หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 87 วันที่ 2 ตุลาคม 2563 (2/2)

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 87 วันที่ 2 ตุลาคม 2563 (2/2)
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 87 วันที่ 2 ตุลาคม 2563 (2/2)
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 87
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 ตุลาคม 2563 (2/2)

มีความสุขกันทุกคนดูดีๆ นะ พระเราชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉันก็รู้จักวิเคราะห์ พิจารณากาย ความอยาก ความหิว กายเกิดความหิว ใจเกิดความอยาก มันจะคู่กันทันที ยิ่งหิวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากมากขึ้นเป็นทวีคูณ เราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณา ใจเกิดความอยาก เราดับความอยาก ยิ่งอาหารเยอะๆ อันนู้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย อันโน้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอา กิเลสมันสั่งงาน

เรามาฝึก ไม่ใช่ว่าจะไปเอาเฉพาะเวลาเดินเวลานั่ง เวลาเดินตั้งใจเดิน ตั้งใจนั่ง แต่เวลาใจเกิดกิเลสจริงๆ แล้วเอาไม่ทัน เราต้องเอาให้รู้ทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' เราทำได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง

การเจริญสติ การหายใจเข้าหายใจออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก ตรงนี้ก็ยังทำกันได้ยาก มันก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ จะไปเอาตั้งแต่ไปฝึก ไปเดินไปนั่ง ไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในป่าในเขา อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ เราต้องดูที่ฐาน ต้นเหตุของใจของเรา ลงที่กายของเรา ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม แต่ส่วนมากเรารู้หมด คือรู้ทั้งก้อนรวมทั้งก้อน คิดก็รู้ทำก็รู้ ก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ ของโลกียะ ถูกก็ถูกทั้งก้อน ผิดก็ผิดทั้งก้อน แต่ในความเป็นจริงนั้น คือยังหลงอยู่ เพราะว่าใจของเรายังไม่ได้คลาย ถึงยังไม่ได้คลาย ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ สร้างบารมีเอาไว้ให้ได้ทุกอิริยาบถ

ความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ เราละความเกียจคร้านได้ไหม สติพลั้งเผลอเป็นยังไง การเจริญสติ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่อย่างไร หูทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างเขาทำหน้าที่ของเขาหมด แต่เราไปรวมกันไปหมด เพราะว่าเรายังขาดการแยกแยะ ขาดการทำความเข้าใจ ต้องพยายาม

ผู้หญิงผู้ชาย ก็มีธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครองเหมือนกัน แต่ต่างเพศ ต่างภาวะ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคลที่สร้างมาไม่เหมือนกันบางคนก็มีเพียบพร้อม ทั้งสมมติก็ไม่ได้ลำบาก ทางด้านจิตใจก็ฝักใฝ่ หาทางหลุดพ้นหาทางดับทุกข์ มันก็ไปได้เร็วได้ไว บางคนสมมติก็ลำบาก การปฏิบัติขัดเกลาก็ยิ่งลำบากเข้าไปอีก เพราะว่าสมมติไม่เรียบร้อย ยังลำบากอยู่ ปากท้องก็ยังหิวโหยอยู่ ที่พักที่อาศัย ที่อยู่ ที่หลับที่นอนก็ยังลำบากอยู่ การปฏิบัติใจก็เลยไปได้ยาก ก็ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยฝึกหัดปฏิบัติตัวเรา

ตามความเป็นจริง ผู้รู้ฟังนิดเดียวไปจัดการกับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ทำเรื่องของเราให้ดี ดูหน้าที่ของเราให้ดี ดูเรื่องของเราให้มันจบ จบที่เรา จบทั้งภายใน จบทั้งภายนอก ภายนอกนี้มันจบไม่เป็นหรอก ยิ่งทำเท่าไหร่มันก็ยิ่งเยอะ ยิ่งกว้างขวางออกไป ไล่เรียงลงไปภายในยิ่งคลายออกเท่าไหร่ก็ยิ่งจบ เรียนธรรมเรียนจบ เรียนโลกเรียนไม่จบ เรียนโลกเรียนออกข้างนอก ภายนอกกว้างออกไปเรื่อยๆ เรียนธรรม เรียนทำความเข้าใจ เรียนรู้ เรียนดู เรียนเข้าใจ แล้วก็คลายออกให้มันหมด มันหมดก็คือจบ เหลือตั้งแต่ความเป็นเอกเป็นหนึ่ง

ทีนี้เอาใหม่ มีใหม่ มีด้วยสติมีด้วยปัญญา โดยใจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่คนทั่วไปนั้นใจเรียน มีตั้งแต่เรียนทับถมดวงใจของตัวเอง มันก็เลยไม่จบสักที จบปริญญาโท ปริญญาเอก 5 ใบ 10 ใบ 100 ใบ เท่าไหร่มันก็ยิ่งแบก ยิ่งทุกข์ ถ้าคนเรียนเป็น จะมีกี่ใบก็ไม่ทุกข์ ยิ่งเรียน ยิ่งถ้าเข้าใจภายในแล้ว เรายิ่งเรียนก็ยิ่งเติมความรู้ เสริมความรู้ให้เพิ่มเสริมเติมเข้าไปอีก ถ้าเรียนเป็น ถ้าเรียนไม่เป็นก็ทุกข์ ถ้ามี มีไม่เป็นก็ทุกข์ มีมากก็ทุกข์ มีน้อยก็ทุกข์

ถ้ามาศึกษาธรรมของพระพุทธองค์ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุอย่างเดียว คือต้นเหตุ ต้นเหตุคือต้นใจ ต้นใจก่อตัวตรงไหน เกิดตรงไหน ดับ ละ ตรงนั้น แล้วก็มาปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความเป็นกลาง ให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้อยู่ในพรหมวิหาร ให้อยู่ในความเมตตา ละทิฐิ ละมานะ ละความแข็งกระด้าง ละความเห็นแก่ตัว ละความเห็นผิด คลายความหลง มีอยู่ในหลายชั้น

ใจของเราหลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดเป็นตัวเป็นตน หลงมาตั้งแต่อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มาสร้างร่างกาย ก็มาหลงมายึดในขันธ์ห้าตรงนี้อีก ยึดในขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ เป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก มลทินอีก

ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ได้สร้างตบะเป็นเลิศ ก็ยากที่จะจางคลายออกจากใจของตัวเราได้ ก็ต้องพยายาม ไม่เหลือวิสัย อย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ตั้งแต่ความคิด คิดในกุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็ละ เราก็มาละกิเลสออกจากใจ ดับความเกิดของใจ เหลือตั้งแต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาไปคิดแทน

ทีนี้สติปัญญาของเราก็ยังกำจัดอีก ถ้าเป็นอกุศลก็ไม่ให้เกิด ถ้าเป็นกุศลถึงให้เกิด แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม มันหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน ก็ต้องพยายามกันนะ บุญเราก็สร้าง มีโอกาสไม่ว่าทำบุญที่ไหน โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เราก็ช่วยกันทำ อยู่ที่วัดเราหลวงพ่อก็พาทำตลอดนั่นแหละ

เอ้า ตั้งใจรับพร ขอให้ทุกคนทุกท่านจงไหว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง