หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 099
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 099
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าได้เจริญสติแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจ เพราะว่าตัวใจเกิดส่งออกไปภายนอก เป็นตัวปรุงแต่ง เป็นตัวสั่งงานหมด
เราต้องมาเจริญสติ เจริญปัญญาเข้าไปอบรมใจของเรา เข้าไปแก้ไขใจของเรา ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสมากที่สุดที่จะเข้าถึงธรรม ตัวใจของเรานั่นแหละคือธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ แต่ก็เกิดอยู่ในกองกุศล ให้เกิดอยู่ในกองกุศลเอาไว้ การสังเกต การวิเคราะห์ การสำรวจ การทำความเข้าใจ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของสติที่เราสร้างขึ้นมา
การฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าไม่รู้ใจแล้วจะไปสอนใจได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นใจ ลักษณะของใจเขาอยู่ตรงไหน ถ้าไม่เห็นใจ ไม่รู้ใจ ไม่รู้ลักษณะของใจ มันก็สอนใจไม่ได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจนั่นแหล่ะส่งออกไปสอน ทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงความคิด หลงอารมณ์ด้วย นอกจากจะคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไรนั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติ ว่าเป็นปัญญา อันโน้นเป็นปัญญา อันนี้เป็นปัญญา อันนี้ก็เป็นอยู่ แต่เป็นปัญญาของสมมติ ของโลกิยะ เราสร้างความรู้ตัวขึ้นมาจนเอาไปใช้การใช้งาน จนรู้ว่าใจของเราคลายออกจากความคิด คลายความหลง แล้วก็หาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงจะสอนตัวเองได้ ส่วนมากก็สอนได้อยู่ในระดับของสมมติ ของโลกียะ อันนั้นถูก อันนี้ผิด อันนั้นควรทำ อันนั้นควรจะละ อันนี้ควรเจริญ แม้แต่ระดับของสมมติก็ยังเอายากอยู่
บุคคลก็สร้างบุญมาดี สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลำบาก บางคนก็ลำบาก บางคน บางท่านก็ยังต้องมาสร้างมาสานต่อ เราอยู่กับสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ มีความขยันหมั่นเพียรให้ถูกที่ถูกทาง สมมติก็ไม่ได้ลำบาก ความเป็นอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ลำบาก ก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกื้อหนุนกันหมด อนุเคราะห์เกื้อหนุนกันเป็นลูกโซ่ จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหล่ะ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติในทางด้านรูปธรรม แต่เราจำแนกแจกแจงให้รู้เห็นด้วยปัญญา ด้วยการเจริญสติ ด้วยการเจริญปัญญาขณะที่เรายังมีลมหายใจ ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นใจ ไม่รู้ใจ แล้วจะไปสอนใจไม่ได้เลย มีแต่ใจปกปิดตัวเองเอาไว้ตลอดเวลา ทั้งขันธ์ห้า ทั้งความคิด ทั้งอารมณ์ ทั้งกิเลสต่างๆ
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ในหลักของความเป็นจริงแล้ว เราต้องเจริญสติไปสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอน เราสอนเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมายันกระทั่งนอนหลับ ภาระหน้าที่สมมติเราก็ทำให้ดี ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ว่าอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ที่ทำการทำงาน เราก็ช่วยกัน อยู่วัด คนอยู่วัดต้องเป็นคนที่ขยัน แก้ไขตัวเรา ไม่ใช่มางอมืองอเท้า สร้างความเกียจคร้านให้ตัวเอง เราต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียรอย่างเต็มที่ ความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข เราทำเอาไว้วันนี้ อนาคตก็จะออกมาดี ให้ช่วยกันทำฝากเอาไว้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่
เดี๋ยวนี้ก็เป็นแหล่งบุญใหญ่แล้วแหล่ะ ทั้งใกล้ทั้งไกล พี่น้อง ทั้งลูกหลานของเราก็พากันมา ทั้งลูกเด็กเล็กแดงพากันมาแล้วก็มีความสุข นั่นแหล่ะบุญก็ได้เกิดขึ้น เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามา จิตใจก็มีความสุข ไปจุดโน้นบ้าง จุดนี้บ้าง เห็นแล้วก็เกิดปีติ เกิดสุข บุญอานิสงส์แห่งบุญก็พลอยได้รับตรงนั้นด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ทางบ้านเมืองก็พากันมา ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่
พวกเราอยู่ก็ช่วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทุกสถานที่เราต้องช่วยกันดูแล ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ห้องครัว ให้ช่วยกัน ฆราวาสญาติโยมที่มาอาศัยก็เหมือนกัน ให้ช่วยกันดูแลช่วยกันทำความสะอาด อย่าไปปล่อยปละละเลย คนเรานี้ ถ้าอยู่ที่ไหนถ้ามีความสะอาด ความสะอาดนั่นแหล่ะคือความเป็นระเบียบ ระเบียบจากข้างในก็พลอยส่งผลออกไปภายนอก ทั้งภายนอกภายในก็เกื้อหนุนกัน การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ก็ต้องแก้ไขตัวเรา ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ด้วยกันเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อยู่ด้วยกันด้วยความรักสมัครสามัคคี
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ย้ำเตือนพวกท่านให้พากันทำ พากันดู พากันพิจารณา ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็เหมือนเดิม จะพูดจนปากเปียกปากแฉะ มันก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ บุคคลคนที่มีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตใจที่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่ลังเล เรารู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักเจริญพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น
บุคคลที่จะเอานั้น มองเห็น รู้จักแนวทางแล้วทำความเพียร คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างไร ฐานของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร การพร่ำสอนใจเป็นลักษณะอย่างไร นี่แหล่ะเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทั้งสติทั้งปัญญา สมมติก็ช่วยกันทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ทุกวัน ยังสมมติให้เป็นอานิสงส์ใหญ่ของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
เราต้องมาเจริญสติ เจริญปัญญาเข้าไปอบรมใจของเรา เข้าไปแก้ไขใจของเรา ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสมากที่สุดที่จะเข้าถึงธรรม ตัวใจของเรานั่นแหละคือธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่ แต่ก็เกิดอยู่ในกองกุศล ให้เกิดอยู่ในกองกุศลเอาไว้ การสังเกต การวิเคราะห์ การสำรวจ การทำความเข้าใจ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของสติที่เราสร้างขึ้นมา
การฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าไม่รู้ใจแล้วจะไปสอนใจได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นใจ ลักษณะของใจเขาอยู่ตรงไหน ถ้าไม่เห็นใจ ไม่รู้ใจ ไม่รู้ลักษณะของใจ มันก็สอนใจไม่ได้ ส่วนมากก็มีตั้งแต่ใจนั่นแหล่ะส่งออกไปสอน ทั้งเกิดด้วย ทั้งหลงความคิด หลงอารมณ์ด้วย นอกจากจะคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไรนั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง
ถ้าเราสร้างความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติ ว่าเป็นปัญญา อันโน้นเป็นปัญญา อันนี้เป็นปัญญา อันนี้ก็เป็นอยู่ แต่เป็นปัญญาของสมมติ ของโลกิยะ เราสร้างความรู้ตัวขึ้นมาจนเอาไปใช้การใช้งาน จนรู้ว่าใจของเราคลายออกจากความคิด คลายความหลง แล้วก็หาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงจะสอนตัวเองได้ ส่วนมากก็สอนได้อยู่ในระดับของสมมติ ของโลกียะ อันนั้นถูก อันนี้ผิด อันนั้นควรทำ อันนั้นควรจะละ อันนี้ควรเจริญ แม้แต่ระดับของสมมติก็ยังเอายากอยู่
บุคคลก็สร้างบุญมาดี สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลำบาก บางคนก็ลำบาก บางคน บางท่านก็ยังต้องมาสร้างมาสานต่อ เราอยู่กับสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ มีความขยันหมั่นเพียรให้ถูกที่ถูกทาง สมมติก็ไม่ได้ลำบาก ความเป็นอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ลำบาก ก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกื้อหนุนกันหมด อนุเคราะห์เกื้อหนุนกันเป็นลูกโซ่ จนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นแหล่ะ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติในทางด้านรูปธรรม แต่เราจำแนกแจกแจงให้รู้เห็นด้วยปัญญา ด้วยการเจริญสติ ด้วยการเจริญปัญญาขณะที่เรายังมีลมหายใจ ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นใจ ไม่รู้ใจ แล้วจะไปสอนใจไม่ได้เลย มีแต่ใจปกปิดตัวเองเอาไว้ตลอดเวลา ทั้งขันธ์ห้า ทั้งความคิด ทั้งอารมณ์ ทั้งกิเลสต่างๆ
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ในหลักของความเป็นจริงแล้ว เราต้องเจริญสติไปสอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอน เราสอนเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมายันกระทั่งนอนหลับ ภาระหน้าที่สมมติเราก็ทำให้ดี ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ไม่ว่าอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ที่ทำการทำงาน เราก็ช่วยกัน อยู่วัด คนอยู่วัดต้องเป็นคนที่ขยัน แก้ไขตัวเรา ไม่ใช่มางอมืองอเท้า สร้างความเกียจคร้านให้ตัวเอง เราต้องเพิ่มความขยันหมั่นเพียรอย่างเต็มที่ ความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข เราทำเอาไว้วันนี้ อนาคตก็จะออกมาดี ให้ช่วยกันทำฝากเอาไว้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่
เดี๋ยวนี้ก็เป็นแหล่งบุญใหญ่แล้วแหล่ะ ทั้งใกล้ทั้งไกล พี่น้อง ทั้งลูกหลานของเราก็พากันมา ทั้งลูกเด็กเล็กแดงพากันมาแล้วก็มีความสุข นั่นแหล่ะบุญก็ได้เกิดขึ้น เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามา จิตใจก็มีความสุข ไปจุดโน้นบ้าง จุดนี้บ้าง เห็นแล้วก็เกิดปีติ เกิดสุข บุญอานิสงส์แห่งบุญก็พลอยได้รับตรงนั้นด้วย ผู้หลักผู้ใหญ่ทางบ้านเมืองก็พากันมา ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่
พวกเราอยู่ก็ช่วยกัน อย่าไปเกียจคร้าน ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทุกสถานที่เราต้องช่วยกันดูแล ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ห้องครัว ให้ช่วยกัน ฆราวาสญาติโยมที่มาอาศัยก็เหมือนกัน ให้ช่วยกันดูแลช่วยกันทำความสะอาด อย่าไปปล่อยปละละเลย คนเรานี้ ถ้าอยู่ที่ไหนถ้ามีความสะอาด ความสะอาดนั่นแหล่ะคือความเป็นระเบียบ ระเบียบจากข้างในก็พลอยส่งผลออกไปภายนอก ทั้งภายนอกภายในก็เกื้อหนุนกัน การฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา ก็ต้องแก้ไขตัวเรา ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ด้วยกันเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อยู่ด้วยกันด้วยความรักสมัครสามัคคี
หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ย้ำเตือนพวกท่านให้พากันทำ พากันดู พากันพิจารณา ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็เหมือนเดิม จะพูดจนปากเปียกปากแฉะ มันก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ บุคคลคนที่มีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตใจที่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่ลังเล เรารู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักเจริญพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น
บุคคลที่จะเอานั้น มองเห็น รู้จักแนวทางแล้วทำความเพียร คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นลักษณะอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างไร ฐานของใจ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างไร การพร่ำสอนใจเป็นลักษณะอย่างไร นี่แหล่ะเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทั้งสติทั้งปัญญา สมมติก็ช่วยกันทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ทุกวัน ยังสมมติให้เป็นอานิสงส์ใหญ่ของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในใจของเราทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ