หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 069
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 069
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติตามความรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน วางกายของเราให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้เวลานี้ เรามีหน้าที่สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสถึงลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจก็ชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะของจิต เวลาจิตปกติ เวลาจิตก่อตัว อาการของจิต อาการความคิด จะค่อยๆ ละเอียดลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ ก็มีแต่ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของจิตเข้าไปควบคุมหมด เข้าไปปกคลุมหมด ยังวิ่ง ยังหลงอยู่กับสมมติโดยที่เราไม่รู้ เราถึงได้มาสร้างผู้รู้ คือมาเจริญสติเข้าไป ถ้าสติต่อเนื่องจิตจะก่อตัว คิดจะเกิด เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักระงับ จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักระงับ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาหัดวิเคราะห์ดูว่าความคิดเขาเกิดได้อย่างไร จิตเกิดได้อย่างไร ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นได้ต่อเนื่องหรือไม่ เราก็จะจำแนกแจกแจง เห็นอะไรดีๆอีกเยอะ ทำไมจิตของเราถึงไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตา ทำไมจิตของเราต้องเกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากทุกอย่าง อยากในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากจะรู้ธรรม อยากเห็นธรรม อยากจะพ้นทุกข์ๆ ความอยากมันปิดกั้นตัวของมันเอาไว้หมดเลย เพียงแค่ตัวจิตน่ะ เกิดความอยาก อยากคิด มันก็ปิดกันเอาไว้ เพราะว่าอาการเกิดของเขาก็ยังมีอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นก็หลงเกิด หลงเกิด แต่ยังไม่ได้หลงยึด ถ้าเข้าไปหลงความคิด ความคิดอีกตัวนึงที่แทรกเข้ามา ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันแล้วก็ไปด้วยกัน บงการไปด้วยกัน
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง แล้วก็เข้มแข็งต่อเนื่อง เราก็จะเห็นจิตกับอาการของจิต ถ้าไม่เห็นตรงนี้เนี่ยจิตจะคลาย จิตจะแยกรูปแยกนามไม่ได้เลย จะเดินวิปัสสนาก็ไม่ได้เลย ถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บ จิตดีดออก จิตคลายออก ความรู้ตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตามเห็นความคิดเกิดๆ ดับๆ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในคําสอนของพระพุทธองค์ จิตพลิกออก จิตหงายขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘จิตวิมุตติ’ เราก็จะเข้าใจในคําว่า ‘วิมุตติกับสมมติ’ สองคํานี้ทันที เห็นการเกิดการดับของความคิด เราก็จะเข้าใจในขันธ์ห้าอีกว่าเรื่องอะไรที่มันเกิดขึ้น ก็จะซอยละเอียดลงไปอีก ถ้าเป็นเรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดเป็นกองสังขาร ตัววิญญาณของเราเข้าไปร่วมก็เรียกว่า ‘ไปเสวย’ แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน
บุคคลที่ไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ เพราะว่าตัวจิตกับอาการของจิตเขาแนบแน่นกันมานาน เพียงแค่แยกได้คลายได้ ถ้ากําลังสติของเราไม่ตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกเรื่อง แล้วก็ไม่หมั่นพร่ำสอนใจ หรือหมั่นพร่ำมสอนจิตของตัวเอง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เขาก็หาเรื่องดีๆ นั่นแหละมาปกปิดเอาไว้ มาหลอกเอาไว้ จิตหลอกจิต แม้แต่สติปัญญาก็ยังหลอกเข้าข้างตัวเอง ต้องหาเหตุหาผล สติปัญญาต้องตามดู ตามรู้เหตุ ตามรู้ผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นเหตุภายในเสียก่อน แยกรูปแยกนามภายใน ละกิเลสภายในให้มันได้เสียก่อน ก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจข้างใน ก็จะไปเอาแต่ข้างนอกกัน ที่เกิดจากความนึกคิดปรุงแต่ง ที่เกิดจากตัวจิต
ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ยอมโง่เสียก่อนค่อยฉลาด ปัญญามีร้อย ปัญญาโลกีย์มีเต็มร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์คือความว่าง คือสถานะเดิมของจิต และก็มาดับความเกิดของจิต ดับตั้งแต่ก่อนมันเกิด มันหลง เรามาคลายความหลง ตามดูรู้เห็น หมั่นพร่ำสอนเขา เขารู้ความจริงแล้วคลายความหลง แล้วก็มาดับความเกิดของจิตอีก ละกิเลสออกจากจิตอีก ให้มันสั้นลงๆ จากปลายเหตุ ลงมากลางเหตุ ลงไปต้นเหตุ ขณะมันก่อตัว เราก็ดับขณะก่อตัว กําลังส่งมันก็จะลดน้อย ก็จะเหือดแห้งลงๆ เพราะว่ากิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งลง
ทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ กายของเรานี้ก้อนสมมติ อย่างกายของเราก็ยังอาศัยอาหาร กายของเราก็ยังทำหน้าที่ ทวารทั้งหก ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่อยู่ ซึ่งมีใจมาอาศัย เป็นผู้รับรู้ แต่ในเวลานี้ใจของเราหลงไปยึดไปนั่น จนเกิดอัตตาตัวตนนั่นแหละ ถ้าไม่อาศัยคําสอนของพระพุทธองค์ จําแนกแจกแจงแยกแยะ ให้เห็นเป็นคนละส่วน คนละชิ้น แต่ก็ยังอยู่ในกองเดียวกันอยู่ ยากที่จะเข้าใจ ถ้าบุคคลไม่สร้างบารมีกันจริงๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา พฤติกรรมของจิตของเราไปยังไง มายังไง อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจเข้ามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ทุกคนจะต้องศึกษาค้นคว้าให้มันถึง คือ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับจิตกับอาการของจิต กับขันธ์ห้าของเราให้มันละเอียด ทำความเข้าใจกับโลกธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องตัวเราทั้งนั้น ไม่ได้สอนเรื่องของคนอื่น ดูตัวเราให้ละเอียดหมด แล้วก็มองเห็นคนอื่นเหมือนกับตัวเราหมด แต่ส่วนมากเราก็มองเห็นอยู่ในภาพรวม จิตก็เลยเป็นบุญอยู่แค่ในภาพรวม ก็ยังดียังไม่ได้ตกไปในกองอบาย ยังไม่ตกไปอยู่ในความทุกข์ แต่ในหลักธรรมก็ทุกข์ ทุกข์อยู่ แต่มันทุกข์มาก ทุกข์น้อย เพราะว่ากายมันเป็นก้อนทุกข์ ทีนี้ก็ไปแก้ไขที่ใจให้มันวาง
สติเป็นที่พึ่งของใจ เป็นเพื่อนของใจ หมั่นพร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา ให้ใจรับรู้ ไม่ใช่ไปเที่ยวให้คนโน้นขาสอน คนนี้เขาสอน สติปัญญาเราต้องหมั่นเจริญ สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาให้มี แล้วก็ไปหมั่นพร่ำสอนใจ พร่ำสอนใจไม่ได้ ยังไม่ได้ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เข้าไปกด เข้าไปข่ม เขาถึงเรียกว่า ‘ฝืน’ เป็นการผืน เป็นการทวนกระแส ถ้าใจคลายเมื่อไหร่ ใจของเราก็จะตกกระแสธรรม ตามหาเหตุหาผลให้เขารู้ความเป็นจริง จากน้อยๆ ไปหามากๆ เขาก็จะยอมรับความเป็นจริง จนเหลือแต่ปัญญาตัวเดียวไปใช้ ใจของเราก็จะอยู่ในความสะอาด ความบริสุทธิ์ อยู่ในกายของเรานี่แหละ กายแตกดับโน่นแหละ เขาถึงจะได้แยกออกจากกันได้จริง แต่เวลานี้เราแยกด้วยปัญญา ให้รู้เห็นด้วยปัญญา ดูด้วยปัญญา บริหารกาย บริหารภาระหน้าที่การงานด้วยปัญญา เราต้องพยายามนะ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การลงมือทำจากน้อยๆ ครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเป็นการรู้ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันก็ได้ปั๊บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีความแข็งหยาบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเองหรือไม่ มีความเสียสละ หรือเรียกว่ามีความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบหมู่คณะเพื่อนฝูง เห็นแก่ตัว เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน
เราต้องพยายามกําจัดละกิเลส จากกิเลสหยาบๆ ไปหาละเอียด แม้แต่การเกิดของจิต เราก็ไม่ให้มีเลย เหลือแต่ส่วนปัญญา ส่วนสมอง ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมาให้จําแนกแจกแจง สนุก มีความสุขในการวิเคราะห์ ในการพิจารณา สติของเราตั้งมั่นมีความเข้มข้นขึ้น จิตก็จะฉายแววออกมาให้เห็น ไม่ใช่ไปนั่งคิด นอนคิด เดินคิด มีแต่กิเลส ถึงจะคิดพิจารณาในธรรม ก็มีแต่กิเลสธรรมทั้งนั้นแหละ เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ ละได้ด้วย เอาสติปัญญาของเราไปใช้ ไปบริหารจนเต็มรอบ
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เราระงับยับยั้งเราดับได้สักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้ใจเกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน ความคิดขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่เรื่อง ตั้งแต่เช้าขึ้นมาลองพินิจพิจารณา ไม่ ยังไม่ให้พินิจพิจารณา ลองสังเกตดู ตัวสังเกตนี่แหละตัวสติ ตัวความรู้ตัวนั่นแหละตัวสติ วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราจะสังเกตดูว่าจิตของเราก่อตัวอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่แล้วรู้จักสร้างขึ้นมาให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้งาน ไม่ใช่เจริญสติไม่รู้จักกันลักษณะของสติ ปฏิบัติธรรม ไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไร เขาพาเดินก็เดิน เขาพานั่งก็นั่ง ทั้งที่มีศรัทธาอยู่
ลักษณะของสติปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิต สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิตที่ก่อตัว มันเริ่มก่อตัวอย่างไร ความคิดอยู่เฉยๆ มันผุดขึ้นมาได้อย่างไร เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้น มันเริ่มก่อตัวเราดับ หยุด ด้วยการเดินบ้าง ด้วยลมหายใจบ้าง เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ กระตุ้นให้มันต่อเนื่อง เพียงแค่ขณะที่เรานั่งฟังอยู่นี่นะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้ว่าใจปกตินะ ลมสัมผัสก็วิ่งเข้าวิ่งออกที่ปลายจมูกเรานะ เราก็พยายามดูตรงนั้น เวลาเราจะเปลี่ยนอิริยาบถ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดินปุ๊บ อยู่ที่ใจปั๊บ ถ้ากําลังสติมันต่อเนื่อง ใจมันจะก่อตัวมันก็จะรู้ทันเท่า รู้จักควบคุม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกขึ้นเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจปกติ อาบน้ำอาบท่า แปรงฟัน ใจปกติ ทำกับข้าวกับปลา ใจปกติ เราจะเอารสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ตัวสติตัวปัญญาเป็นตัวสั่ง ใจก็ให้ปกติ ทำโน่นทำนี่ก็ให้ใจปกติ
เวลาใจมันเห็นความลักษณะมันว่าง มันวาง ว่างจากความคิด วาง ว่างจากอารมณ์ สติชัดเจน จิตชัดเจน เกิดปิติ เกิดสุข เกิดอุเบกขาวางเฉยรับรู้ เฉย รับรู้ ตั้งมั่น การกระทำด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลเข้าไปทำหน้าที่แทน แต่ละวันมันมีความสุข ยิ่งฝึกใหม่ๆ ได้เห็นยิ่งมีความสุข เพียงแค่ฝึกสติให้ต่อเนื่องทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ไม่ต้องไปคิดอะไร ความคิดมันเกิด มันมีอยู่แล้ว ให้เราทำความเข้าใจ ทำความเห็นตรงนั้นให้มันได้เสียก่อน สติปัญญาของเราค่อยหาเหตุหาผล หมั่นพรำสอนจิตของเรา เอาไปใช้ จะคิดมากเท่าไหร่ก็ไม่ว่าหรอก ถ้าสติปัญญารู้แล้ว เห็นแล้ว เอาไปใช้แล้ว คิดอะไร มองอะไรมันก็ลงอยู่แค่ไตรลักษณ์ ต่อไปข้างหน้าก็ประหยัดทั้งความคิด ประหยัดทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด แม้แต่ส่วนสมอง เราก็ให้ได้พักผ่อน
แต่เวลานี้ตื่นขึ้นมาแล้วคิด คิดใจมันคิด ขันธ์ห้ามันคิด ทั้งสติทั้งปัญญามารวมกันไปหมด รู้อยู่ว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ก็คิดอยู่อย่างนั้น เพราะว่าเราไม่เข้าใจในเรื่องความคิดซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็รู้จักมองหาเหตุหาผล สมมติภายนอกเราก็พยายามยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ มันก็เกื้อหนุนไปถึงทางด้านจิตใจ ถ้าสมมติของเรายังลําบากอยู่ จิตใจมันก็ลําบาก อันโน้นก็ยังขาดนะ อันนี้ก็ยังขาดนะ มันก็เลยส่งผลเข้าไปถึงใจ เหตุการณ์ก็เลย สมมติก็เลยบังคับ นี่แหละที่ทำให้คนบังคับ สมมติบังคับให้คนเป็นโจร ทำไมถึงพูดอย่างนี้ ปากก็ท้องก็หิว อะไรก็ไม่มีจะอยู่จะกิน สมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง มันก็ต้องดิ้นรนแสวงหามาให้สนองกิเลสตัณหา เกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก ไม่ได้ด้วยวิธีหนึ่งก็หาด้วยวิธีหนึ่ง เพราะว่ากำลังสติปัญญามันยังสมมติไม่เพียบพร้อม
ถ้าบุคคลที่สร้างบุญมาดี สติปัญญาดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติก็ไม่ได้ลําบาก ก็ส่งผลถึงจิตใจได้มีความสงบความสุข แล้วก็มีความคิดเห็นที่ถูก ที่ตรง เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฐิ ถึงยังจะแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติลงไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าถึงคําสอนพระพุทธองค์ เพราะว่าความเป็นจริง ‘สัจธรรม’ มีอยู่ ท่านสอนอย่างไร ท่านบัญญัติไว้อย่างไรมีหมด ขอให้เราทำความเข้าใจให้ถูก ให้รู้ ให้เห็น ให้ตรง จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัยหมดความลังเล มีแต่จะกําจัดกิเลสต่างๆ ออกจากใจของเราหมดจด ดับความเกิดให้มันหมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ พยายามขยันหมั่นเพียร
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ที่เราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ ได้ทั้งนั้นแหละ ได้ความขยันหมั่นเพียร ได้ความรับผิดชอบ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะเป็นอย่างไร ระวังคําพูด ระวังคําจา ต่อไปข้างหน้าก็ระวังความคิด ระวังอารมณ์ ละออกมันหมด มันเป็นชั้นๆ ของเขาอยู่ ถ้าไปมัวแต่เมาไปเล่น ไม่แสวงหา ไม่สนใจ มันก็ได้อยู่แต่อานิสงส์แห่งการสมมติ อยู่ในบุญของสมมติ เราต้องให้ได้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าถึงกาล ถึงวาระ ถึงเวลา อันนี้พวกเราจะไปบังคับกันก็ไม่ได้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้นะ มันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลาดูแลรักษา ถึงเวลาเค้าออกดอกออกผลให้ เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ การปฏิบัติจิตของเราก็เหมือนกัน การละกิเลสของเรามีหรือไม่ พรหมวิหารความเมตตาของเรามีอยู่หรือไม่ ความเห็นแก่ตัวของเรามี เราก็พยายามละ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ พยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามมีความเพียร ลักษณะของสติเป็นอย่างนี้นะ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้
อยู่ที่ไหนก็เป็นวัดแหละ ทำกายให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทดสอบอารมณ์เรา สติปัญญาก็จะเป็นอาจารย์คอยสังเกตใจของเรา คอยหมั่นพร้อมสอนใจของเรา เขาอยู่ด้วยกัน จะต้องจําแนกแจกแจงให้ชัดเจน ถึงไปฝึกหัดปฏิบัติธรรม ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ ลักษณะของจิต มันก็ไปปฏิบัติทั้งก้อนนั่นแหละ ไปด้วยกัน ก็หลงอยู่ทั้งก้อนนั่นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องได้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะของจิต เวลาจิตปกติ เวลาจิตก่อตัว อาการของจิต อาการความคิด จะค่อยๆ ละเอียดลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ ก็มีแต่ความคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของจิตเข้าไปควบคุมหมด เข้าไปปกคลุมหมด ยังวิ่ง ยังหลงอยู่กับสมมติโดยที่เราไม่รู้ เราถึงได้มาสร้างผู้รู้ คือมาเจริญสติเข้าไป ถ้าสติต่อเนื่องจิตจะก่อตัว คิดจะเกิด เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักระงับ จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักระงับ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาหัดวิเคราะห์ดูว่าความคิดเขาเกิดได้อย่างไร จิตเกิดได้อย่างไร ความรู้ตัวของเราตั้งมั่นได้ต่อเนื่องหรือไม่ เราก็จะจำแนกแจกแจง เห็นอะไรดีๆอีกเยอะ ทำไมจิตของเราถึงไปหลงเอาความคิด หลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตา ทำไมจิตของเราต้องเกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากทุกอย่าง อยากในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากจะรู้ธรรม อยากเห็นธรรม อยากจะพ้นทุกข์ๆ ความอยากมันปิดกั้นตัวของมันเอาไว้หมดเลย เพียงแค่ตัวจิตน่ะ เกิดความอยาก อยากคิด มันก็ปิดกันเอาไว้ เพราะว่าอาการเกิดของเขาก็ยังมีอยู่ เพียงแค่การเกิดนั้นก็หลงเกิด หลงเกิด แต่ยังไม่ได้หลงยึด ถ้าเข้าไปหลงความคิด ความคิดอีกตัวนึงที่แทรกเข้ามา ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ตัวจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันแล้วก็ไปด้วยกัน บงการไปด้วยกัน
ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง แล้วก็เข้มแข็งต่อเนื่อง เราก็จะเห็นจิตกับอาการของจิต ถ้าไม่เห็นตรงนี้เนี่ยจิตจะคลาย จิตจะแยกรูปแยกนามไม่ได้เลย จะเดินวิปัสสนาก็ไม่ได้เลย ถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บ จิตดีดออก จิตคลายออก ความรู้ตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตามเห็นความคิดเกิดๆ ดับๆ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในคําสอนของพระพุทธองค์ จิตพลิกออก จิตหงายขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘จิตวิมุตติ’ เราก็จะเข้าใจในคําว่า ‘วิมุตติกับสมมติ’ สองคํานี้ทันที เห็นการเกิดการดับของความคิด เราก็จะเข้าใจในขันธ์ห้าอีกว่าเรื่องอะไรที่มันเกิดขึ้น ก็จะซอยละเอียดลงไปอีก ถ้าเป็นเรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา ความคิดทุกชนิดเป็นกองสังขาร ตัววิญญาณของเราเข้าไปร่วมก็เรียกว่า ‘ไปเสวย’ แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน
บุคคลที่ไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ เพราะว่าตัวจิตกับอาการของจิตเขาแนบแน่นกันมานาน เพียงแค่แยกได้คลายได้ ถ้ากําลังสติของเราไม่ตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกเรื่อง แล้วก็ไม่หมั่นพร่ำสอนใจ หรือหมั่นพร่ำมสอนจิตของตัวเอง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เขาก็หาเรื่องดีๆ นั่นแหละมาปกปิดเอาไว้ มาหลอกเอาไว้ จิตหลอกจิต แม้แต่สติปัญญาก็ยังหลอกเข้าข้างตัวเอง ต้องหาเหตุหาผล สติปัญญาต้องตามดู ตามรู้เหตุ ตามรู้ผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของเราให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นเหตุภายในเสียก่อน แยกรูปแยกนามภายใน ละกิเลสภายในให้มันได้เสียก่อน ก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจข้างใน ก็จะไปเอาแต่ข้างนอกกัน ที่เกิดจากความนึกคิดปรุงแต่ง ที่เกิดจากตัวจิต
ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ยอมโง่เสียก่อนค่อยฉลาด ปัญญามีร้อย ปัญญาโลกีย์มีเต็มร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์คือความว่าง คือสถานะเดิมของจิต และก็มาดับความเกิดของจิต ดับตั้งแต่ก่อนมันเกิด มันหลง เรามาคลายความหลง ตามดูรู้เห็น หมั่นพร่ำสอนเขา เขารู้ความจริงแล้วคลายความหลง แล้วก็มาดับความเกิดของจิตอีก ละกิเลสออกจากจิตอีก ให้มันสั้นลงๆ จากปลายเหตุ ลงมากลางเหตุ ลงไปต้นเหตุ ขณะมันก่อตัว เราก็ดับขณะก่อตัว กําลังส่งมันก็จะลดน้อย ก็จะเหือดแห้งลงๆ เพราะว่ากิเลสต่างๆ ก็จะเหือดแห้งลง
ทำความเข้าใจ อยู่กับสมมติก็เคารพสมมติ กายของเรานี้ก้อนสมมติ อย่างกายของเราก็ยังอาศัยอาหาร กายของเราก็ยังทำหน้าที่ ทวารทั้งหก ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ทำหน้าที่อยู่ ซึ่งมีใจมาอาศัย เป็นผู้รับรู้ แต่ในเวลานี้ใจของเราหลงไปยึดไปนั่น จนเกิดอัตตาตัวตนนั่นแหละ ถ้าไม่อาศัยคําสอนของพระพุทธองค์ จําแนกแจกแจงแยกแยะ ให้เห็นเป็นคนละส่วน คนละชิ้น แต่ก็ยังอยู่ในกองเดียวกันอยู่ ยากที่จะเข้าใจ ถ้าบุคคลไม่สร้างบารมีกันจริงๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา พฤติกรรมของจิตของเราไปยังไง มายังไง อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจเข้ามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร มีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ทุกคนจะต้องศึกษาค้นคว้าให้มันถึง คือ ทำความเข้าใจกับสมมติวิมุตติ ทำความเข้าใจกับจิตกับอาการของจิต กับขันธ์ห้าของเราให้มันละเอียด ทำความเข้าใจกับโลกธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องตัวเราทั้งนั้น ไม่ได้สอนเรื่องของคนอื่น ดูตัวเราให้ละเอียดหมด แล้วก็มองเห็นคนอื่นเหมือนกับตัวเราหมด แต่ส่วนมากเราก็มองเห็นอยู่ในภาพรวม จิตก็เลยเป็นบุญอยู่แค่ในภาพรวม ก็ยังดียังไม่ได้ตกไปในกองอบาย ยังไม่ตกไปอยู่ในความทุกข์ แต่ในหลักธรรมก็ทุกข์ ทุกข์อยู่ แต่มันทุกข์มาก ทุกข์น้อย เพราะว่ากายมันเป็นก้อนทุกข์ ทีนี้ก็ไปแก้ไขที่ใจให้มันวาง
สติเป็นที่พึ่งของใจ เป็นเพื่อนของใจ หมั่นพร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา ให้ใจรับรู้ ไม่ใช่ไปเที่ยวให้คนโน้นขาสอน คนนี้เขาสอน สติปัญญาเราต้องหมั่นเจริญ สติไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมาให้มี แล้วก็ไปหมั่นพร่ำสอนใจ พร่ำสอนใจไม่ได้ ยังไม่ได้ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เข้าไปกด เข้าไปข่ม เขาถึงเรียกว่า ‘ฝืน’ เป็นการผืน เป็นการทวนกระแส ถ้าใจคลายเมื่อไหร่ ใจของเราก็จะตกกระแสธรรม ตามหาเหตุหาผลให้เขารู้ความเป็นจริง จากน้อยๆ ไปหามากๆ เขาก็จะยอมรับความเป็นจริง จนเหลือแต่ปัญญาตัวเดียวไปใช้ ใจของเราก็จะอยู่ในความสะอาด ความบริสุทธิ์ อยู่ในกายของเรานี่แหละ กายแตกดับโน่นแหละ เขาถึงจะได้แยกออกจากกันได้จริง แต่เวลานี้เราแยกด้วยปัญญา ให้รู้เห็นด้วยปัญญา ดูด้วยปัญญา บริหารกาย บริหารภาระหน้าที่การงานด้วยปัญญา เราต้องพยายามนะ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การลงมือทำจากน้อยๆ ครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเป็นการรู้ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกถึงเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันก็ได้ปั๊บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ละวันตื่นขึ้นมาจิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีความแข็งหยาบ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเองหรือไม่ มีความเสียสละ หรือเรียกว่ามีความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบหมู่คณะเพื่อนฝูง เห็นแก่ตัว เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน
เราต้องพยายามกําจัดละกิเลส จากกิเลสหยาบๆ ไปหาละเอียด แม้แต่การเกิดของจิต เราก็ไม่ให้มีเลย เหลือแต่ส่วนปัญญา ส่วนสมอง ส่วนสติที่เราสร้างขึ้นมาให้จําแนกแจกแจง สนุก มีความสุขในการวิเคราะห์ ในการพิจารณา สติของเราตั้งมั่นมีความเข้มข้นขึ้น จิตก็จะฉายแววออกมาให้เห็น ไม่ใช่ไปนั่งคิด นอนคิด เดินคิด มีแต่กิเลส ถึงจะคิดพิจารณาในธรรม ก็มีแต่กิเลสธรรมทั้งนั้นแหละ เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ ละได้ด้วย เอาสติปัญญาของเราไปใช้ ไปบริหารจนเต็มรอบ
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เราระงับยับยั้งเราดับได้สักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้ใจเกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน ความคิดขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่เรื่อง ตั้งแต่เช้าขึ้นมาลองพินิจพิจารณา ไม่ ยังไม่ให้พินิจพิจารณา ลองสังเกตดู ตัวสังเกตนี่แหละตัวสติ ตัวความรู้ตัวนั่นแหละตัวสติ วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราจะสังเกตดูว่าจิตของเราก่อตัวอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าความรู้สึกของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ เริ่มสร้างขึ้นมาใหม่แล้วรู้จักสร้างขึ้นมาให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้งาน ไม่ใช่เจริญสติไม่รู้จักกันลักษณะของสติ ปฏิบัติธรรม ไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไร เขาพาเดินก็เดิน เขาพานั่งก็นั่ง ทั้งที่มีศรัทธาอยู่
ลักษณะของสติปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิต สติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิตที่สงบเป็นลักษณะอย่างนี้นะ จิตที่ก่อตัว มันเริ่มก่อตัวอย่างไร ความคิดอยู่เฉยๆ มันผุดขึ้นมาได้อย่างไร เรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้น มันเริ่มก่อตัวเราดับ หยุด ด้วยการเดินบ้าง ด้วยลมหายใจบ้าง เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ กระตุ้นให้มันต่อเนื่อง เพียงแค่ขณะที่เรานั่งฟังอยู่นี่นะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก รู้ว่าใจปกตินะ ลมสัมผัสก็วิ่งเข้าวิ่งออกที่ปลายจมูกเรานะ เราก็พยายามดูตรงนั้น เวลาเราจะเปลี่ยนอิริยาบถ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดินปุ๊บ อยู่ที่ใจปั๊บ ถ้ากําลังสติมันต่อเนื่อง ใจมันจะก่อตัวมันก็จะรู้ทันเท่า รู้จักควบคุม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกขึ้นเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจปกติ อาบน้ำอาบท่า แปรงฟัน ใจปกติ ทำกับข้าวกับปลา ใจปกติ เราจะเอารสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ตัวสติตัวปัญญาเป็นตัวสั่ง ใจก็ให้ปกติ ทำโน่นทำนี่ก็ให้ใจปกติ
เวลาใจมันเห็นความลักษณะมันว่าง มันวาง ว่างจากความคิด วาง ว่างจากอารมณ์ สติชัดเจน จิตชัดเจน เกิดปิติ เกิดสุข เกิดอุเบกขาวางเฉยรับรู้ เฉย รับรู้ ตั้งมั่น การกระทำด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลเข้าไปทำหน้าที่แทน แต่ละวันมันมีความสุข ยิ่งฝึกใหม่ๆ ได้เห็นยิ่งมีความสุข เพียงแค่ฝึกสติให้ต่อเนื่องทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ไม่ต้องไปคิดอะไร ความคิดมันเกิด มันมีอยู่แล้ว ให้เราทำความเข้าใจ ทำความเห็นตรงนั้นให้มันได้เสียก่อน สติปัญญาของเราค่อยหาเหตุหาผล หมั่นพรำสอนจิตของเรา เอาไปใช้ จะคิดมากเท่าไหร่ก็ไม่ว่าหรอก ถ้าสติปัญญารู้แล้ว เห็นแล้ว เอาไปใช้แล้ว คิดอะไร มองอะไรมันก็ลงอยู่แค่ไตรลักษณ์ ต่อไปข้างหน้าก็ประหยัดทั้งความคิด ประหยัดทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด แม้แต่ส่วนสมอง เราก็ให้ได้พักผ่อน
แต่เวลานี้ตื่นขึ้นมาแล้วคิด คิดใจมันคิด ขันธ์ห้ามันคิด ทั้งสติทั้งปัญญามารวมกันไปหมด รู้อยู่ว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ก็คิดอยู่อย่างนั้น เพราะว่าเราไม่เข้าใจในเรื่องความคิดซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็รู้จักมองหาเหตุหาผล สมมติภายนอกเราก็พยายามยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ มันก็เกื้อหนุนไปถึงทางด้านจิตใจ ถ้าสมมติของเรายังลําบากอยู่ จิตใจมันก็ลําบาก อันโน้นก็ยังขาดนะ อันนี้ก็ยังขาดนะ มันก็เลยส่งผลเข้าไปถึงใจ เหตุการณ์ก็เลย สมมติก็เลยบังคับ นี่แหละที่ทำให้คนบังคับ สมมติบังคับให้คนเป็นโจร ทำไมถึงพูดอย่างนี้ ปากก็ท้องก็หิว อะไรก็ไม่มีจะอยู่จะกิน สมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง มันก็ต้องดิ้นรนแสวงหามาให้สนองกิเลสตัณหา เกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก ไม่ได้ด้วยวิธีหนึ่งก็หาด้วยวิธีหนึ่ง เพราะว่ากำลังสติปัญญามันยังสมมติไม่เพียบพร้อม
ถ้าบุคคลที่สร้างบุญมาดี สติปัญญาดี ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติก็ไม่ได้ลําบาก ก็ส่งผลถึงจิตใจได้มีความสงบความสุข แล้วก็มีความคิดเห็นที่ถูก ที่ตรง เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฐิ ถึงยังจะแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติลงไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าถึงคําสอนพระพุทธองค์ เพราะว่าความเป็นจริง ‘สัจธรรม’ มีอยู่ ท่านสอนอย่างไร ท่านบัญญัติไว้อย่างไรมีหมด ขอให้เราทำความเข้าใจให้ถูก ให้รู้ ให้เห็น ให้ตรง จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัยหมดความลังเล มีแต่จะกําจัดกิเลสต่างๆ ออกจากใจของเราหมดจด ดับความเกิดให้มันหมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ พยายามขยันหมั่นเพียร
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ที่เราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ ได้ทั้งนั้นแหละ ได้ความขยันหมั่นเพียร ได้ความรับผิดชอบ อยู่กับหมู่อยู่กับคณะเป็นอย่างไร ระวังคําพูด ระวังคําจา ต่อไปข้างหน้าก็ระวังความคิด ระวังอารมณ์ ละออกมันหมด มันเป็นชั้นๆ ของเขาอยู่ ถ้าไปมัวแต่เมาไปเล่น ไม่แสวงหา ไม่สนใจ มันก็ได้อยู่แต่อานิสงส์แห่งการสมมติ อยู่ในบุญของสมมติ เราต้องให้ได้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าถึงกาล ถึงวาระ ถึงเวลา อันนี้พวกเราจะไปบังคับกันก็ไม่ได้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งต้องออกดอกวันนี้นะ ออกผลวันนี้นะ มันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลาดูแลรักษา ถึงเวลาเค้าออกดอกออกผลให้ เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ การปฏิบัติจิตของเราก็เหมือนกัน การละกิเลสของเรามีหรือไม่ พรหมวิหารความเมตตาของเรามีอยู่หรือไม่ ความเห็นแก่ตัวของเรามี เราก็พยายามละ ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ พยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามมีความเพียร ลักษณะของสติเป็นอย่างนี้นะ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้
อยู่ที่ไหนก็เป็นวัดแหละ ทำกายให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทดสอบอารมณ์เรา สติปัญญาก็จะเป็นอาจารย์คอยสังเกตใจของเรา คอยหมั่นพร้อมสอนใจของเรา เขาอยู่ด้วยกัน จะต้องจําแนกแจกแจงให้ชัดเจน ถึงไปฝึกหัดปฏิบัติธรรม ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ ลักษณะของจิต มันก็ไปปฏิบัติทั้งก้อนนั่นแหละ ไปด้วยกัน ก็หลงอยู่ทั้งก้อนนั่นแหละ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา