หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 023

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 023
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 023
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้มีให้เกิดให้ต่อเนื่อง ทำใจของเราให้สงบ วางกายของเราให้สบาย ฟังด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ส่วนใจของเราก็สงบตั้งมั่น ความรู้สึกตัวชัดเจน

เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ ส่วนสมอง ส่วนบน ส่วนศีรษะของเรารู้ให้ต่อเนื่อง ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘สติระลึกรู้ตัว’ แล้วก็สัมปชัญญะ เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย สร้างความรู้สึกตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ อย่าไปจดจ่อ เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้ให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้ก็เป็นอุบายที่จะระงับความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากตัวใจของเรา ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน

เราพยายามสร้างตรงนี้ขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไร เรายิ่งสนใจ เรายิ่งฝักใฝ่ ถ้าเราไม่สร้าง ถ้าเราไม่ทำ ก็ยากที่จะเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้า เวลาเราสร้างความรู้สึกตัวอยู่ บางทีตัวจิตของเราอาจจะคิดไปเรื่องโน้นบ้าง คิดไปเรื่องนี้บ้าง บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมา อาการของจิตกับอาการของความคิดเขาร่วมกันได้อย่างไร ถ้าความรู้ตัวของเราอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ลักษณะเวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เขาเคลื่อนเข้าไปร่วมกัน ถ้าเรารู้เท่าทันปุ๊บ เขาก็จะคลายออกจากกันแล้วก็พลิก เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

ส่วนกายนี้ก็ก้อนรูป ส่วนความคิด ส่วนอารมณ์ ส่วนจิตนั้นก็เป็นส่วนหนัก ก็จะคลายออกจากกัน เพียงแค่คลายนะ เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของวิปัสสนา เริ่มต้นของความถูกต้อง ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราก็จะรู้ ตามรู้ ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ส่วนตัวจิตนั้นก็จะวาง โล่ง รับรู้อยู่ภายในกายของเรา เราก็จะเห็นการเกิดการดับซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เป็นเรื่องอะไรในขันธ์ห้าของเรา ถ้าเราแยกแยะตรงนี้ไม่ได้ เขาก็ยังรวมกันอยู่ เราก็อาจจะได้แค่ควบคุมจิต ทำจิตให้สงบ หรือว่าทำจิตของเราให้ระงับซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเราแยกแยะได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ตัวจิตก็จะซึมเข้าสู่ ไปร่วมอยู่เหมือนเดิม เราต้องดู รู้ให้ได้ทุกเรื่อง

เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังไม่เข้มแข็ง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจก็ฝักใฝ่ ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก แล้วก็ละความทะเยอทะยานอยาก อยากมี อยากเป็น อยากคิด สารพัดอย่าง และก็ความไม่อยากอีก แล้วก็ผลักไส ความอยาก ความไม่อยาก ความเป็นกลาง อันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่วิเคราะห์ ไม่สังเกต ไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร มีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็เจริญสติให้ต่อเนื่อง

ความไม่ต่อเนื่องนั่นแหละเราถึงไม่เข้าใจ จะไปแสวงหาธรรมที่โน่นบ้าง แสวงหาธรรมที่นี้บ้าง ได้แต่ตั้งท่าอยู่อย่างนั้น การลงมือ การสังเกต การวิเคราะห์ การดับไม่ค่อยจะมี แล้วก็ไปฝึกที่โน่นบ้าง ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ไม่เคยสร้าง ไม่เคยทำให้มีให้เกิดให้ต่อเนื่อง อาจจะทำได้นิดๆหน่อยๆ ปฏิบัติเพียงแค่รูปแบบ เราก็ต้องพยายามให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย รู้ให้ชัดเจน รู้ให้ชัดแจ้ง

แม้แต่ความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม อยากได้ธรรม อะไรคือธรรม วิญญาณนั่นแหละ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เวลานี้ก็ยังเกิดอยู่ ทั้งที่รู้ๆ อยู่นั่นแหละ คิดก็รู้ทำก็รู้ ทำไมเราควบคุมไม่ได้ เพราะว่ากําลังสติของเรามีน้อย กําลังสติของเราขนาดฝึกสร้างขึ้นมา ก็ไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่อง รู้เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้า จนจิตคลายออกจากอาการของจิตใจได้ เพียงแค่เริ่มต้น

ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง สติของเราก็จะพลั้งเผลอ ถ้าเราตามดูให้รู้ทุกเรื่อง ว่าความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร จิตของเราเกิดความกังวลได้อย่างไร เราก็ควบคุมได้ เราดับได้ระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ แต่ส่วนมากจะปลายเหตุ หรือให้เขาดับเลย ถ้าเราปล่อยให้เขาเกิดอยู่อย่างนั้นเหมือนกับเพิ่มอาหารให้กิเลส

ตัวใจ หรือว่าตัวจิต เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเขาหลง หลงมาถึงได้เกิด นั่นแหละต้นเหตุเลยทีเดียว คือตัววิญญาณนั่นแหละ การเกิดของวิญญาณนั่นแหละ เขามาเกิด มาเกิดแล้วก็มาก่อภพก่อชาติในร่างกายของมนุษย์นี้ แล้วก็มาสร้างธาตุ สร้างขันธ์ขึ้นมา หล่อหลอมรวมกันปิดบังอำพรางตัวเองทุกอย่าง ตัววิญญาณก็ปิด การเกิดก็ปิดบังอำพรางตัวที่แท้จริงของเขา แล้วก็อาการของเขาก็มาปิดบังอำพรางอีก พวกนิวรณธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ความอาฆาตพยาบาท ก็มาปิดบังอำพรางตัวเขาอีก เราต้องมาแยกมาคลาย แล้วก็มาตามทำความเข้าใจ หาเหตุหาผลให้ตัววิญญาณของเรายอมรับความเป็นจริงให้ได้ ถ้าเราแยกไม่ได้ วางไม่ได้ อยากจะปล่อยอยากจะวาง ก็วางไม่ได้ อาจจะวางได้อยู่เพียงแค่ระดับของสมมติ

ในหลักธรรมแล้ว ถ้าแยกแยะไม่ได้ ตามดู หาเหตุหาผลไม่ได้จริงๆ ยากที่จะวางได้ ก็ได้แค่อยู่ในระดับของความสงบ แค่สร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างกุศล สร้างตบะบารมีอยู่ในระดับของสมมติ ถ้าเราแยกแยะได้แล้ว ตามดูทุกเรื่องได้แล้ว จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายในความคิด ในอารมณ์ รู้ความจริงว่าไม่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา เขาก็จะหาทางหลบหลีก หลบหลีกไม่ได้เขาก็จะอยู่อุเบกขา รู้ความจริงแล้วค่อยละ

สติที่เราสร้างขึ้นมานี้ก็จะกลายเป็นสติ กลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา ทำความเข้าใจ รอบรู้ทุกเรื่องในร่างกายของเรา รู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ ละทีละเล็ก ละทีละน้อย เขาก็เหือดแห้งไปๆ แล้วก็มาควบคุมที่จิตของเรา มาละกิเลสที่จิตของเรา ดับความเกิดที่จิตของเรา ใหม่ๆ ท่านอาจจะเรียกว่าฝืน ทวนกระแส ถ้าใจของเราคลายออกจากรูปจากนามแล้ว เขาเรียกว่าใจของเราตกกระแสธรรม เราจะละกิเลสของเราได้เด็ดขาดหรือไม่ เราจะดับความเกิดของใจของเราได้เด็ดขาดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น

ครูบาอาจารย์ ตํารา ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้เรา เราวิ่งแสวงหามารู้มั้ยว่ากี่ปีๆ บางคนบางท่านก็ 10 ปี 20 ปี บางคนบางท่านก็หลายปี ยังไม่รู้เรื่องเลยว่าลักษณะสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ เราต้องพยายาม มองเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าไปปะปนเหมารวมกันไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุ การเกิด การดับ ความหลง อารมณ์ต่างๆ นิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ ความละเอียดแยกแยะลงไปเรื่อยๆ

ปุถุชนคนทั่วไปยากที่จะเข้าถึง เพียงแค่ระดับสมมติโลกธรรมยังพิจารณาไม่ค่อยจะออกกัน มีแต่จะหาเรื่องมาทับถมดวงใจของตัวเองตลอดเวลา ทางโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา​ สารพัดอย่าง พอกพูนกิเลสทับถมดวงใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ระดับของสมมติยังแก้ไขปัญหาตรงนี้ไม่ได้ ก็ยากที่จะคลายส่วนภายใน ในส่วนที่ลึกๆ เราก็ต้องพยายาม

ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็เป็นก้อนกรรมนะ เป็นก้อนกรรมที่วิญญาณ ที่มาก่อร่างสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา เราก็ต้องพยายามเจริญสติลึกลงไปให้ถึงต้นเหตุ มีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าจะพูดกันพล่อยๆ แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้เจริญสติ เจริญภาวนา แยกแยะ ค้นพบ จนรู้เหตุรู้ผล รู้ต้นรู้ปลาย ถึงได้เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้รู้ ได้เห็น แต่พวกเราทำไมไม่เดินตามให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันมันไม่เหลือวิสัยหรอก

อยู่ในกายก้อนเนื้อของเราก้อนนี้แหละ หยุดดู เดินดู นั่งดู พิจารณาดู ดูให้ชัดเจน อันนี้ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์เป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ส่งไปภายนอกท่านเรียกว่า ‘อริยสัจ’ เป็นลักษณะอย่างนี้ เราละกิเลสหยาบได้ ละกิเลสละเอียดได้ เป็นลักษณะอย่างนี้ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็จะมีแต่ความสุข มีแต่ความสนุก กิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เราก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ทั้งกลางคืน ทั้งกลางวัน จนหมดความสงสัยนั่นแหละ จนละได้หมดจดนั่นแหละ ถึงได้อยู่สุขสบาย อยู่กับสมมติ ก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ

อะไรคือวิมุตติ อะไรคือสมมติ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ การปฏิบัติธรรมเราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ แล้วก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อยู่กับสมมติ ร่างกายของเรานี่แหละก้อนสมมติ จะไม่เอาสมมติก็ไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจ แล้วก็อยู่กับสมมติอย่างมีความสุข ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ จนล้นออกไปสู่สังคม สู่ภายนอกนั่นแหละ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วหรือยัง ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายแล้วหรือยัง เราทำบุญได้ตลอดเวลาถ้าเราเข้าใจ ก็ตัววิญญาณของเรานั่นแหละตัวบุญ ตัววิญญาณของเรานั่นแหละตัวธรรม แต่เราหาตัวตนของเขาจริงๆ ไม่ได้ จริงๆ รู้แต่อาการ เพราะว่ากําลังสติของเรามีน้อย เราต้องมาพอกพูน เราต้องมาเพิ่มพูน มาเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ

ความเคยชินเก่าๆ ที่เกิดจากปัญญา ที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้า เขาไปควบคุมเอาไว้หมด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การสร้างกับประคับประคองให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไปฝึกเถอะ ปฏิบัติเถอะ อยู่ที่ไหนก็ดีหมด ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ไหน ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องทำความเข้าใจให้เต็มรอบหมด ก่อนที่จะเต็มรอบ เราต้องคลายจิตออกจากอาการของขันธ์ห้าให้ได้ แยกรูปแยกนามให้ได้ ตามดูรู้ให้ได้ทุกเรื่อง จะมีแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

มีศรัทธาเพียบพร้อม มีปัญญานําหน้า ตามทำความเข้าใจให้รู้แจ้ง เห็นหมดจะละได้หมด จบหรือไม่หมดจบก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา กิเลสตัวไหนเกิดก่อน เราต้องจัดการกับตัวนั้นก่อน เราก็ต้องพยายามนะ พยายามสร้างเครื่องอยู่ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรม ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่าง จากความยึดมั่นถือมั่น การปล่อยการวาง การรู้แจ้งเห็นจริง

อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลา แต่เสียดายที่ไปสร้างพันธะภาระต่างๆ มาทับถมดวงวิญญาณของตัวเองกันเสียหมด เหมือนกับดินพอกหางหมู ยากที่จะขัดเกลา ปากก็พร่ำบ่นอยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะเข้าถึงธรรม แต่กลับพอกพูนแต่กิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันจะไปรู้ได้อย่างไร ประพฤติวัตรปฏิบัติก็เป็นแค่เพียงแค่รูปแบบ เราก็ต้องพยายาม เน้นลงอยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ นิพพานก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจของเรานี่แหละ จิตเที่ยงนิพพานก็เที่ยง จิตไม่เกิด จิตก็นิ่ง จิตกับอาการของจิต ละอาการของจิต ดับความเกิด ละกิเลส มันก็อยู่ที่ใจกลางใจของเรานั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก เราก็ต้องพยายามเอา

การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การได้ศึกษา การได้ค้นคว้ากับครูบาอาจารย์ก็มีมากมายมาเยอะ อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ การพูดธรรม การได้ยินธรรมนั้นมีมาก คนที่จะเข้าถึงธรรมนั้นมันมีน้อย ยากที่จะเข้าถึง นอกจากเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความอดทน สร้างตบะอย่างแรงกล้า ไปทำกันเหยาะๆ แหยะๆ มันจะไปได้อะไร จะไปรู้ไปเห็นอะไร เราก็ต้องพยายาม ตายเป็นตาย ไม่ตายหรอก

เราก็เกิดมาตายอยู่แล้ว ไม่ถึงวาระถึงเวลาไม่ตาย ถ้าถึงวาระถึงเวลาแล้ว จะเอาอะไรมาผูกมัดเอาไว้ก็ต้องตาย เพราะว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น ไตรลักษณ์ความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มีกันทุกคน การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายของรูปธรรมก็มีอยู่แล้ว ทีนี้ทางด้านนามธรรมเขาเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา เราขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปดูแล เข้าไปแยกแยะหาเหตุหาผล เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งเราเจริญสติเท่าไร เขาก็ยิ่งโหมกําลังเข้ามามากมายมหาศาล เราจะมีกําลังฝ่ายไหนจะมาก กําลังสติฝ่ายกุศลจะมาก หรือว่ากําลังฝ่ายเขาจะมาก

จิตของเราหลงนั่นแหละถึงได้มาเกิด หลงถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็เป็นทาสของอารมณ์ด้วย ทาสของกิเลสด้วย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาปกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา แล้วก็มายังสมมติมาปกปิดเอาไว้อีก แถมเป็นดินพอกหางหมูอีก คนที่จะเข้าถึง ทำได้เร็วได้ไวได้ง่าย ต้องเป็นบุคคลที่เสียสละ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ขัดเกลากิเลสออกให้หมดจด จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ มายังสมมติให้เกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามกันนะ

หลวงพ่อก็เพียงแค่ได้เล่าให้ฟัง 10-20 ปี 30 ปี หลวงพ่อก็เล่าเรื่องเก่า ของเก่าอยู่อย่างนี้แหละ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเล่า หลวงพ่อก็ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาทางโลกิยะมากมายอะไร เพราะว่าสมองของหลวงพ่อก็ไม่ค่อยจะเก่งทางด้านโลกิยะเท่าไร ก็เลยไม่มีปัญญาที่จะจําแนกแจกแจงภาษาธรรม อธิบายให้เข้าใจได้มากมายเท่าไร หลวงพ่อก็อธิบายเท่าที่หลวงพ่ออธิบายให้ฟังได้ เพราะว่าหลวงพ่อรู้ลักษณะของจิตตั้งแต่เป็นฆราวาส ตั้งแต่เป็นเด็ก

ตั้งแต่เด็กมาจิตของหลวงพ่อก็ว่าง รู้ว่าความว่างเกิดขึ้นมากับหลวงพ่อมาตั้งแต่เป็นเด็ก ความสงบ ความว่าง สติก็เกิดมาตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ไม่รู้ว่าอันนี้คือสติ อันนี้คือธรรม จนมาบวช จนจิตคลายออกจากอาการของขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจให้ละเอียดได้ ถึงได้มาทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก มาละความกลัว ละความอยาก ละกิเลส สารพัดอย่าง มาฝึก มาละ มาดับความเกิด 4 ปีเต็มๆ จิตถึงหยุดนิ่งสงบนิ่งได้ ขนาดจิตว่างมาตั้งแต่เป็นเด็ก เราก็ต้องพยายามกัน เอาออกคลายออกจากใจของเราให้หมด

ทุกคนก็มีธรรมหมดนั่นแหละ ตัววิญญาณนั่นแหละคือธรรม ทีนี้เราจะละกิเลสออกได้หมดจดหรือไม่ ทำความเข้าใจได้เต็มรอบหรือไม่ ไม่ต้องไปถกไปเถียงกัน ธรรมะไม่มีไว้เถียงกัน ธรรมะก็ธรรมชาติทั้งภายนอก ทั้งภายใน เราจงพยายามทำจิตวิญญาณของเราให้กลับคืนสู่สภาวะเดิม คือธรรมชาติของเขาที่ไม่เกิด ไม่มีกิเลส ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกัน จะเดินช้าเดินเร็ว เราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว พยายามทำความเพียรให้ถูกต้อง

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ขอให้ญาติโยมทุกคนจงพยายามตั้งใจเดินให้ถึงจุดหมาย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง