หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 108

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 108
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 108
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 108
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 ตุลาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เกิดความเคยชิน

เราต้องวางภาระหน้าที่ทางการงาน ทางบ้านทางช่องเราก็วางมาแล้ว เราก็เข้ามาถึงวัด วัดภายนอกเราก็เข้ามาถึง มีจิตศรัทธามาทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทาน ทีนี้เราก็มาหยุด มาควบคุมใจควบคุมอารมณ์ เรายังทานกิเลสทานอารมณ์ยังไม่ได้ เพราะว่าเรายังไม่เห็น ยังไม่ได้ทำความเข้าใจ เพราะว่าสติของเราที่สร้างขึ้นมาอันนี้ก็ยังไม่ต่อเนื่องก็ยังไม่ชำนาญ กำลังสติปัญญาก็เลยมีไม่เพียงพอ แต่บารมีส่วนอื่นก็พากันเดินพากันทำอยู่

การฝักใฝ่ การสนใจ มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ตรงนี้มีอยู่ ความเสียสละก็มีอยู่ แต่อาจจะมียังไม่เต็มเปี่ยม การสนใจฝักใฝ่ก็มีบ้าง การเจริญสติก็มีบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ส่วนมากก็จะไม่ค่อยทำ กว่าจะระลึกได้ทีหนึ่ง วันหนึ่งระลึกได้สักนาทีสองนาทีหรือเปล่า แต่ละวันมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่งมีกี่วินาที มาไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนเราเจริญสติให้ต่อเนื่องได้ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ ถึงเรียกว่า ‘ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก’ ซึ่งเรียกว่า ’ปัจจุบันธรรม’ ต่อไปก็ทุกขณะจิต

ถ้าจิตของเราสงบตั้งมั่น จิตของเราคลายจากขันธ์ห้า ทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า ละขันธ์ห้า แล้วก็ละกิเลสออกจากใจของเราได้ จิตของเรา ใจของเรา ก็เบาบางจากกิเลส เราก็มาดับความเกิด ต้องแยกทำความเข้าใจให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน แล้วก็ค่อยละขันธ์ห้า มาละกิเลสที่ใจ

ตามความเป็นจริงนั้น ใจของทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบหรอก เพราะความไม่เข้าใจความหลง ใจเขาถึงเกิด หลงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด อันนี้ตัวกิเลสอันละเอียดที่สุดที่ทำให้ใจของคนเราต้องเกิด คือความเกิด เขาเรียกว่า ‘หลงเกิด’ แล้วก็มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า มีอาการสามสิบสอง มีธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ มีอาการห้าขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วก็มายึด ท่านถึงให้มาเจริญสติตัวใหม่มาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ลงที่กายของตัวเรา พอลงที่กายของเราให้ต่อเนื่อง อย่างอยู่กับปัจจุบันของลมหายใจเข้าออกบ้าง หรือว่าอยู่กับการเดิน ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ เพราะว่ามองเห็นเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนได้ นี่แหละตัวที่จะนำพาไปสู่ทรัพย์อันใหญ่ เรารู้ตัวรู้กายแล้วก็ลึกลงไปรู้เท่าทันใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้นะ ใจที่มีขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันยังไง

ใจมันเป็นธาตุรู้ คิดก็รู้ทำก็รู้ แต่มันหลงเกิด มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น ท่านถึงให้มาสร้างผู้รู้ มาเจริญสติลงที่กายของเรา มันก็เห็นเป็นคนละส่วนกับใจ ต่อไปข้างหน้าใจกับอาการของใจก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกันอีก จำแนกแจกแจง เขาเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ' แยกรูปแยกนาม ความเห็นถูก เห็นถูกในไตรลักษณ์ ในหลักของธรรม สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้

เราก็ตามทำความเข้าใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรื่องกุศลบ้างอกุศลบ้างเป็นกลางๆ บ้าง เรื่องอดีตบ้างอนาคตบ้าง นั่นแหละเขาเรียกว่า 'กรรมเก่า' กรรมตัวนี้มาปรุงแต่งใจของเรา ใจของเราไปหลงขันธ์ห้า ก็ไปด้วยกันแล้วก็ยึดติดขันธ์ห้า ยึดติดขันธ์ห้าตัวเดียวไปยึดเอาหมดทุกอย่าง

ถ้าเราคลายใจออกจากขันธ์ห้า ตามดูขันธ์ห้า ใจของเราก็วางหมดทุกอย่าง ทีนี้เรามาละกิเลสที่ใจ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือเกิดขึ้นที่ใจ ใจส่งเสริมหรือไม่ เหตุจากภายนอก หรือเหตุจากภายในทำให้เกิดกิเลส เราต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสำรวจ หมั่นวิเคราะห์พิจารณาทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เวลาโน้นถึงจะทำเวลานี้ถึงจะทำ อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญของแต่ละบุคคล

การสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามาก บางคนก็สร้างมาตั้งแต่ภพก่อนๆ โน่น แล้วก็ไล่เรียงมาเรื่อยๆ ทำไมเราถึงลำบากยากจน เพราะว่าผลทานของเราไม่มี ทำไมเราถึงได้ร่ำรวย เพราะว่าผลทานของเรามี ความขยันของเรามี ความรับผิดชอบของเรามี อานิสงส์ผลบุญผลทานก็ส่งผลให้ ไม่ได้ตกอับไม่ได้ลำบาก ยิ่งคนไม่มีแล้วล่ะก็ ยิ่งอดยิ่งอยากยิ่งลำบาก ก็เพราะว่าอะไร เพราะอานิสงส์ผลทานในครั้งก่อนๆ ไม่ได้ส่งผลให้ เพราะว่าเราไม่ได้เคยทำ

ถ้าเราทำเอาไว้จากน้อยไปหามากๆ จนกระทั่งเต็มเปี่ยมล้น จนใจของเราไม่มีความอยากอะไร ละดับความอยาก ละกิเลส บริหารสมมติภายนอกภายในให้มีความสุข สมมติภายนอกก็มีความสุข วิมุตติภายในก็มีความสุข ดูแลบริหารไปจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจนั่นแหละ ใจกับกายถึงจะได้พรากจากกัน

แต่เวลานี้ให้รู้ด้วยปัญญาว่า ใจไม่มีขันธ์ห้ามายึดติดเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ การละกิเลส กิเลสของเราเบาบางได้ระดับไหน เราก็ต้องดู แม้แต่กิเลสละเอียดซอยลงไปเรื่อยๆ นิวรณธรรมเป็นอย่างไร ความเกียจคร้านเป็นอย่างไร ความผลักไสเป็นอย่างไร มลทินเป็นอย่างไร มองเห็นคนอื่นเป็นอย่างไร ยกโทษคนอื่น มองเห็นตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ มองเห็นเราต่ำมองเห็นคนอื่นสูง อิจฉาริษยาสารพัดอย่าง ล้วนมีตั้งแต่กองกิเลสทั้งนั้น

แม้แต่การเกิดความคิด ในหลักธรรมแล้วทั้งกุศล ทั้งอกุศล ก็เป็นทั้งกิเลสฝ่ายดีฝ่ายไม่ดี ท่านถึงบอกให้ละให้หมด แล้วก็สร้างกุศลสร้างฝ่ายดีแต่ไม่ยึดติดให้อยู่เหนือ ก่อนที่จะทำความเข้าใจได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ถ้ามีแต่ความเกียจคร้านก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องเป็นคนขยัน ขยันให้ถูกทาง ความขยันนั้นไม่ใช่ขยันด้วยอำนาจของกิเลส ขยันในการวิเคราะห์ในการสังเกตในการสร้างตบะสร้างบารมี ความอดทนอดกลั้นของเรามีไหม สัจจะของเรามีหรือเปล่า ความจริงใจ สัจจะกับตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น รู้จักขวนขวายรู้จักสร้างขึ้นมา รู้จักทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะได้อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พุทธะก็คือผู้รู้ ก็รู้ใจของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘พุทธะ’ พุทธะก็รู้ใจ ทุกคนก็จะน้อมนำเอาพระพุทธเจ้ามาอยู่ในใจของเรา ท่านบอกว่าใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นก็เห็นธรรม ก็คือเห็นใจตัวเอง

ขณะนี้ใจของเราทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลง ถึงเราอาจจะเห็นแต่เรายังดับไม่ได้ เรายังแยกไม่ได้ เราต้องดับเราต้องละตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของความนึกคิดของการก่อตัว ต้นเหตุของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจ ต้นเหตุของใจเข้าไปรวม เราจงจำแนกแจกแจง เราตามดู กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรงถึงจะเป็นมหาสติ ถ้าเราไม่ค้นคว้าเราไม่ตามดู กำลังสติของเราก็หายไปเหมือนเดิม ใจของเราก็จะซึมเข้าไปสู่กับความคิดเหมือนเดิม ถ้ากำลังสติเราค้นคว้าไม่หยุดจนหมดความสงสัย กำลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา ตามรอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในการละกิเลส ตัวไหนเราละได้เราก็รู้ ตัวไหนเราละยังไม่ได้เราก็รู้ เราก็พยายามละลงไปเรื่อยๆ ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลส ตั้งแต่หยาบๆ ไปหาละเอียด

ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ กิเลสนี้มีมาทีหลัง เรามากำจัดกิเลสออกจากใจของเรา ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ด้วยการให้ด้วยการช่วยเหลือด้วยการอนุเคราะห์ เจริญพรหมวิหารให้มากๆ ใจเกิดความโกรธเราก็ดับความโกรธภายใน ให้อภัยอโหสิกรรม ไม่ถือโทษถือโกรธ ไม่อิจฉาริษยา เราพยายาม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะกิเลสเราแล้วเราชนะหมดทุกอย่างนั่นแหละ เราชนะตัวเราแล้วเราก็ชนะหมด

ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งตั้งแต่ตื่นขึ้น ดูใจรู้กายรู้ใจรู้หน้าที่ ใจเกิดความอยาก กายเกิดความหิว ทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรารู้จักจำแนกแจกแจง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเราแล้วหรือยัง ที่ท่านว่าสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ปรับสภาพใจของเราให้มีความหนักแน่นอ่อนโยนไม่หวั่นไหว รับสถานการณ์ได้ทุกอิริยาบถ ตากระทบรูปใจนิ่งหรือไม่ หูกระทบเสียงหวั่นไหวหรือไม่ มีคนมาด่ามาว่า แม้ตั้งแต่จะเอาปืนมายิง ใจของเราก็หนักแน่นไม่ได้หวั่นไหว นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘บุคคลที่เข้าถึงธรรม’

ใจที่ปราศจากกิเลส ที่ท่านบอกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ การละบาปสร้างบุญแล้วก็ทำใจให้บริสุทธิ์ สามข้อเท่านี้แหละ ทำให้มันได้ นอกนั้นก็เป็นหนทางแนวทาง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลสมมติ ศีลวิมุตติ ศีลสังคม ศีลปรมัตถ์ ท่านก็ให้ทำความเข้าใจให้หมดทุกเรื่อง คนเราจะมีเต็มพร้อมมูลทั้งสองอย่างก็ยาก นอกจากบุคคลที่มีบุญ สมมติก็ไม่ได้ลำบาก ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ มีการทำบุญมีการให้ทาน อานิสงส์ตรงนี้มีเต็มเปี่ยม ถึงใจยังเกิดจะกลับมาเกิดก็เกิดในสถานที่สูงๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

บุคคลมีบุญวาสนาจะไขว่คว้าสร้างอานิสงส์ผลบุญผลทานให้เป็นข้าวพกข้าวห่อติดตามตัวไปในวันข้างหน้า จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง คือดับความเกิดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ไม่ว่าจะทำที่ไหน ทำมากทำน้อย อานิสงส์มากอานิสงส์น้อยก็อย่าไปปล่อยปละละเลย โอกาสเปิดการเวลาเปิดสถานที่เปิดตั้งแต่ตื่นขึ้น ทำบุญให้ตัวเรา สำรวจตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่กับพี่กับน้องกับลูกกับหลาน ล้นออกไปสู่หมู่คณะสู่สังคม เราต้องออกจากภายในของเราให้ได้เสียก่อน เราต้องขัดภายในละกิเลสจากภายในของเราให้ได้แต่ก่อน เราก็จะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

การฝึกหัดปฏิบัติจิต แต่ส่วนมากจะพากันกระโดดข้ามจะเอาตั้งแต่ผล จะไปเอาตั้งแต่ผลโน่น ความสะอาดความบริสุทธิ์ สติต่อเนื่องกันเป็นยังไง ไม่ทำให้ต่อเนื่อง การวิเคราะห์ใจ การคลายใจออกจากขันธ์ห้าเป็นยังไง การละขันธ์ห้าเป็นยังไง การละกิเลสเป็นยังไง เราต้องไล่เรียงเข้าถึงต้นเหตุแล้วก็ละออกให้มันหมดๆ เราไม่อยากได้ผลมันก็ได้เองนั่นแหละ

ใจไม่มีกิเลสเขาก็ว่างเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง จะพากันมัวเมาเล่นอะไรอยู่ ก็พากันหัดวิเคราะห์ดู เพียงแค่การเจริญสติก็พากันทำให้ได้เสียก่อนเถอะ ระลึกถึงบุญที่เราเคยสร้างเคยทำที่โน่นที่นี่ จิตใจก็จะมีความสุข อยากได้บุญอยากทำบุญ ถ้าเต็มอิ่มแล้วมันก็ละความอยาก เหมือนกับเราทานข้าว ทานข้าวทานไปทานมาก็อิ่ม อิ่มแล้วก็รู้ว่าอิ่ม ในหลักธรรมแล้วก่อนที่จะทานเราก็รู้ว่าใจของเราปกติหรือว่ากายของเราหิว เราต้องจำแนกแจกแจงให้ได้ทุกอย่าง ถ้าเราแยกแยะรูป แยกแยะนาม แยกแยะจิตออกจากสมมติได้แล้ว เราก็ต้องขัดเกลากิเลสให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปประพฤติไปปฏิบัติ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี่ แหละพากันมองข้าม ก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่

เราจงพยายามแสวงหาทรัพย์อันยิ่งใหญ่ในกายก้อนนี้ให้ได้ขณะที่เขายังแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดกำลังกาย หมดลมหายใจแล้ว ก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง