หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 084
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 084
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ถ้ายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวก็รีบสร้างเสีย นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก
การน้อม น้อมสำเหนียกหมายถึงการน้อมเข้าไปรู้ เข้าไปรู้ในกายของเรา รู้ลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า ‘รู้กาย’ เรารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมสัมผัสเข้าสัมผัสออกก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้ต่อเนื่อง มันก็จะจากสั้นๆ ไปหายาวขึ้นๆ รู้ได้มากขึ้นๆ จนมีกำลัง เขาเรียกว่า ‘กำลังสติ’ แล้วก็กำลังของสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้เท่าทันลักษณะของจิตของวิญญาณของเรา
ลักษณะของวิญญาณ เวลาเขาก่อตัว เรารู้ลักษณะอาการเขาเริ่มก่อตัว แต่ส่วนมากเราไม่ได้สร้างความรู้ตัว เราเลยไปเอาความรู้ที่เกิดจากวิญญาณนั่นแหละว่าเราคิดเราทำ ตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณรวมกันเป็นหนึ่งอยู่ เขาหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ แล้วก็มาบวกกับกายเนื้ออีก จึงเป็นรูป เป็นนาม ส่วนนามเราก็ยังแยกไม่ได้ ส่วนรูปก็ร่างกายเราก็มองเห็น ตาเนื้อ
เราถึงให้มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่นอนหลับ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ และจนกระทั่งเราหลับ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ขณะที่เรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง จิตก็จะก่อตัวเกิดขึ้นมานั่นอีกส่วนหนึ่ง เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็ดับเอาไว้ บางทีก็ความคิดเขาแทรกเข้ามา ที่เราไม่ตั้งใจคิดก็เรียกว่า ‘อาการ’
อาการมันเริ่มก่อตัวอย่างไร ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรารู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดออกก็เรียกว่า ‘หงาย’ พลิกจากของที่คว่ำ ก็เรียกว่า ‘หงาย’ ภาษาธรรมะที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันก็เรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามดู จิตก็จะว่างรับรู้ สติของเราก็จะตามดูการเกิดการดับก็เรียกว่าเห็น รู้ ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าเป็นเรื่องอดีตท่านเรียกว่า ‘กองของสัญญา’ ความจำได้หมายรู้ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง การปรุงแต่งของความคิด ของอารมณ์ ตัวจิตรวมเข้าไปเขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ ถ้าเรารู้เราเห็น ท่านถึงบอกว่าเห็นเป็นกองๆ รู้เป็นส่วนๆ แต่เขาก็อยู่ในกายเนื้อของเรา
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกันเลย เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ พลาด ผิดพลาดตรงนี้มากทีเดียว เพราะว่าความขยันหมั่นเพียรในการสร้างความรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็จะอาจจะอึดอัด เพราะว่าความไม่เคยชิน อีกอย่างหนึ่งจิตของคน วิญญาณของคนชอบคิดชอบเที่ยว มันหลงมาตั้งนาน หลงมาแล้วถึงได้มาเกิด มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าไปหลงเข้าไปรวมแล้วเข้าไปยึดโดยอัตโนมัติ เราอาจจะเข้าใจว่าเราไม่ยึด แต่ถ้ายังคลายไม่ได้ ถ้าคลายได้เมื่อไหร่แล้วเราจะรู้ตัวว่าเราหลง ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะว่าเรามีสติอยู่ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องไม่ให้พลั้งเผลอ นั่นแหละเราถึงจะว่าแต่ก่อนความรู้ตัวสติเราไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากกิเลส
ถ้าเรามาวิเคราะห์ให้ชัดเจนในส่วนนี้ เราก็จะมองเห็น ว่าเราจะดำเนินอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม กายก็ก้อนโลก สมมติโลกธรรมแปดก็เป็นโลก โลกภายนอกโลกภายใน เราต้องทำความเข้าใจให้หมดทั้งสองทางคือทั้งธรรมทั้งโลก เปลี่ยนจากปัญญาโลกียะเป็นปัญญาโลกุตระ เพียงแค่พลิกใจของเราให้หงาย ของที่คว่ำหงายขึ้นมาให้รู้ว่าเห็นตามความเป็นจริง ดับความเกิด เราก็ละกิเลสออกจากใจของเราที่ละเล็กทีละน้อย สมมติต่างๆ เราก็ช่วยกันทำเพื่อที่จะยังส่งผลถึงความเป็นอยู่ในทางสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ความเป็นอยู่ดีมีความสุขก็ส่งผลให้ถึงใจได้มีความสุข
มันจะหลายชั้นเข้าไปเรื่อยๆ จากสมมติภายนอกก็ยังกายสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ถ้ามาปรับสภาพจิตของเราให้อยู่ในบุญกุศลอีก ให้คลายความหลงอีก ละเข้าไปเรื่อยๆ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ละกิเลสละเอียดลึกๆ ลงไป รู้ลักษณะตัววิญญาณ ตัวใจให้ชัดเจน เราก็จะมองเห็นแจ่มชัด ตราบใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นตรงนี้ เราก็พยายามน้อมกายของเราเข้ามาให้มีศรัทธาอยู่ในกองบุญกองกุศล ถ้ารู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่องจากน้อยๆ จาก 1ครั้ง 2ครั้งไปเรื่อยๆ ค่อยสะสมกำลังสติปัญญา ตัวนี้อายุมากขึ้นเราก็จะไม่เข้าใจในช่วงนี้ ก็จะเข้าใจในวันข้างหน้า ไม่เข้าใจในวันข้างหน้า เดือนหน้าปีหน้า ไม่เข้าใจจริงๆ เขาจะไปต่อภพหน้าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัย เราพยายามดู รู้ให้ถึงสาเหตุของการเกิด มีเหตุ มีปัจจัย มีเชื้อ เราก็ต้องพยายามละเชื้อ ดับเชื้อการเกิดของเขา คลายความหลงของเขาให้ได้ด้วยการมาเจริญสติ รู้จักเอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าหัดปฏิบัติโดยไม่รู้เรื่องอะไร การเจริญสติก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ มันก็ยิ่งห่างไกลทั้งที่พากายเข้ามาในวัด ยิ่งการสร้างสติให้ได้ทุกอริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน ดูเรื่องภายนอกเราให้มันจบเสีย เรื่องภายนอกก็ทำด้วยสติปัญญาธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำเพื่อส่วนร่วม ถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้ทิ้งหมด ให้เราทิ้งในระหว่างขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ วางภายใน ถ้าเราไม่รู้จุดวาง มันก็ว่างไม่ได้อีกนั่นแหละ
เราก็ต้องพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเรามาถึงเมื่อไหร่ เราก็จะเห็น ใจของเราก็จะคลาย ถ้าเราไม่เข้าใจ เรายิ่งห่างไกล ยิ่งไม่สนใจนั่นก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปอีก ยิ่งปิดกั้นตัวเองเข้าไปอีก ก็ต้องพยายามเอานะ ไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีเรา ญาติโยมเราที่มาอยู่วัด มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ช่วยกันทำ ไม่ว่าพระว่าชีสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ทำหน้าที่ของเราให้ดี
วันนี้ก็ เมื่อวานนี้โยมเขาก็เอาปุ๋ยเอาอะไรมาส่ง พวกชีพวกโยมของเราว่างๆ ก็พากันไปช่วยเอาปุ๋ยใส่ต้นไม้ให้หน่อยนะ ต้นไม้ต้นซากุระเมืองไทยเรียกว่าต้นกัลปพฤกษ์ ไม้ประจำเมืองขอนแก่น เราเอาปุ๋ยเอาอะไรไปใส่ ช่วยกันรดน้ำคนละเล็กละน้อย วันโน้นบ้างวันนี้บ้าง อีกไม่นานก็เติบโตขึ้นมาเขาจะออกดอกสวยงามเต็มสะพรั่งสวยไปหมด ไม่ถึงปีสองปีก็จะเห็นความสวยความงาม
ช่วงนี้เรากำลังวาง เริ่มต้นในการทำในการสร้าง ต้นเหตุมี เราไม่อยากจะได้ดอกไม่อยากจะได้ลูกเราก็ได้ ต่อไปข้างหน้าคนก็จะได้มาอาศัย มาพึ่งร่มเงาในสิ่งที่พวกเราทำ ฝากเอาไว้ในใจของเรา ฝากเอาไว้กับแผ่นดิน เข้ามาตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในวัดก็มีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น อะไรที่ไม่ดีอะไรที่จะนำความเสื่อมมาให้ เราพยายามละ พยายามห่างไกล พยายามกำจัดออกไป ให้เหลือแต่สิ่งกุศล อกุศลพยายามละ เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยม ถึงวาระเวลาแล้วก็ยกระดับจิตของเราให้อยู่เหนือกุศล ไม่ยึด ยังประโยชน์กับสมมติให้เต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข เพราะว่าการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงวาระถึงเวลา ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
การน้อม น้อมสำเหนียกหมายถึงการน้อมเข้าไปรู้ เข้าไปรู้ในกายของเรา รู้ลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า ‘รู้กาย’ เรารู้ให้ต่อเนื่องเวลาลมสัมผัสเข้าสัมผัสออกก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้ต่อเนื่อง มันก็จะจากสั้นๆ ไปหายาวขึ้นๆ รู้ได้มากขึ้นๆ จนมีกำลัง เขาเรียกว่า ‘กำลังสติ’ แล้วก็กำลังของสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้เท่าทันลักษณะของจิตของวิญญาณของเรา
ลักษณะของวิญญาณ เวลาเขาก่อตัว เรารู้ลักษณะอาการเขาเริ่มก่อตัว แต่ส่วนมากเราไม่ได้สร้างความรู้ตัว เราเลยไปเอาความรู้ที่เกิดจากวิญญาณนั่นแหละว่าเราคิดเราทำ ตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณรวมกันเป็นหนึ่งอยู่ เขาหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ แล้วก็มาบวกกับกายเนื้ออีก จึงเป็นรูป เป็นนาม ส่วนนามเราก็ยังแยกไม่ได้ ส่วนรูปก็ร่างกายเราก็มองเห็น ตาเนื้อ
เราถึงให้มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่นอนหลับ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ และจนกระทั่งเราหลับ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ขณะที่เรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง จิตก็จะก่อตัวเกิดขึ้นมานั่นอีกส่วนหนึ่ง เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็ดับเอาไว้ บางทีก็ความคิดเขาแทรกเข้ามา ที่เราไม่ตั้งใจคิดก็เรียกว่า ‘อาการ’
อาการมันเริ่มก่อตัวอย่างไร ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรารู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตก็จะดีดออกก็เรียกว่า ‘หงาย’ พลิกจากของที่คว่ำ ก็เรียกว่า ‘หงาย’ ภาษาธรรมะที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันก็เรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามดู จิตก็จะว่างรับรู้ สติของเราก็จะตามดูการเกิดการดับก็เรียกว่าเห็น รู้ ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า
ถ้าเป็นเรื่องอดีตท่านเรียกว่า ‘กองของสัญญา’ ความจำได้หมายรู้ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ บ้าง การปรุงแต่งของความคิด ของอารมณ์ ตัวจิตรวมเข้าไปเขาเรียกว่า ‘กองสังขาร’ ถ้าเรารู้เราเห็น ท่านถึงบอกว่าเห็นเป็นกองๆ รู้เป็นส่วนๆ แต่เขาก็อยู่ในกายเนื้อของเรา
แต่เวลานี้ความรู้ตัวของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกันเลย เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ พลาด ผิดพลาดตรงนี้มากทีเดียว เพราะว่าความขยันหมั่นเพียรในการสร้างความรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็จะอาจจะอึดอัด เพราะว่าความไม่เคยชิน อีกอย่างหนึ่งจิตของคน วิญญาณของคนชอบคิดชอบเที่ยว มันหลงมาตั้งนาน หลงมาแล้วถึงได้มาเกิด มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าไปหลงเข้าไปรวมแล้วเข้าไปยึดโดยอัตโนมัติ เราอาจจะเข้าใจว่าเราไม่ยึด แต่ถ้ายังคลายไม่ได้ ถ้าคลายได้เมื่อไหร่แล้วเราจะรู้ตัวว่าเราหลง ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะว่าเรามีสติอยู่ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องไม่ให้พลั้งเผลอ นั่นแหละเราถึงจะว่าแต่ก่อนความรู้ตัวสติเราไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากกิเลส
ถ้าเรามาวิเคราะห์ให้ชัดเจนในส่วนนี้ เราก็จะมองเห็น ว่าเราจะดำเนินอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม กายก็ก้อนโลก สมมติโลกธรรมแปดก็เป็นโลก โลกภายนอกโลกภายใน เราต้องทำความเข้าใจให้หมดทั้งสองทางคือทั้งธรรมทั้งโลก เปลี่ยนจากปัญญาโลกียะเป็นปัญญาโลกุตระ เพียงแค่พลิกใจของเราให้หงาย ของที่คว่ำหงายขึ้นมาให้รู้ว่าเห็นตามความเป็นจริง ดับความเกิด เราก็ละกิเลสออกจากใจของเราที่ละเล็กทีละน้อย สมมติต่างๆ เราก็ช่วยกันทำเพื่อที่จะยังส่งผลถึงความเป็นอยู่ในทางสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข ความเป็นอยู่ดีมีความสุขก็ส่งผลให้ถึงใจได้มีความสุข
มันจะหลายชั้นเข้าไปเรื่อยๆ จากสมมติภายนอกก็ยังกายสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ถ้ามาปรับสภาพจิตของเราให้อยู่ในบุญกุศลอีก ให้คลายความหลงอีก ละเข้าไปเรื่อยๆ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ละกิเลสละเอียดลึกๆ ลงไป รู้ลักษณะตัววิญญาณ ตัวใจให้ชัดเจน เราก็จะมองเห็นแจ่มชัด ตราบใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นตรงนี้ เราก็พยายามน้อมกายของเราเข้ามาให้มีศรัทธาอยู่ในกองบุญกองกุศล ถ้ารู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่องจากน้อยๆ จาก 1ครั้ง 2ครั้งไปเรื่อยๆ ค่อยสะสมกำลังสติปัญญา ตัวนี้อายุมากขึ้นเราก็จะไม่เข้าใจในช่วงนี้ ก็จะเข้าใจในวันข้างหน้า ไม่เข้าใจในวันข้างหน้า เดือนหน้าปีหน้า ไม่เข้าใจจริงๆ เขาจะไปต่อภพหน้าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัย เราพยายามดู รู้ให้ถึงสาเหตุของการเกิด มีเหตุ มีปัจจัย มีเชื้อ เราก็ต้องพยายามละเชื้อ ดับเชื้อการเกิดของเขา คลายความหลงของเขาให้ได้ด้วยการมาเจริญสติ รู้จักเอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าหัดปฏิบัติโดยไม่รู้เรื่องอะไร การเจริญสติก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ มันก็ยิ่งห่างไกลทั้งที่พากายเข้ามาในวัด ยิ่งการสร้างสติให้ได้ทุกอริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน ดูเรื่องภายนอกเราให้มันจบเสีย เรื่องภายนอกก็ทำด้วยสติปัญญาธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำเพื่อส่วนร่วม ถึงวาระเวลาเราก็ต้องได้ทิ้งหมด ให้เราทิ้งในระหว่างขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ วางภายใน ถ้าเราไม่รู้จุดวาง มันก็ว่างไม่ได้อีกนั่นแหละ
เราก็ต้องพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเรามาถึงเมื่อไหร่ เราก็จะเห็น ใจของเราก็จะคลาย ถ้าเราไม่เข้าใจ เรายิ่งห่างไกล ยิ่งไม่สนใจนั่นก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปอีก ยิ่งปิดกั้นตัวเองเข้าไปอีก ก็ต้องพยายามเอานะ ไม่เหลือวิสัยหรอก ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีเรา ญาติโยมเราที่มาอยู่วัด มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ เราก็ช่วยกันทำ ไม่ว่าพระว่าชีสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ทำหน้าที่ของเราให้ดี
วันนี้ก็ เมื่อวานนี้โยมเขาก็เอาปุ๋ยเอาอะไรมาส่ง พวกชีพวกโยมของเราว่างๆ ก็พากันไปช่วยเอาปุ๋ยใส่ต้นไม้ให้หน่อยนะ ต้นไม้ต้นซากุระเมืองไทยเรียกว่าต้นกัลปพฤกษ์ ไม้ประจำเมืองขอนแก่น เราเอาปุ๋ยเอาอะไรไปใส่ ช่วยกันรดน้ำคนละเล็กละน้อย วันโน้นบ้างวันนี้บ้าง อีกไม่นานก็เติบโตขึ้นมาเขาจะออกดอกสวยงามเต็มสะพรั่งสวยไปหมด ไม่ถึงปีสองปีก็จะเห็นความสวยความงาม
ช่วงนี้เรากำลังวาง เริ่มต้นในการทำในการสร้าง ต้นเหตุมี เราไม่อยากจะได้ดอกไม่อยากจะได้ลูกเราก็ได้ ต่อไปข้างหน้าคนก็จะได้มาอาศัย มาพึ่งร่มเงาในสิ่งที่พวกเราทำ ฝากเอาไว้ในใจของเรา ฝากเอาไว้กับแผ่นดิน เข้ามาตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในวัดก็มีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น อะไรที่ไม่ดีอะไรที่จะนำความเสื่อมมาให้ เราพยายามละ พยายามห่างไกล พยายามกำจัดออกไป ให้เหลือแต่สิ่งกุศล อกุศลพยายามละ เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยม ถึงวาระเวลาแล้วก็ยกระดับจิตของเราให้อยู่เหนือกุศล ไม่ยึด ยังประโยชน์กับสมมติให้เต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข เพราะว่าการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงวาระถึงเวลา ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ