ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 17 วันที่ 29 เมษายน 2557
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 17 วันที่ 29 เมษายน 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 1 (ลำดับที่ 1-20)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 17
วันที่ 29 เมษายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สำเหนียกหรือว่าน้อม มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา
ฟังไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
หลวงพ่อพูดไปอย่างนี้ ชี้แนะไปอย่างนี้ แล้วเราก็น้อมทำตามที่หลวงพ่อพูด
อาการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ในหลักธรรม ท่านเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกทุกครั้ง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ-มีความรู้ตัวทั่วพร้อม’ ถ้าความรู้สึกตัวตรงนี้พลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ถ้าความรู้ตัวเราต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นว่าแต่ก่อนนั้น เรามีตั้งแต่สติปัญญาของโลก ของโลกีย์ สติปัญญาในทางธรรมท่านให้สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะไปรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ
ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวของเรารู้อยู่ปัจจุบัน ก็จะเข้าไปรู้เท่าทัน เห็นการเกิดของใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของขันธ์ห้า ใจก็จะดีดออก เขาเรียกว่า‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ’ หรือเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ จากเก่า แต่ก่อนใจของเราคว่ำอยู่
ถ้าใจดีดออกจากความคิดเขาเรียกว่า ‘หงาย’ หงายจากของที่คว่ำ ใจก็เลยว่าง กายก็เลยเบา ใจก็ว่างรับรู้ ความรู้ตัวที่เราสร้างมาก็ตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจ เป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘กองของสัญญา’ หรือว่าสารพัดเรื่อง เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เขาเรียกว่า ‘กองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเรา’ บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอกุศล ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ ตัวกองสุดท้ายในขันธ์ห้าของเราก็จะว่าง รับรู้อยู่ ถ้าเขาดีดออกไปแล้ว
เราก็จะเข้าใจในภาษาธรรม-ภาษาโลก เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจ ใจปรุงแต่งส่งออกไปข้างนอก เป็นหลักของอริยสัจ ใจส่งไปข้างนอก ทั้งไปรวมกับขันธ์ห้าด้วย ไปหลงขันธ์ห้าด้วย ใจเป็นทาสของกิเลสด้วย ทะเยอทะยานอยากด้วย เราก็มาดับ มาละ มาแก้ไขที่ใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจมองเห็นความเป็นจริง มองเห็นความเป็นจริง ก็รู้จักบริหาร รู้จักแก้ไข รู้จักใช้ชีวิต จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับนั่นแหละ
ไม่เหลืออวิสัย ก็ต้องพยายาม ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ก็ต้องพยายาม เพียงแค่การเจริญสติให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละ พากันปล่อยปละละเลยกันมากทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ
วันที่ 29 เมษายน 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สำเหนียกหรือว่าน้อม มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา
ฟังไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เสียงก็สักแต่ว่าเสียง
หลวงพ่อพูดไปอย่างนี้ ชี้แนะไปอย่างนี้ แล้วเราก็น้อมทำตามที่หลวงพ่อพูด
อาการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ในหลักธรรม ท่านเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกทุกครั้ง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ-มีความรู้ตัวทั่วพร้อม’ ถ้าความรู้สึกตัวตรงนี้พลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอไป เราก็เริ่มใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ถ้าความรู้ตัวเราต่อเนื่อง เราก็จะมองเห็นว่าแต่ก่อนนั้น เรามีตั้งแต่สติปัญญาของโลก ของโลกีย์ สติปัญญาในทางธรรมท่านให้สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะไปรู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ
ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวของเรารู้อยู่ปัจจุบัน ก็จะเข้าไปรู้เท่าทัน เห็นการเกิดของใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของขันธ์ห้า ใจก็จะดีดออก เขาเรียกว่า‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ’ หรือเรียกว่า ‘หงายจากของที่คว่ำ’ จากเก่า แต่ก่อนใจของเราคว่ำอยู่
ถ้าใจดีดออกจากความคิดเขาเรียกว่า ‘หงาย’ หงายจากของที่คว่ำ ใจก็เลยว่าง กายก็เลยเบา ใจก็ว่างรับรู้ ความรู้ตัวที่เราสร้างมาก็ตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจ เป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีตเขาเรียกว่า ‘กองของสัญญา’ หรือว่าสารพัดเรื่อง เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เขาเรียกว่า ‘กองสังขารในขันธ์ห้าของตัวเรา’ บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอกุศล ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณ ตัวกองสุดท้ายในขันธ์ห้าของเราก็จะว่าง รับรู้อยู่ ถ้าเขาดีดออกไปแล้ว
เราก็จะเข้าใจในภาษาธรรม-ภาษาโลก เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจ ใจปรุงแต่งส่งออกไปข้างนอก เป็นหลักของอริยสัจ ใจส่งไปข้างนอก ทั้งไปรวมกับขันธ์ห้าด้วย ไปหลงขันธ์ห้าด้วย ใจเป็นทาสของกิเลสด้วย ทะเยอทะยานอยากด้วย เราก็มาดับ มาละ มาแก้ไขที่ใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลให้ใจมองเห็นความเป็นจริง มองเห็นความเป็นจริง ก็รู้จักบริหาร รู้จักแก้ไข รู้จักใช้ชีวิต จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับนั่นแหละ
ไม่เหลืออวิสัย ก็ต้องพยายาม ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ก็ต้องพยายาม เพียงแค่การเจริญสติให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละ พากันปล่อยปละละเลยกันมากทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ