หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 019

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 019
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 019
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเรา​พระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ตั้งตื่นเช้าขึ้นมา ความรู้ตัว รู้กายรู้ใจ ก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของเรา ตาเห็นรูป กายก็หิว ใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว เรารู้จักควบคุม รู้จักระงับยับยั้ง ยิ่งมาฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาใหม่ๆ กายก็หิว เพราะว่าเราเคยได้รับประทานมาต่อวันๆ หลายมื้อ 2 มื้อ 3 มื้อ พอมาอด มาวิเคราะห์พิจารณา กายของเราก็หิว ใจของเราก็อยาก อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่าอย่างนั้น กิเลสมันสั่ง ก็ต้องดู ดูดีๆ จะเอาก็ให้ใจของเราสงบ พิจารณา

ในหลักธรรมท่านว่าปฏิสังขาโย พิจารณาเรื่องอาหาร​ การอยู่ การขบการฉัน ถ้าเราเห็นความอยาก ความคิดความนึก ความปรุงความแต่งก็เกิดขึ้น อยู่ที่ความอยากนั่นแหละ ความอยากเกิดขึ้นตรงไหน เราก็พยายามควบคุม ตาเห็นรูปอันโน้น ก็จะเอาอันนี้ ก็จะเอา กายของเราชอบอย่างนั้น กายของเราชอบอย่างนี้ กิเลสมันบงการไปหมด ถ้าเราไม่เอา ให้ผ่านเลยไป ดูสิใจของเรามีความอาลัยอาวรณ์หรือไม่ เราก็ต้องดู

ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ธรรม จะปฏิบัติแต่ธรรม แต่ไม่รู้จัก เราต้องให้รู้ฐานของใจ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากในอาหาร การอยู่​ การรับประทาน อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราก็ต้องรู้จักระงับยับยั้ง เราระงับได้ ใจของเราก็ปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความปกตินั่นแหละคือศีล ความปกติ​ สมาธิ สติเรารู้เห็น เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิดคิด แยกรูปแยกนาม เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย จะเอาแต่ธรรม​ ปฏิบัติแต่ธรรม ไม่รู้เรื่อง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรื่องการขบการฉัน การลุก การก้าว การเดิน อะไรคือสติปัญญา อะไรคือจิต เราต้องดูให้เรียบร้อย อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจของเราแม้แต่นิดเดียว ลิ้นเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาเขาก็ทำหน้าที่ห้องเขา จะเอาจะมีจะเป็น เราก็อาศัยเอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยเหตุด้วยผล ดูให้ดีๆ นะ ดูให้ดีๆ

อยากจะได้ทรัพย์อันใหญ่ แต่ขาดการพิจารณาทรัพย์ตัวน้อย เราก็ต้องดูความอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในอาหาร ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดความเป็นระเบียบเรียบร้อย กว่าจะห้ำหั่นความอยากได้ก็ต้องใช้กาล ใช้เวลา ใช้ความเพียรอย่างยิ่ง อาศัยตนเป็นที่พึ่งของตน ใหม่ๆ เรายังไม่เข้มแข็ง เราก็อาศัยพ่ออาศัยแม่ อาศัยพี่อาศัยน้อง อาศัยบริวาร ถ้าเราเข้าใจแล้วก็เราก็จะได้อาศัยเรา เข้มแข็ง ได้พัฒนาจนล้นออกไปให้คนอื่นได้มาอาศัย

ดูให้ดี ทำให้ดี การฝึกหัดปฏิบัติธรรม​ ธรรม​ภายนอก​ ธรรมภายใน สมมติวิมุตติ การขัดเกลากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด การรู้เท่าทัน เราต้องให้เต็มรอบ อยู่คนเดียวเราก็รู้เรา อยู่หลายคนเราก็รู้เรา จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ให้เอาให้มีให้เป็น ด้วยปัญญา

อากาศก็เริ่มแจ่มใสขึ้นมา วันเลือกตั้งก็ผ่านพ้นไป ก็ได้นายกคนใหม่คงจะได้นายกฯ หญิงกระมังทีนี้ประเทศไทยของเรา คงจะได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ เปลี่ยนแปลงจากชายเป็นหญิง ก็คงจะได้เปลี่ยนแปลง ทำงานให้กับประเทศชาติ ทำหน้าที่ให้ดี ก็ได้สมใจกันทุกคน ไปเลือกผู้แทนที่ท่านรัก ที่ท่านนับถือ หลายคนหลายท่านรวมกัน คนไหนมีอานิสงส์มีบุญพอก็ได้เป็น แต่อานิสงส์ของฝ่ายหญิงมากกว่าก็เลยได้เป็น ได้เป็นนายกก็ทำงานให้เต็มที่ ถ้าทำงานไม่ดีก็ 4 ปีค่อยเลือกใหม่ ค่อยว่ากันใหม่

ถ้า​ทำงานดีก็ส่งเสริม ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประเทศ มันก็ยาก น้อยคนที่จะเสียสละเวลามาทำงานให้กับส่วนรวม คนทั่วไปชอบจะเอาดั่งใจ ไม่ได้ดั่งใจก็ไล่ ไม่อาศัยความเพียร อาศัยกาล อาศัยเวลา ทำอะไรก็ให้ได้ตั้งใจ ถ้าไม่ได้ดั่งใจปุ๊บก็ขับไล่ ดีไม่ดีไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ว่าไม่ดี เพราะว่าจิตใจของคนมันกลับกลอก เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้อยู่เหนือสมมติ ไม่ให้ยึด ไม่ให้ติด ไม่ให้หลง ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ อะไรถูก อะไรผิดก็รีบแก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็อุเบกขา ถึงวาระเวลาก็ต้องได้วางหมด แม้แต่กายของเราก็ต้องวาง แต่คนเราวางไม่เป็น มันก็เลยยาก แล้วก็ไม่รู้จุดวางด้วยมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

ภายนอกอาจจะวางได้ แต่ภายในยังวางไม่ได้ คือใจยังเกิดอยู่ ใจยังรวมกับความคิด กับอารมณ์อยู่ ถ้าเราแยกได้ ตามดูได้ รู้เห็นตามความจริงตามคำสอนของพระพุทธพระองค์ได้ ไม่อยากจะวางก็ต้องวาง เพราะมันรู้เห็นความเป็นจริงก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา คนเราทั่วไปขาดการเจริญสติ มันก็เลยยากที่จะวางได้

สติก็มีกันอยู่ แต่สติในหลักธรรมท่านให้เจริญ ให้สร้าง ให้ทำความเข้าใจกับใจของเราให้ได้ ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นปัญญาอัตโนมัติ ตั้งตื่นเช้าขึ้นมาใจของเราส่งไปภายนอกสักกี่เรื่อง สักกี่เที่ยว ก็ยังไม่ค่อยสนใจกันเลย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอสักกี่เรื่องก็ไม่สนใจกันเลย อยากจะทำบุญอย่างเดียว อยากจะได้บุญอย่างเดียว แต่ก็เป็นกุศลอยู่ แต่การเกิดก็ยังมีอยู่ เพราะว่าใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา

ความหลงนั้นก็มันมีอยู่แล้ว มีมาตั้งแต่เดิม คือใจกับขันธ์ห้า ใจกับความคิดเขารวมกันอยู่ นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติปัญญาที่แหลมคมถึงจะมีวิเคราะห์เท่าทันได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย มีโอกาสทุกคน มีบุญกันทุกคน อย่างน้อยๆ ก็ให้ได้อานิสงส์บุญระดับของสมมติ จนกว่าจะถึงระดับวิมุตติ​ ตราบใดที่ยังแสวงหาธรรม ก็ย่อมจะเข้าใจในธรรม ย่อมจะรู้ธรรม รู้ตอนเด็ก ตอนหนุ่ม ตอนแก่ ตอนจะหมดลมหายใจก็ไม่สาย

เรื่องธรรมะ​ ธรรมะก็ธรรมชาติของใจ ธรรมชาติของโลกธรรม แต่ก็พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเราตลอดเวลา​ ทุกเรื่องทุกเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการทำคุณงามความดี ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าอยู่ที่ไหนใจของเราก็ต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิที่ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น พูดง่ายนะพูดง่าย แต่ทำยาก​ ​ยาก มันยากจริงถ้าไม่มีความเพียร

ที่หลวงพ่อมาพูดให้ฟังนี้ หลวงพ่อก็ห้ำหั่นกันมาไม่รู้กี่ปีกี่ปีกว่าจะดับความเกิดได้ กว่าจะคลายความหลงได้ กว่าจะห้ำหั่นกับกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้ ก็ถูลู่ถูกังกันมากมายกว่าจะเอามาพูดให้ฟังได้ การพูดนี้มันง่าย แต่การลงมือจริงๆ นี้ยาก เอาแค่ 5 นาที 10 นาที สติรู้ตัวก็ยังไม่ต่อเนื่อง มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

ถ้าคนเข้าใจ คนมีอานิสงส์​ คนมีบุญเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องพูดยาก ไม่จำเป็นต้องไปให้ลำบากเลย หมั่นวิเคราะห์ตัวเรา อันนี้เรื่องกาย เรื่องใจ ใจกับกาย สมมติกับวิมุตติ ภาษาธรรมภาษาโลก จะมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อย่างน้อยๆ ก็ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ มีอะไรก็รีบทำ ขณะที่เรายังมีกำลังกายอยู่ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา

ดูดีๆ นะแม่ชี อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย บอกว่าอย่างนั้น เอาเยอะๆ หน่อย ของชอบบอกว่าอย่างนั้น เอาเยอะแล้วก็ทานไม่หมด เอาไปทิ้ง เราต้องมองบน มองล่าง มองกลาง อาหารแต่ละชิ้น จะตกถึงเรา ตกถึงข้างล่าง พิจารณา ถ้าเอามากคนข้างหลังก็ไม่ได้ทาน ถ้าเราไม่เอา ใจของเราเสียดายหรือไม่ จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก จะเอามากเอาน้อยก็อย่าให้ใจเอาด้วยความอยาก ให้เอาด้วยปัญญา จะไปเอาแต่เวลาปฏิบัติ เวลาตั้งใจเดิน​ ตั้งใจนั่ง​ ตั้งใจเดิน​ ตั้งใจนั่ง​ ในลักษณะของการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ถูกแล้ว ต้องตั้งสติ ต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปวิเคราะห์ใจทุกอิริยาบถ

ตากระทบรูป ใจเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียง ใจเกิดหรือไม่ ความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร ใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถึงจะถูก ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร​ เราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่ว่าไปคิดเอาไปนึกเอา ว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ความนึกคิดมันก็ปิดบังเอาไว้แล้ว แต่ถ้าเราเข้าใจ แยกแยะได้ ความนึกคิดด้วยสติด้วยปัญญาก็เป็นปัญญาธรรม ถ้านึกคิดด้วยจิต ด้วยขันธ์ห้าแล้วเป็นปัญญาโลกีย์หมด ยังนึกคิดด้วยความหลงอยู่ แต่ก็ว่าตัวเองไม่หลง ตราบใดที่ยังไม่เจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็จะคิดว่าตัวเองมีสติ ถ้าเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ต่อเนื่อง ก็จะรู้ว่าตัวเราไม่มีสติ สติในทางธรรม

ถ้าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ว่าเราไม่หลง ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ก็ถึงจะรู้ว่าเราหลง หลงความคิด หลงอารมณ์ จะชัดเจนทุกเรื่อง ถ้าเราเรียบเรียง เห็น วิเคราะห์ จากน้อยๆ ไปหามากๆ เห็นน้อยๆ ไปหามากๆ เราต้องพูดกับตัวเอง พิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง หมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง เอาการงานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ใจรับรู้ไปด้วย มีความสุข งานที่เราทำเป็นงานกุศล หรือว่างานอกุศล ลึกลงไปความคิดกุศล หรืออกุศล หมั่นจำแนกแจกแจงลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องพยายามกันเอา ไปบังคับกันไม่ได้หรอก ได้ไม่ได้ก็บอก เล่าให้ฟัง หายใจแทนกันก็ไม่ได้ ตายแทนกันก็ไม่ได้

เราอยู่ร่วมกัน เราก็สมัครสมานสามัคคี ค่อยพูดค่อยจา มีอะไรก็ค่อยวิเคราะห์ ค่อยพิจารณา เพื่ออำนวยความสะดวก เพื่อการประพฤติวัตรปฏิบัติขัดเกลาตัวเรา จะได้ไปได้เร็วได้ไว หลวงพ่อก็พยายามทำให้ทุกอย่างในสิ่งที่จะปฏิบัติไปได้เร็วได้ไว จากความไม่มีก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ของสมมติ ให้ทุกคนได้มีความสุข จากความลำบากไม่ให้ลำบาก ก็ยังเหลืออยู่แต่การพิจารณากาย พิจารณาใจให้สูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่ดี ไปอยู่ที่นี่ก็ไม่ดี ใจของเรามันไม่ดี ก็เลยไปเพ่งเอา ไปโทษแต่ภายนอก ถ้าใจของเราดีแล้ว ไปอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ดีเราก็ทำให้มันดีเสียเท่านั้นเอง

แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ไปอยู่ที่โน่น คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี เพราะว่ากิเลสละเอียดกิเลสหยาบ​ กิเลสละเอียดมันผุดขึ้นมาภายในของเรา จะไปตำหนิคนโน้น ตำหนิคนนี้ ในหลักธรรมท่านให้ตำหนิตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ขนาบตัวเราอยู่ตลอดเวลา มันถึงจะถูก เข้าถึงจุดหมายปลายทาง รู้เห็นตามความเป็นจริง ใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาธรรมที่โน่นที่นี่ แล้วไปตำหนิที่โน่นที่นี่

เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นบุญแล้ว มีอานิสงส์แล้ว ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี รู้จักบริหารให้ถูกต้องแล้วหรือยัง บริหารไม่ถูกต้องเลยลำบาก ปีนี้รู้สึกว่าพระเราจะเยอะ ยังจะมาเพิ่มอีกตั้ง 10 กว่ารูป ที่พักที่อาศัยก็ยังไม่เพียงพอกัน ก็อยู่กันตามศาลาวิหารกันไปก่อน อยู่เท่านี้ก็ไม่ถึงกับลำบากหรอก สมัยก่อนยิ่งลำบากมากกว่านี้ แม้แต่ข้าวปลาอาหารก็ยังลำบาก แต่ทุกวันนี้ไม่ถึงกับลำบาก จะเหลือเฟือเสียด้วย แต่ขาดแต่ว่าเราจะมีระเบียบกับตัวเองหรือไม่เท่านั้นเอง เป็นคนมีระเบียบ​ มีวินัยให้กับตัวเองให้มากๆ เป็นคนรับผิดชอบให้มากๆ มีความเสียสละ ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่วินัยภายนอก มาถกเถียงให้เป็นทุกข์เปล่าๆ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ทั่วท้องลองดูสิ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ

การสูดลมหายใจยาวๆ​ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สภาพร่างกายของเราก็มีการผ่อนคลายลงไปเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่

ในหลักธรรมท่านเรียกว่า “ความรู้ตัว’ หรือว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราจะไม่ได้สร้างความรู้สึกตัวพร้อมให้ต่อเนื่อง​ ก็เลยไม่รู้ความจริง ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ที่เกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าของเรา มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เรื่องโน้นบาง เรื่องนี้บ้าง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ มันก็ยากที่จะเข้าใจ

เพียงแค่การเจริญสติกับการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังพลั้งเผลอ ไม่ค่อยจะสนใจกัน ทั้งที่จิตใจของเราก็เป็นบุญอยู่ ฝักใฝ่ในบุญ อยากจะได้บุญ อยากทำบุญ อยากจะเข้าใจในธรรม อยากจะรู้ธรรม ตัวจิตนั่นแหละคือตัวธรรม เขายังเกิดอยู่ เขายังเป็นทาสของอารมณ์อยู่ เขายังเป็นทาสของกิเลสอยู่

กิเลสก็มีหลายชั้น หลายขั้นหลายตอนจริงๆ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กายเนื้อก็มาปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ ความคิด อารมณ์ต่างๆ ก็มาปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ จิตของเรายังมีความทะเยอทะยานอยาก เป็นทาสของกิเลส ความโลภ ความโกรธ เข้ามาปกปิดเอาไว้อยู่เราต้องพยายามทำความเข้าใจ แล้วก็เดิน เจริญสติ​ เจริญปัญญาตามทางของผู้รู้คือของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องการดับทุกข์​ อะไรคือทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ แนวทางไหนที่จะเข้าถึงตรงนั้น ท่านสอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร สอนเรื่องหลักของอริยสัจ คำว่า ‘อริยสัจ’ ความจริงอันประเสริฐเป็นลักษณะอย่างไร ซึ่งก็มีอยู่ในกายของเรานี้แหละ อยู่ในกายเนื้อของเรา ธาตุสี่ ขันธ์ห้า

ขันธ์ห้าของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร วิญญาณที่เข้ามาอยู่ในกายของเรานี้เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจง วิเคราะห์ หัดสังเกต จนกว่าวิญญาณของเราจะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้​ ในอริยมรรคในองค์แปดในข้อแรก คือดำเนินให้ถูกทาง รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วสติของเราก็จะตามดู รู้เห็นการเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ เรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้าของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผลหมด แต่พวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย

เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องพวกเราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน สนใจอยู่เป็นบางครั้งบางช่วงบางคราว เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้กายปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออกปั๊บ รู้ลมหายใจนี่แหละ เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ รู้ให้ต่อเนื่อง ลึกลงไปก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต จิตของเรามันเกิด มันก่อตัวอย่างไร เรารู้จักกับรู้จักควบคุมได้อย่างไร อาการของจิตกับตัวจิตเขารวมกันไปได้อย่างไร มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากทีเดียว เราต้องพยายามหัดสังเกต เฝ้าสังเกต เฝ้าวิเคราะห์​ เฝ้าทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่จำแนกแจกแจงให้ได้เสียก่อนว่าอันนี้สติ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราสร้างขึ้นมา

ส่วนการเกิดการดับของความจิตนั้นเขามีอยู่แล้ว การเกิดการดับของความคิด ของขันธ์ห้าก็มีอยู่แล้ว แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึงจุดหมายนั้นๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึงความหมายนั้นๆ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปทิ้งบุญ อย่าไปทิ้งวัด อย่าไปทิ้งพระ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ​ ทำวาจาให้เป็นบุญ เราพยายามเจริญสติเข้าไปวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจนกัน วางความคิด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ หยุดภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาไว้ กายของเราก็น้อมเข้ามาอยู่วัด ใจของเราก็ต้องสงบนิ่ง แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง