หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 078

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 078
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 078
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน​ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน เป็นการชี้แนะวิธีอุบาย นั่งตามสบาย​ วางกายให้สบาย​ ไม่ต้องพนมมือ​ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

เพียงแค่เรื่องลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เราก็ขาดการสนใจ ความรู้สึกตัว​ ความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าเป็นอย่างไร เวลาหายใจออกเป็นอย่างไร ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน​ แต่ใจมันเกิด ใจมันวิ่ง ความคิดมันเกิดมันวิ่ง อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะได้บุญ อยากจะได้อานิสงส์ต่างๆ ใจมันยังเกิดอยู่

ความเกิดนั่นแหละคือยังหลงอยู่ หลงเกิดอยู่ เพียงแค่หลงเกิด แล้วก็ใจยังไม่คลายออกจากความคิด ตัวนั่นแหละมันยังหลง ยังยึดกันอยู่โดยที่เราไม่รู้เลย นอกจากเราจะมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้เป็นมหาสติ ให้ต่อเนื่อง ให้เข้มแข็ง ให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต ให้รู้เท่าทันการเกิดของความคิด ของอารมณ์ แล้วก็รู้ขณะที่เขาเกิด ขณะที่เขาก่อตัว ขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวม

ถ้าเรารู้เท่าทันตรงนั้น ตัวจิตก็จะคลายออกจากความคิด เราก็จะเข้าใจในความหมายของภาษาธรรมภาษาโลก เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา พอจิตคลายปุ๊บ ใจก็จะว่าง กายก็เบาเหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมติก็มีอยู่ ส่วนรูปธรรม การตามดู​ การตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจอนิจจัง ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า ที่พวกเราทำวัตรสวดมนต์ พากันสวดกันท่องอยู่ตลอด ว่าความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเป็นของหนัก

ขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง วิญญาณ กองสังขาร ความคิด อารมณ์ สัญญา สังขารต่างๆ ซึ่งเป็นกองเป็นขันธ์ ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นส่วนของใครส่วนของมันอยู่ แต่ก็รวมกันอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้ เหมือนกับเชือกมันมีอยู่เส้นเดียว แต่มันมีอยู่ 5 เกลียว ทำอย่างไรเราถึงจะแยกออกว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน ซึ่งเขาก็อยู่ในเส้นเดียว
กายของเราก็เหมือนกัน ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติ มาทำความเข้าใจให้ชัดเจน เราก็จะเห็นกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ ซึ่งมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง การเกิดของวิญญาณ วิญญาณของเราเป็นทาสของกิเลส​ ทาสของอารมณ์ เข้าไปหลงเข้าไปยึด หลงอัตตาตัวตน แล้วก็หลงทุกสิ่งทุกอย่าง หลงในรูปรสกลิ่นเสียง หลงในลาภในยศ สรรเสริญสุข​ มันจะติดตามมาหมดเลยทีเดียว

ถ้าเรามาคลายข้างในได้ ตามทำความเข้าใจได้ มันก็วางได้ ก็รู้จักจุดปล่อยจุดวาง เพียงแค่แยกได้ ถ้าการตามทำความเข้าใจไม่ได้ก็เหมือนเดิม ถ้าการละกิเลส การดับความเกิดไม่หมดจด มันก็จะซึมเข้าไปสู่สมมติอีกอยู่เหมือนเดิม เราต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรขัดเกลาทุกสิ่งทุกอย่างออก กลับกันหมดเลย มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี แต่การคิดนี้คิดด้วยส่วนบน ส่วนสมอง ส่วนปัญญา

ใจของเราก็ต้องว่าง โล่ง โปร่ง ดับความเกิด​ นิ่งรับรู้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เอาให้มันหมดจดเสียขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ต้องไปรอเอาภพหน้า ไปชาติหน้า เอาภพปัจจุบันนี่แหละให้มันดี ทำภพปัจจุบันให้มันดี ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในโลกนี้ เรามีโอกาสมากที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ รีบทำ รีบสร้าง ส่วนมากก็ทำได้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในคุณงามความดีบ้าง การสร้างบุญสร้างกุศลบ้าง แต่เดินไม่ถึงจุดหมาย

การเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ให้ได้ทุกอิริยาบถ​ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย การเจริญสติ แล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันจิต ความคิด อารมณ์ การละ การดับ ไม่ใช่ว่าฝึกก็ฝึกไปอย่างนั้น ไม่รู้ความหมายของการฝึก ไปนั่งก็นั่งไปอย่างนั้น ไปเดินก็เดินไปอย่างนั้น ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ลึกลงไปแล้ว ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างไร แต่ส่วนมากจะไม่เริ่มต้นเข้าไปหาจุดต้นเหตุ จะไปเอาแต่กลางเหตุ ปลายเหตุอยู่แค่นั้น

เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสาวหาต้นเหตุ การก่อตัว การเกิดของตัววิญญาณ การเกิดของความคิด เขาหลงอยู่ในชั้นลึกๆ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตของเราคลายแล้ว ตามทำความเข้าใจแล้ว จิตเราก็จะตกกระแสธรรม ทีนี้การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ตามมาอีก ก็ต้องพยายามเอา หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ ปัญญาหลวงพ่อมีไม่ค่อยจะเยอะเท่าไหร่ มีก็เพียงแค่ชี้แนะ ก็หาต้นเหตุ กลางเหตุ แล้วก็ละออกให้มันหมด อันนี้ก็เป็นแค่เพียงสื่อภาษาสมมติ พูดให้กันฟังเล็กๆ น้อยๆ เราต้องพยายามทำ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา

ไม่จำเป็นต้องพูดมากหรอก คนที่มีสติมีปัญญา​ คนที่มีบุญฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ลักษณะของวิญญาณที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ การดับ การละเป็นอย่างนี้ กายวิเวก ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ เราจะบริหารกายอย่างไร บริหารใจอย่างไร ถึงจะเกิดประโยชน์ทั้งภายนอกทั้งภายใน เราก็ต้องพยายามทำกัน คนมีปัญญาจะอยู่กับบุญอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ลึกลงไปใจก็จะเป็นบุญตลอดเวลา นั่นแหละอานุภาพแห่งการประพฤติวัตรปฏิบัติ ใจก็จะมีความสุขถึงกายเป็นก้อนทุกข์ เราก็พยายามทำความเข้าใจ จนกว่าจะถึงวาระถึงเวลาเขาจะแตกจะดับนั่นแหละ มันถึงจะได้วางกันจริงๆ

แต่ตอนนี้เวลานี้ เราแยกแยะด้วยปัญญา วางด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสุข ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด ทำตนให้ดี ทำกายให้ดี ทำวาจาให้ดี ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด มันจะไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ท่านถึงว่าวจีกรรม มโนกรรม กายกรรม ไม่ใช่ว่าเราจะไปปล่อยวันเวลาทิ้ง

หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่พูดให้ฟัง ไม่จำเป็นไม่อยากจะพูดเรื่องกับสิ่งพวกนี้ อยากจะให้ไปฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลากันเอา รู้ด้วยตนเอง​ แก้ไขด้วยตนเอง ปรับปรุงด้วยตัวเอง นั่นก็คือข้อวัตรปฏิบัติ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความเรียบร้อย ความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ธรรมชาตินั้นมีอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ถึงธรรมชาติทั้งภายใน ทั้งภายนอก ทั้งภายนอกนี้กลับทำลายเสียอีก เราก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง