองอนาคต กองสัญญา กองสังขาร ซึ่งเขารวมกันอยู่ รวมกันอยู่มีหนังห่อหุ้มนี้อยู่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหก ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำหน้าที่ของเขาหมด แต่เราขาดสติที่จะเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปจำแนกแจกแจง เข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เพราะว่าสมมติมันยังไม่คลายให้ กิเลสมันก็ยังปิดบังเอาไว้

กิเลสหยาบบ้าง กิเลสละเอียดบ้าง ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ บุคคลที่มีสติมีปัญญามีความเพียรมากเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ เห็นกิเลสนะ เห็นกิเลสเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลแล้วก็ค่อยละ ค่อยละออกทีนั้นทีนี้ ไม่ใช่เอากิเลสมาหมักหมม มาทับถมดวงใจของตัวเรา

หลวงพ่อก็จะขอพูดเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ไม่พูดเรื่องอื่น เพราะว่าจะเป็นเหตุที่จะนำใจของคนเราเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้ นอกนั้นก็เป็นเรื่องประกอบ ประกอบกันเข้าประกอบกันมา ให้ทั้งสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ถ้าเราเน้นเข้าถึงตัวใจแล้ว มีทรัพย์ภายในแล้ว ทรัพย์นอกก็จะตามมาเอง ทรัพย์ภายนอกเราก็ยังเพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่เวลานี้ใจของเรามันอึดอัดสารพัดอย่าง มาทับถมตัวเองจนหนาเตอะ เราถึงให้เจริญสติมาคลายของเก่าออกให้มันหมด จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ แล้วก็เอาใหม่ทำใหม่ด้วยสติด้วยปัญญา มีใหม่บริหารใหม่ เพื่อยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ขณะที่เรายังมีลมหายใจ หมดลมหายใจเราก็วาง เราก็วางหมดตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ วางที่ใจ วางความยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล

เราต้องศึกษาเข้าใจเรื่องกรรม กรรมอยู่ในกายของเรานี่แหละ กายก็คือก้อนกรรม ตัวขันธ์ห้าก็มาปรุงแต่งกรรม ตัวใจก็ปรุงแต่งกรรม ถ้าเราแยกแยะได้ ตามทำความเข้าใจได้ กรรมเก่ามันก็มาปรุงแต่งใจของเราไม่ได้ คือตัวขันธ์ห้านี่แหละ แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ กรรมเก่าก็ตามไม่ทันก็เลยเป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ที่เกิดจากการกระทำอยู่ปัจจุบัน ใจก็ไม่ยึด ก็เรียกว่า ‘อยู่เหนือกรรม เหนือบุญเหนือบาป’ แล้วก็ละบาปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ใจก็เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา ค่อยๆ ทำ ค่อยเป็นค่อยไป

ถ้าเราศึกษาให้ถูกวิธีถูกแนวทาง เราก็จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว เพียงแค่การสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ ละความเกียจคร้านออกจากกายออกจากใจของเรา การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ตายเป็นตาย ไม่ตายหรอกๆ

ทุกเรื่องเลยในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กินอยู่ขับถ่าย ที่พักของเราเป็นอย่างไร สมบูรณ์ไหม ลำบากไหม ที่พักที่นั่งที่นอนที่อยู่ที่กิน สบู่ยาสีฟัน จะไปไหนมาไหนเราต้องเตรียมพร้อม ไม่ใช่ว่าจะไปหาเอาข้างหน้า เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม ท่านถึงว่าเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เราขาดการพิจารณา มองข้ามๆ

ความขยัน ความรับผิดชอบ ความเสียสละ การให้อภัยอโหสิกรรม ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้ว เราชนะหมดทุกอย่างเลย ขอให้พยายามทำใจของเราให้เข้าถึงทำเถอะ มันไม่เหลือวิสัยหรอก อย่าเอากิเลสมาบังหน้า ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหละ กิเลสจะมีมากมีน้อย เว้นเสียแต่ว่าเราจะขัดเกลาเอาออกให้ได้หมดจดหรือไม่ วันนี้มันไม่หมด ก็วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้

อย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทาน ทานนี้แหละถ้าทานเป็นก็เข้าถึงนิพพานได้เลย ทานไม่หวังไม่ยึดไม่อยาก ทานเพื่อให้เกิดประโยชน์ซึ่งกันและกัน ใจไม่หวังไม่ยึดไม่อยาก ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก ทำความเข้าใจ รู้จักชื่อหน้าตาอาการของเขา ซึ่งมีกันหมดทุกคน

คำว่า 'ปกติ' ความหมายของคำว่าปกติ ปกติหรือว่าศีล ศีลคือความปกติ ปกติระดับไหนล่ะ กายของเราก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนโน้นคนนี้ วาจาของเราก็ไม่ได้ไปอคติไปเพ่งโทษ ไปพูดส่อเสียดพูดเพ้อเจ้อ เราก็พยายามดู ใจของเราล่ะ เราก็ไม่ได้ไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี ถ้าอยากให้ดีจริงๆ ก็ดับความเกิด แยกแยะได้ ดับความเกิด ละความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน แม้ตั้งแต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องละอีก

รายละเอียดมีเยอะแยะอยู่ในกายของเรา คือสนามรบอย่างดีเลย ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาที่ไหนเลย ค้นหาตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ผิดพลาดแก้ไขใหม่ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ หมั่นพร่ำสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา

สติปัญญาของเรายังไม่มียังไม่เข้มแข็ง ก็ไปใช้การใช้งานไม่ได้ จะไปฝึกที่ไหนถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรให้ตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกเรื่อง ก่อนที่จะทำธุระเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจปกติไหม ทำกับข้าวกับปลา จะไปนู่นไปนี่ ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ ใจของเรายังปกติ ยังสะอาดยังสงบอยู่หรือไม่ จะทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็พยายามทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด คือพระนิพพาน คือการไม่กลับมาเกิด ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง