หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 016
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 016
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ศิลปะในการหายใจเข้าหายใจออก พวกเรายังรู้ไม่ชำนาญ แล้วก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง บางทีบางครั้งบางคราวใจของเราก็สงบอยู่ ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ เราต้องพยายามเจริญสติขึ้นมาให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่กันทุกคน การเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ใจของเราก็เป็นทาสของกิเลสอยู่ มีกิเลสมากกิเลสน้อย อันนี้กิเลสนี้มีมาทีหลัง เพราะว่าความหลงทำให้ใจของเราถึงเกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย สารพัดอย่างในชีวิตของเรา แนวทางนั้นมีอยู่ หนทางมีอยู่ แต่เราจะมีวิธีทำความเข้าใจได้ถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกวันทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล เรารีบสำรวจตรวจตาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
วันนี้ เมื่อวานนี้ก็มีชาวคณะทางโรงแรมโฆษะ ซึ่งคุณชายก็ให้บริวารได้มาพักผ่อน ได้มาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศในการมาศึกษาค้นคว้า อยากจะให้บริวารได้มาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเอง ได้ทำบุญให้กับลูกน้อง ให้กับบริวาร ได้ผู้บริหารที่ฝักใฝ่ในบุญในธรรมก็นับว่าเป็นโชคดี เป็นบุคคลที่โชคดีได้ทำงานกับผู้บริหารที่ฝักใฝ่ในธรรม อยากจะให้บริวารได้รับความสุข ได้รับความสงบ อยากจะหาแนวทาง ทุกวิถีทางที่ท่านจะทำได้
ทีนี้ก็ยังเหลือแต่พวกเราเองจะแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราหรือไม่ อะไรขาดตกบกพร่อง เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเสียสละ หรือว่าเรามีแต่ความอิจฉาริษยา มีแต่ความเกียจคร้าน ขาดความรับผิดชอบ เราต้องมาสำรวจตรวจตราดูตัวเราว่า แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราขาดตกพร่องอะไร เราก็รีบแก้ไขเสีย เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความเสียสละ เรามีความสมัครสมานสามัคคีในหมู่ในคณะหรือไม่ เราก็รีบแก้ไข
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ รีบแก้ไขใจของเรา รีบแก้ไขความเป็นอยู่ของเรา ครอบครัวของเรา ก็ล้นออกไปสู่ภาระหน้าที่การงาน เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่มีความจริงใจต่อตัวเราเอง ต่อส่วนรวม นั่นก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่วัดแล้วถึงจะได้ปฏิบัติ เราต้องดูตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งความรับผิดชอบทุกเรื่องนั่นแหละ ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา มันก็จะส่งผลถึงอนาคตที่ดี
แต่ละวันๆ การดำเนินชีวิตไม่ว่าทางด้านจิตใจ ทางด้านรูปธรรม เราก็ต้องรีบแก้ไขเสีย โทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเรา เปลี่ยนแปลงใจเราตลอดเวลา ถ้าใจของเราเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส เราก็รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ดูเรา เราไม่แก้ไขเราแล้ว ไม่มีใครเขาจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
แม้แต่คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ สติความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เรารู้ไม่ทันต้นเหตุการเกิดของใจ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม เขาเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’ ทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน พิจารณาบ่อยๆ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ถ้าการเจริญสติไม่มี การสังเกต การวิเคราะห์ การละกิเลสไม่มี จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็เหมือนเดิม
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา ว่าลักษณะของจิตที่สงบเป็นอย่างนี้นะ ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต กายของเรานี้มีอะไรบ้าง ที่พระพุทธองค์ท่านได้ให้จำแนกแจกแจงว่า ขันธ์ห้ามันเป็นของหนัก ขันธ์ห้าคือลักษณะอย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือนาม อะไรคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงในขันธ์ห้า อะไรคืออริยสัจ ความจริงอันประเสริฐสี่ ที่มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ในกายของเรา
เราต้องทำความเข้าใจให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสงบ อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่กับหมู่อยู่กับคณะก็มีความสุข ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สตินี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมาจะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตเราตลอดเวลา แต่เวลานี้ ความรู้ตัวทั่วพร้อม หรือว่าการเจริญสติของเรามีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา
สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันนะ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ศิลปะในการหายใจเข้าหายใจออก พวกเรายังรู้ไม่ชำนาญ แล้วก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง บางทีบางครั้งบางคราวใจของเราก็สงบอยู่ ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ เราต้องพยายามเจริญสติขึ้นมาให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่กันทุกคน การเกิดการดับของความคิด ของอารมณ์ ใจของเราก็เป็นทาสของกิเลสอยู่ มีกิเลสมากกิเลสน้อย อันนี้กิเลสนี้มีมาทีหลัง เพราะว่าความหลงทำให้ใจของเราถึงเกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย สารพัดอย่างในชีวิตของเรา แนวทางนั้นมีอยู่ หนทางมีอยู่ แต่เราจะมีวิธีทำความเข้าใจได้ถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกวันทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล เรารีบสำรวจตรวจตาดูตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา
วันนี้ เมื่อวานนี้ก็มีชาวคณะทางโรงแรมโฆษะ ซึ่งคุณชายก็ให้บริวารได้มาพักผ่อน ได้มาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศในการมาศึกษาค้นคว้า อยากจะให้บริวารได้มาทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเราเอง ได้ทำบุญให้กับลูกน้อง ให้กับบริวาร ได้ผู้บริหารที่ฝักใฝ่ในบุญในธรรมก็นับว่าเป็นโชคดี เป็นบุคคลที่โชคดีได้ทำงานกับผู้บริหารที่ฝักใฝ่ในธรรม อยากจะให้บริวารได้รับความสุข ได้รับความสงบ อยากจะหาแนวทาง ทุกวิถีทางที่ท่านจะทำได้
ทีนี้ก็ยังเหลือแต่พวกเราเองจะแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราหรือไม่ อะไรขาดตกบกพร่อง เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความเสียสละ หรือว่าเรามีแต่ความอิจฉาริษยา มีแต่ความเกียจคร้าน ขาดความรับผิดชอบ เราต้องมาสำรวจตรวจตราดูตัวเราว่า แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราขาดตกพร่องอะไร เราก็รีบแก้ไขเสีย เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความเสียสละ เรามีความสมัครสมานสามัคคีในหมู่ในคณะหรือไม่ เราก็รีบแก้ไข
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ รีบแก้ไขใจของเรา รีบแก้ไขความเป็นอยู่ของเรา ครอบครัวของเรา ก็ล้นออกไปสู่ภาระหน้าที่การงาน เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่มีความจริงใจต่อตัวเราเอง ต่อส่วนรวม นั่นก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่วัดแล้วถึงจะได้ปฏิบัติ เราต้องดูตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งความรับผิดชอบทุกเรื่องนั่นแหละ ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา มันก็จะส่งผลถึงอนาคตที่ดี
แต่ละวันๆ การดำเนินชีวิตไม่ว่าทางด้านจิตใจ ทางด้านรูปธรรม เราก็ต้องรีบแก้ไขเสีย โทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเรา เปลี่ยนแปลงใจเราตลอดเวลา ถ้าใจของเราเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส เราก็รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ดูเรา เราไม่แก้ไขเราแล้ว ไม่มีใครเขาจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
แม้แต่คำว่า ‘ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ สติความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เรารู้ไม่ทันต้นเหตุการเกิดของใจ เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุม เขาเรียกว่า ‘สมถะภาวนา’ ทำบ่อยๆ ให้เกิดความเคยชิน พิจารณาบ่อยๆ การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ถ้าการเจริญสติไม่มี การสังเกต การวิเคราะห์ การละกิเลสไม่มี จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนก็เหมือนเดิม
ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา ว่าลักษณะของจิตที่สงบเป็นอย่างนี้นะ ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ความคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต กายของเรานี้มีอะไรบ้าง ที่พระพุทธองค์ท่านได้ให้จำแนกแจกแจงว่า ขันธ์ห้ามันเป็นของหนัก ขันธ์ห้าคือลักษณะอย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือนาม อะไรคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงในขันธ์ห้า อะไรคืออริยสัจ ความจริงอันประเสริฐสี่ ที่มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ในกายของเรา
เราต้องทำความเข้าใจให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไร เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสงบ อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่กับหมู่อยู่กับคณะก็มีความสุข ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียง ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สตินี่แหละ ที่เราสร้างขึ้นมาจะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิตเราตลอดเวลา แต่เวลานี้ ความรู้ตัวทั่วพร้อม หรือว่าการเจริญสติของเรามีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา
สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องกันนะ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ